กุ้ยหนิงอันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ครั้งนี้พ่อออกมาปกป้องและไล่บ้านใหญ่ไปต่อหน้าทุกคน แต่เธอกลัวว่าพ่อจะโดนชาวบ้านประณามว่าอกตัญญู
“พ่อไม่เป็นไรใช่ไหม”
“พ่อไม่เป็นไร ครั้งนี้บ้านใหญ่ทำเกินไปจริง ๆ”
หลังจากนั้นความสงบสุขจึงกลับมาสู่ครอบครัวบ้านรองอีกครั้ง
สุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน พ่อกับแม่พูดเพียงว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ เราจะฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน เพียงแค่นี้กุ้ยหนิงอันคิดว่าเธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากคำว่าครอบครัว
นี่ก็หนึ่งสัปดาห์แล้วที่กุ้ยหนิงอันกลับมาอยู่บ้าน วันนี้เลยตั้งใจว่าจะเข้าไปหางานทำในตำบล เผื่อว่าจะมีงานอะไรให้เธอทำบ้าง หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ กุ้ยหนิงอันจึงนั่งเกวียนออกมาพร้อมน้องทั้งสองคน
“แยกกันตรงนี้นะพี่ใหญ่ ผมกับเจ้าสามต้องรีบไปโรงเรียน”
“ตกลง เลิกเรียนแล้วรีบกลับนะ พี่จะซื้อของอร่อยไปฝาก”
“ครับ/ครับ”
เมื่อแยกจากน้องทั้งสอง กุ้ยหนิงอันจึงเดินดูสองข้างทาง จนสายตามาเห็นป้ายประกาศรับพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารอาหารที่ใหญ่ที่สุดในตำบล
“ฉันมาสมัครงานค่ะ” กุ้ยหนิงอันบอกกับพนักงานของร้าน
“ตามมาเลยค่ะ ฉันจะพาไปห้องผู้จัดการ” พนักงานสาวยิ้มให้ ก่อนจะเดินพาเข้ามาด้านใน
ทว่าภายในภัตตาคารเกิดความวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อพนักงานคนหนึ่งสื่อสารกับชาวต่างชาติไม่ได้ ทำให้ลูกค้าต่างชาติกลุ่มนี้เริ่มไม่พอใจ
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” ดูแล้วลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นคนเยอรมัน กุ้ยหนิงอันจึงใช้ภาษาเยอรมันโต้ตอบ
เมื่อมีคนสื่อสารและพูดภาษาตัวเองได้ ใบหน้าของลูกค้ากลุ่มนี้จึงดูพอใจขึ้นมาบ้าง
“คุณช่วยบอกเขาหน่อยว่าอาหารทั้งหมด เราไม่ขอให้มีกุ้งผสมอยู่ ในกลุ่มของพวกเรามีคนแพ้อาหารอย่างนี้อย่างรุนแรง”
กุ้ยหนิงอันจึงมองเมนู บางอย่างมีกุ้งเป็นตัวหลัก เธอจึงเงยหน้าถาม “หากไม่ต้องการกุ้ง คุณสามารถเปลี่ยนเป็นปลาได้ไหม หรือว่าแพ้อาหารทะเลทั้งหมด”
“ไม่ ๆ พวกเราทานปลาได้ เลยต้องการเปลี่ยนกุ้งเป็นปลา แต่เหมือนพนักงานจะไม่เข้าใจ”
“โอเค ฉันจะแจ้งพนักงานให้ โปรดรออาหารตามคิวนะคะ ขอให้อร่อยกับอาหารมื้อนี้”
จากนั้นกุ้ยหนิงอันจึงหันมาบอกพนักงานที่ยืนหน้าซีดอยู่ว่าลูกค้าต้องการอาหารที่สั่งไปทั้งหมด แต่เมนูไหนที่มีกุ้งให้เปลี่ยนเป็นปลาทั้งหมดเช่นกัน
หลังจากที่คลี่คลายสถานการณ์เรียบร้อย พนักงานจึงพากุ้ยหนิงอันไปพบผู้จัดการร้านทันที เมื่อได้ฟังพนักงานเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้าให้ฟัง
ผู้จัดการจึงไม่รีรอที่รับเธอเข้าทำงาน ตัวเขาแม้จะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่ไม่เหมือนกับพนักงานใหม่คนนี้ที่พูดได้หลายภาษา
ในที่สุดกุ้ยหนิงอันได้งานทำตามคาด และเริ่มงานในอีกหนึ่งอาทิตย์ เมื่อรู้ว่ามีงานทำแล้วกุ้ยหนิงอันจึงเดินไปตลาดของตำบลเพื่อจับจ่ายซื้ออาหารไปเลี้ยงฉลองกับครอบครัวเนื่องจากเธอได้งานทำ แต่ไม่ลืมแวะไปรษณีย์เพื่อส่งจดหมายให้ซีซวนเพื่อสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
เมื่อครอบครัวรู้ว่ากุ้ยหนิงอันได้งานทำแล้ว ต่างก็ดีใจยกใหญ่ ไม่คิดว่าจะหางานง่ายขนาดนี้ กุ้ยหนิงอันเองก็ไม่บอกเพราะอะไร เพียงแต่ยิ้มให้กับความดีใจของทุกคน
วันเวลาล่วงเลยเข้ากลางเดือนธันวาคม หิมะเริ่มตกหนักขึ้น การเดินทางแม้จะลำบากไปบ้าง แต่ยังเดินทางได้ นี่ก็ครบสามเดือนแล้วที่กุ้ยหนิงอันกลับมาอยู่บ้าน อีกไม่นานก็ปีใหม่ เธอได้ยินว่าภัตตาคารหยุดช่วงปีใหม่เจ็ดวัน ให้พนักงานได้อยู่กับครอบครัว
หากเป็นยุคที่เธอจากมา ช่วงปีใหม่หรือเทศกาลย่อมเป็นช่วงที่กอบโกยเงินทอง
วันนี้กุ้ยหนิงอันมาทำงานด้วยท่าทางอิดโรย สามสี่วันมานี้เธอรู้สึกเวียนหัวไม่มีแรง ได้กลิ่นอาหารก็รู้สึกเหม็นไปหมด จนเพื่อนพนักงานอดที่จะถามไม่ได้
“อันอันไม่สบายหรือเปล่า จะหยุดพักก็ได้นะ” พนักงานอีกคนถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันยังไหว เลิกงานฉันตั้งใจจะไปโรงพยาบาลเสียหน่อย”
เธอพอจะรู้ร่างกายตนเองแต่ไม่มั่นใจ อีกทั้งหลังจากคืนนั่นประจำเดือนเธอไม่มาอีกเลย โอกาสที่เธอจะท้องนั้นเป็นไปได้สูง
“ไปก่อนเถอะ ลางานสักครึ่งวันคงไม่เป็นอะไร”
“ลางานสักครึ่งวันเถอะ ฉันจะบอกผู้จัดการให้”
เมื่อเพื่อนพนักงานต่างคะยั้นคะยอกุ้ยหนิงอันจึงตัดสินใจที่จะลางานครึ่งวัน จะได้รู้กันไปเลยว่าเธอท้องหรือเปล่า
โรงพยาบาลประจำตำบล
กุ้ยหนิงอันเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยใจที่เลื่อนลอย คำตอบของหมอยังดังก้องอยู่ในหู ‘ยินดีด้วยค่ะคุณแม่ คุณตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว’
ไม่ใช่ไม่ดีใจที่ในท้องเธอมีอีกหนึ่งชีวิต เพียงแต่ตกใจและหวั่นวิตกว่าจะบอกครอบครัวอย่างไรกับเรื่องนี้ พ่อกับแม่จะอับอายไหมเมื่อรู้ว่าลูกสาวที่ทั้งสองภาคภูมิใจตั้งท้องโดยไม่มีสามี ครั้งนั้นบ้านใหญ่ยังตราหน้าเธอไว้ว่าเธอจะท้องไม่มีพ่อ
หลังจากจ่ายเงินและรับยา กุ้ยหนิงอันจึงรีบกลับบ้าน เธอตั้งใจแล้วว่าจะไม่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง แม้เธอจะถูกตราหน้าว่าอย่างไรเธอพร้อมที่จะรับ ต่อให้ลูกไม่มีพ่อ เธอขอเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกที่จะเกิดมาด้วยตนเอง
กลับมาทางด้านซีซวน วันนี้คล้ายกับฟ้าผ่ากลางใจของเธอ เธอไม่คิดว่าเพียงคืนนั้นจะทำให้เธอมีเลือดเนื้อเชื้อไขติดตัวมาด้วย ทว่าเรื่องนี้เธอกลับไม่กล้าบอกกับบิดา เพราะกลัวว่าท่านจะเสียใจกับสิ่งที่เธอได้กระทำจนตั้งท้องขึ้นมา
และเธอไม่หวังว่าจะให้ชายคนนั้นกลับมารับผิดชอบ ในตอนนี้เท่าที่เธอรู้ข่าว คุณชายรองแห่งตระกูลหลันเดินทางไปเรียนต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านเธอจึงเข้าไปหาบิดาในห้องทำงานเพื่อบอกกล่าวสิ่งที่เธอตัดสินใจเมื่อไม่นานมานี้
“พ่อค่ะ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
“ลูกมีเรื่องอะไรจะคุยกับพ่อเหรอ ทำไมสีหน้าดูซีดเซียวแบบนั้นล่ะ” นายท่านซ่งเดินออกมาจากโต๊ะทำงานเพื่อดูลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาด้วยความเป็นห่วง
“พอดีว่าฉันต้องการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้านบริหารน่ะค่ะพ่อ พ่ออนุญาตหรือเปล่าคะ”
“ถามใจพ่อ หลังจากที่ลูกเรียนจบและกลับมาครั้งนั้น พ่อไม่อยากให้ลูกห่างกายอีก แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของลูก พ่อจะไม่ห้ามและหวังว่าครั้งนี้เมื่อเรียนจบลูกจะไม่ไปไหนอีก ซวนซวนรู้ใช่ไหมว่าลูกคือดวงใจของพ่อ สิ่งที่พ่อสร้างขึ้นมาทั้งหมดก็เพื่อลูก เมื่อไหร่ที่ไม่มีพ่อแล้ว ซวนซวนของพ่อจะได้ไม่ลำบาก”
ซีซวนรู้ดีว่าเธอนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของบิดา แต่ครั้งนี้มันจำเป็น เมื่อไหร่ที่ลูกในท้องคลอดออกมาและโตพอ เธอจะกลับมาอีกครั้งและบอกท่านว่าเธอทำผิดไปแล้ว แต่ถ้าหากเธอท้องโย้ในเวลานี้แล้วไม่สามารถตอบได้ว่าใครเป็นพ่อของลูก เธอกลัวว่าชื่อเสียงของบิดาที่สร้างมาจะเสียชื่อไปด้วย
ซีซวนโถมตัวกอดบิดาน้ำตาซึม เธอได้แต่ขอโทษในใจ และคิดว่าเธอควรจะไปเยี่ยมเพื่อนสนิทสักครั้ง และหวังว่ากุ้ยหนิงอันจะไม่เจอเรื่องเดียวกับเธอ
นายท่านซ่งได้แต่แปลกใจ เพียงแค่ขอไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำไมซีซวนของเขาต้องร้องไห้น้ำตาซึมด้วย
กลับมาทางด้านกุ้ยหนิงอัน เมื่อรู้ถึงร่างกายของตัวเองว่ามีลูกน้อยอยู่ในท้อง หลังจากจ่ายเงินและรับยาแล้ว จึงมุ่งหน้ากลับมายังบ้านเพื่อมาเจอครอบครัว
“อันอัน ทำไมวันนี้กลับมาเร็วล่ะลูก แล้วทำไมเอาเสื้อกันหนาวถือไว้ อากาศเช่นนี้ไม่หนาวเหรอลูก”
กุ้ยจื่อหลงเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกกลับมาเร็วกว่าปกติ อีกทั้งอาการของลูกคล้ายกับคนใจลอย เสื้อกันหนาวที่ใส่ไปเมื่อเช้ากลับถือไว้เสียอย่างนั้น
“พ่อคะ แม่อยู่ไหม ฉันมีเรื่องจะคุยกับพ่อแม่ค่ะ”
ระหว่างทางกลับมา เธอตั้งใจแล้วว่าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับพ่อแม่ เพื่อไม่ให้ท่านทั้งสองและน้องชายฝาแฝดอับอาย เธอจะขอออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกหมู่บ้านแทน อย่างน้อยเธอก็เป็นขี้ปากเพียงคนเดียว
เมื่อสามคนพ่อแม่ลูกนั่งกันพร้อมหน้า กุ้ยหนิงอันจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่เธอท้องออกมา
“พ่อ แม่ ฉันท้อง!”
ใบหน้างามอาบไปด้วยน้ำตา ไม่ใช่เจ็บปวดที่กำลังจะมีลูก แต่เธอเจ็บปวดที่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจและผิดหวัง
“เกิดอะไรขึ้น อันอันบอกกับพ่อได้ไหม ลูกพ่อท้องแล้วยังไง ท้องเราก็เลี้ยง ยังไงเจ้าก้อนแป้งก็หลานพ่อ”
น้ำเสียงของกุ้ยจื่อหลงสั่นเครือเล็กน้อย ไม่ใช่ไม่เสียใจกับคำสารภาพของลูกสาว เพียงแต่เขาเป็นพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาต้องเข้มแข็งให้ลูกเห็น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เขายินดีจะเกาะกุมมือลูกสาวที่เขาเลี้ยงมาให้ผ่านปัญหาไปด้วยกัน
“นั่นสิอันอัน ลูกเล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปักกิ่ง อันอันไม่ต้องกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พ่อกับแม่จะคอยพยุงลูกเอง” จางหานกล่าวขึ้นมาอีกคน
ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวของเธอจะต้องผ่านไปให้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกเหรอ เธอกำลังจะมีหลานตัวน้อยแล้ว
บทส่งท้ายครอบครัวที่มีความสุขจิ้งเจี้ยนซาพาลูก ๆ มาที่เซียงไฮ้ และแวะมาเยี่ยมเยียนซีซวนด้วย ซ่งซีซวนนำลูก ๆ ออกมาต้อนรับเพื่อนสนิทด้วยความคิดถึง พอเจอหน้ากันก็รีบโผกอดอย่างเร็ว“ซวนซวนเป็นยังไงบ้าง” กุ้ยหนิงอันผละออกและเปิดปากถามก่อน“ก็เรื่อย ๆ ตอนนี้งานฉันเริ่มจะเข้าที่เข้าทางแล้ว”ซีซวนก็กลอกตามองบน ตอบคำถามไปอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะตั้งแต่แต่งงานมา เธอยังไม่มีเวลาส่วนตัวเลย เนื่องจากถูกนายท่านสามลากไปเรียนรู้งาน พอกลับมาบ้าน ก็ต้องรับมือกับลูก ๆ ตกดึกยังมีสามีที่นอนรออยู่บนเตียงอีก“เธอกับสามีล่ะ” จากนั้นก็ถามกุ้ยหนิงอันกลับไป พร้อมกับเหลือบไปมองสามีของเธอ และเพื่อนสนิทที่กำลังดูแลลูก ๆ อยู่“ก็กำลังปรับตัวกันอยู่ พี่เจี้ยนซาเขาไม่ค่อยถนัดงานบริหาร ฉันเองก็ต้องเรียนรู้ไปกับเขาด้วย” กุ้ยหนิงอันจึงตอบกลับไป เธอเองก็ไม่ต่างจากเพื่อนนัก“พอเธอมา ฉันเลยหาข้ออ้างที่จะหยุดกับอาสามได้”ซีซวนบ่นอุบให้เพื่อนสนิทฟังอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็พรั่งพรูความลำบากที่ถูกนายท่านสามซ่งใช้งานอย่างหนัก โดยมีกุ้ยหนิงอันนั่งฟังไปด้วย หัวเราะไปด้วยส่วนจิ้งเจี้ยนซาและหลันอี้ข่าย ก็รับหน้าที่ดูแลเด็กทั้งสี่ค
บทที่ 73ช่วยกันทำงานหลังจากที่นายท่านจิ้งเริ่มวางมือ งานของจิ้งเจี้ยนซาก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้แผนงานของเขานั้นแทบไม่มีเวลาที่จะได้อยู่กับภรรยา กุ้ยหนิงอันก็มาช่วยงานสามีเช่นกัน ในฐานะผู้ช่วย“สวัสดีครับคุณชายจิ้ง”นายท่านไช่ คู่ค้าของธุรกิจตระกูลจิ้ง ตั้งแต่รุ่นพ่อที่มีนัดกับจิ้งเจี้ยนซาในวันนี้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อชายหนุ่มที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กเดินเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นและเอ่ยทักทาย“สวัสดีครับท่าน” จิ้งเจี้ยนซาก็คุ้นเคยกับชายวัยกลางคนตรงหน้าไม่น้อย เนื่องจากนายท่านไช่นั้นเป็นรุ่นน้องของพ่อเขาอีกที“ไม่เจอกันเสียนาน งานแต่งงานต้องขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ไป”นายท่านไช่เอ่ยขอโทษ เพราะงานแต่งงานของจิ้งเจี้ยนซานั้นเขาไม่ได้ไปร่วม เนื่องจากมีงานด่วนที่ต่างประเทศ ทำได้เพียงส่งของขวัญไปแสดงความยินดีเท่านั้น“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมเข้าใจว่าท่านไปต่างประเทศ” ซึ่งจิ้งเจี้ยนซาก็เข้าใจ“ยังไงก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะ” นายท่านไช่จึงแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง“ขอบคุณครับ นี่กุ้ยหนิงอัน ภรรยาของผมครับ” จิ้งเจี้ยนซาตอบรับ และแนะนำภรรยาที่มาด้วยกันให้ผู้ใหญ่รู้จัก“สวัสดีค่ะนายท่านไช่” กุ้ยหนิงอันค้อมก
บทที่ 72ค่าสินสอดที่ถูกกล่าวขาน จิ้งเจี้ยนซาพาครอบครัวภรรยา และลูก ๆ เดินทางมาที่ปักกิ่ง เพื่อจัดเตรียมงานแต่งงานของเขาที่นี่ ถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว ก็ไม่เชิงว่ามาจัดเตรียมงานเท่าไรนัก เพราะคนที่จัดการเรื่องนี้ และอาสาทำเองทุกอย่างคือนายท่านจิ้งที่เดินทางมาจัดเตรียมงานก่อนพวกเขาเสียอีกครอบครัวกุ้ยได้เชิญคนในหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีมาด้วย แต่เว้นแต่บ้านใหญ่ ที่ตอนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว และคนที่ถูกเชิญก็จะตามมาเมื่อใกล้ถึงวันงาน โดยมีบ้านสามกุ้ยเป็นคนพามานั่นเองพอจิ้งเจี้ยนซา และคนบ้านกุ้ยมาถึงปักกิ่งก็เข้าพักที่คฤหาสน์ของตระกูลจิ้งกันวันแรกถือเป็นการพักผ่อน และทำตัวให้ชินในเมืองหลวง ซึ่งคนบ้านกุ้ยก็ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้วแต่วันที่สองนั้นกุ้ยหนิงอันก็ถูกสามีลากมาลองชุดแต่งงานที่ห้องเสื้อแห่งหนึ่ง หญิงสาวก็ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ“ชุดนี้เป็นยังไงบ้างคะ” เธอลองชุดออกมาให้สามีดูเป็นชุดที่ห้า ซึ่งเขาก็ดูพอใจกับทุกชุด เพียงแต่แค่เขาเห็นส่วนไหนที่วาบหวิวเพียงนิดเดียว ก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันที“ชุดนี้ดีครับ” จิ้งเจี้ยนซาพยักหน้าพอใจเมื่อเห็นภรรยาในชุดแต่งงาน เขาอยากใ
บทที่ 71 งานมงคลของซ่งซีซวนหลังจากที่กุ้ยจื่อหลงจัดการปัญหากับบ้านใหญ่แล้ว คนบ้านกุ้ยก็มาทุ่มเทให้กับสวนผลไม้ โดยมีจิ้งเจี้ยนซาคอยช่วยเหลือทุกอย่าง เนื่องจากเขาลาออกจากราชการแล้วจึงมีเวลาช่วยงานภรรยากุ้ยหนิงอันเองก็ช่วยสามีทำงานเช่นกัน เพราะตอนนี้นายท่านจิ้งนั้นได้เริ่มวางมือให้ลูกชายไปช่วยดูแลธุรกิจให้แล้ว ทำให้สองสามีภรรยาไม่ค่อยมีเวลาว่างกันเลยจนใกล้วันที่เป็นงานแต่งงานของซ่งซีซวนและหลันอี้ข่ายแล้ว บ้านกุ้ยจึงขนกันไปที่เซียงไฮ้ เพื่อร่วมงานแต่งงานของทั้งสองคนในส่วนงานแต่งงานของกุ้ยหนิงอันและจิ้งเจี้ยนซานั้น ตกลงกันไม่ได้ เพราะนายท่านจิ้งก็อยากจะจัดงานที่ปักกิ่งด้วย จึงทำให้จะมีงานแต่งงานถึงสองที่ด้วยกัน งานแต่งงานของซีซวนในครั้งนี้ จิ้งเจี้ยนซาก็ถือโอกาสมาแจกการ์ดงานแต่งงานของเขาด้วยเช่นกันงานแต่งงานของซ่งซีซวนรอบบ่ายจัดขึ้นที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนายหญิงหลันที่เป็นคนจัดเตรียมทุกอย่าง ทำให้งานออกมาอลังการเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ทางเข้างานก็รับรู้ได้ถึงความหรูหรา ส่วนตอนเช้าได้ทำพิธียกน้ำชาตามธรรมเนียมเรียบร้อยแล้วกุ้ยหนิงอันนั้นถือว่าเป็นญาติทางซีซวน จึงมีคนมาพาเธอและลูก ๆ ไ
บทที่ 70 รบเร้าอยากแต่งงานหลังจากงานศพของแม่เฒ่ากุ้ยผ่านพ้นไป กุ้ยจื่อหลงแม้จะมีเศร้าใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทุกข์ตรม แต่ว่าพอเสร็จสิ้นงานศพ พี่ใหญ่ หรือลุงใหญ่กุ้ยก็มาคุยกับเขา คือเรื่องที่อีกฝ่ายนั้นใช้เงินไปจนหมดกับการจัดงานแล้ว ไหนจะหลานชายที่ถูกจับตัวไปอีก ทางนั้นต้องการให้เขาบอกกับลูกเขย ใช้เส้นสายพาหลานชายออกมา“พ่อเป็นอะไรไปคะ” กุ้ยหนิงอันเดินผ่านไปแล้วเห็นพ่อนั่งคิดอะไรอยู่จึงเดินเข้าไปถามไถ่“อันอัน”“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” กุ้ยหนิงอันเห็นสีหน้าของคนเป็นพ่อก็รู้สึกไม่ดี เพราะพ่อกุ้ยเหมือนมีเรื่องเครียดอะไรที่เธอไม่รู้“ลุงใหญ่ของลูกขอให้ช่วยลูกชายเขาที่ติดคุกอยู่ตอนนี้”แต่เมื่อกุ้ยจื่อหลงเอ่ยออกมา กุ้ยหนิงอันกลับมีสีหน้าที่เอือมระอา ขนาดตงเฉิงทำเรื่องร้ายแรง จนทำให้ย่ากุ้ยต้องตายไป บ้านใหญ่ยังถือหางอยากจะช่วยเขาอีก เธอไม่แปลกใจเลยที่ลูกชายของลุงใหญ่จะเติบโตมาแบบนี้“เราช่วยไม่ได้หรอกนะคะพ่อ เขาทำผิด ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีเอง” และแน่นอนว่าเธอต้องปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้“พ่อว่าจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับงานศพของย่า อันอันคิดเห็นยังไงลูก”กุ้ยจื่อหลงก็ไม่ได้ค
บทที่ 69 ตัดสินใจลาออก หลังจากผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในที่สุดก็ถึงวันที่ซีซวนขึ้นรับตำแหน่งแทนนายท่านซ่ง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนหรือกรรมการต่างก็เห็นด้วย เพราะรู้ดีว่าซีซวนนั้นเป็นสะใภ้รองของตระกูลหลัน และยังมีตระกูลหยางรวมถึงเธอยังเป็นเพื่อนรักกับสะใภ้เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลจิ้งอีกด้วยวันนี้ภายในงานจึงมีแขกมากมายมาร่วมยินดี ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจไม่ใช่เพราะซีซวนขึ้นรับตำแหน่งแทนบิดา แต่เป็นคนที่ซีซวนเอ่ยขึ้นเพื่อให้รักษาการในตำแหน่งนี้แทนเธอมากกว่า“วันนี้ต้องขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงาน วันนี้ฉันจะขอแจ้งรายชื่อรองผู้นำ ซึ่งนั่นก็คือซ่งโหมวช่าย หรือก็คืออาสามของฉันเอง”นายท่านสามซ่งได้แต่นิ่งค้างเมื่อตำแหน่งรองผู้นำตระกูลตกลงมาบนหัว ก่อนจะมองหน้าพี่ชายและหลานสาวด้วยคำถามทันทีที่เห็นพี่ชายพยักหน้าให้ เขาจึงเดินมาหาหลานสาวบนเวที“เพราะอะไรซีซวน”“เพราะอาไม่เคยคิดร้ายฉันและคุณพ่อยังไงล่ะคะ อีกทั้งตัวฉันเองอายุยังน้อย ยังต้องศึกษาอีกหลายเรื่อง เมื่อคุณพ่อวางมืออาสามจึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดแล้ว อีกทั้งเราคือครอบครัวเดียวกันค่ะ”ต่อให้ที่ผ่านมาเธอใช้ความรู้คำว่าครอบครัวต