บทที่ 9 อ้อมกอดที่อบอุ่น
เหิงเยว์กลับมาจากวังหลวงอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อมาถึงเรือนก็ได้นำม้าให้แก่บ่าวไปผูกไว้ที่คอก เขาเองก็อยากกลับมาพักผ่อนที่ห้องแต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้จะถึงห้องของตนเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของเด็ก ๆ เรียกท่านแม่ เขาวิตกกังวลคิดว่าหานเสี่ยว์จะทำมิดีมิร้ายกับเด็ก ๆ อีกแต่เมื่อเขาไปถึงก็เห็นว่าหานเสี่ยว์กำลังล่วงหล่นมาจากต้นไม้ เขารีบกระโดดเข้าไปรับนางทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรกลัวนางจะได้รับบาดเจ็บเสียมากกว่า อิสตรีปากร้ายจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนางเมื่อเขาเห็นนางนอนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่สมกับเป็นนางสักเท่าไหร่นักและจิตใจของเขาเองก็หงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเขารับตัวนางไว้ได้ใจของเหิงเยว์โมโหมากที่นางไม่รู้จักระวังตัวหากได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้นางต้องนอนอยู่บนเตียงนานหลายวันเป็นแน่ แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของนางอย่างใกล้ชิดใจของเขาก็เริ่มสั่นไหว นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ ทั้งที่เขาต้องเกลียดนางที่คอยรังแกเด็ก ๆ เขาจึงทำได้เพียงตวาดใส่นางอย่างหงุดหงิดใจ ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่เคยสังเกตหรือเพราะว่านางเปลี่ยนไปถึงทำให้เขาว้าวุ่นหัวใจได้ถึงเพียงนี้ ก่อนที่นางจะขอโทษและบอกให้เด็ก ๆ ให้กลับที่ห้องของตนเองส่วนเหิงเยว์ก็ได้กลับห้องของตนเองด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เขาเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องของหานเสี่ยว์จนปวดหัวจึงได้ออกมาด้านนอกเพื่อรับลม
เหิงเยว์ได้เดินรับลมก็ได้เห็นสาวใช้ข้างกายของหานเสี่ยว์เดินอย่างรีบร้อนไปที่ห้องของเลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ เขาจึงได้คอยดูอยู่ห่าง ๆ สักพักก็เห็นเด็ก ๆ เดินตามเข่อซิงมาแสดงอาการตื่นเต้นดีใจพากันรีบเดินไปที่ห้องโถง มีหรือที่เหิงเยว์จะไม่สงสัย เขาก็ได้ตามไปดูว่าหานเสี่ยว์คิดจะทำอะไรลูกเขาอีกหรือไม่
“มากันแล้วสินะ นั่งลงสิ” จิวฉิงที่อยู่ในร่างของหานเสี่ยว์ก็ได้กวักมือเรียกให้ทั้งสองมานั่งที่เก้าอี้ของตนเอง คนละฝั่งโดยมีนางนั่งตรงกลาง
“อาหารพวกนี้กินได้จริง ๆ หรือเจ้าคะข้าไม่เคยเห็นมาก่อนแถมกลิ่นยังหอมมาก ๆ อีกด้วย” ลู่เอ๋อร์ชื่นชมอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น ส่วนเลี่ยงเฟิงเองก็ไม่รอช้าหันไปบอกกับหานเสี่ยว์และลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
“แม้อาหารจะมีหน้าตาดีเพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่าจะอร่อยหรอกนะ เดี๋ยวข้าจะชิมก่อน” เลี่ยงเฟิงยังคงถือตนเพราะยังระแวงในตัวของหานเสี่ยว์อยู่
“เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะใส่ยาพิษในอาหารหรอกใช่มั้ย? ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่กล้าที่จะกินมันก่อน” หานเสี่ยว์ยิ้มมุมปากเมื่อเอาชนะใจของเลี่ยงเฟิงได้ เขาหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก ลู่เอ๋อร์นั่งจดจ่อมองใบหน้าของผู้เป็นพี่อย่างคาดหวัง เมื่อลิ้นรับรสชาติความอร่อย เลี่ยงเฟิงเบิกตาโพลงโตยิ้มกริ่มก่อนจะหันไปบอกกับลู่เอ๋อร์
“เจ้ารีบกินเถอะอาหารที่อยู่บนโต๊ะนี้ช่างอร่อยจริง ๆ ”
“ว๊าว ^ ^หากท่านพี่บอกว่าอร่อยมันต้องอร่อยมากแน่ ๆ ข้ากินแล้วนะเจ้าคะ” เด็กหญิงได้หันมาบอกหานเสี่ยว์ก่อนจะลงมือกินอาหาร นางมองดูเด็ก ๆ อย่างเอ็นดูในที่สุดนางก็เอาชนะใจเด็ก ๆ ได้ อาหารที่โลกของเธอมันเป็นเมนูที่ง่าย ๆ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแต่ที่นี่ไม่มีของเช่นนี้กิน เลยทำให้เด็ก ๆ ตื่นเต้นกับอาหารที่เธอทำ
“อร่อยจริง ๆ ด้วย ท่านแม่ก็กินด้วยกันสิเจ้าคะ”
“หากอร่อยพวกเจ้าทั้งสองก็กินกันเยอะ ๆ นะข้าทำไว้เยอะเลย” หานเสี่ยว์พูดจบก็ได้หยิบตะเกียบของตนตักอาหารกินกับเด็ก ๆ สายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ริมหน้าต่างด้านนอกเห็นแววตาใบหน้าความอ่อนโยนที่หานเสี่ยว์ไม่เคยแสดงมาก่อนก็ยิ่งทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างมาก หรือสตรีที่อยู่ในร่างนี้มิใช่หานเสี่ยว์ตัวจริง เขาคิดเช่นนั้นก็รีบส่ายหัวไปมา มันจะเกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร เขารีบเข้าไปหาเพราะคิดว่าหานเสียว์สตรีจิตใจโหดร้ายคงไม่เปลี่ยนเป็นคนละคนได้อย่างแน่นอน นางคงวางแผนนี้มาเพื่อแก้แค้นลูก ๆ ของเขา ที่ทำให้นางตกน้ำเกือบตายได้ สตรีที่ใดจะใจดีกับเด็กที่จะฆ่าตนเองได้เล่า
“พวกเจ้าทำอันใดกันที่นี่” เหิงเยว์ก้าวเท้าเดินเข้ามา เข่อซิงก้มหัวให้และเดินออกไปด้านนอก ในทั้งสี่คนได้อยู่ด้วยกัน
“ท่านไม่มีตาหรือไงก็เห็นอยู่ว่ากินข้าวอยู่ยังจะถาม นี่เลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์พวกเจ้าต้องกินปลาให้เยอะ ๆ นะจะได้ฉลาด” หานเสี่ยว์อดไม่ได้ที่จะพูดถากถาง เขาเองก็เห็นว่านางกำลังนั่งกินอาหารยังจะมาถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“เฮอะ สตรีเช่นเจ้าก็ยังคงเป็นเช่นเดิมข้าคิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนนิสัยแต่ดูจากคำพูดคำจาของเจ้า เจ้าก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่ต่างแม้แต่น้อย "
“ท่านพ่อท่านแม่อย่าเอ่ยวาจาทำร้ายจิตใจกันอีกเลยเจ้าค่ะ ถือว่าข้าขอนะเจ้าคะ " ลู่เอ๋อร์ได้อ้อนวอนให้ทั้งคู่หยุดต่อว่ากัน
“นั้นสิท่านพ่อ ข้าเห็นด้วยกับลู่เอ๋อร์ท่านแม่เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ท่านแม่ขอรับพูดกับท่านพ่อดี ๆ ได้หรือไม่ขอรับ ถือว่าข้าขอ” เมื่อเด็กทั้งสองออดอ้อนมีหรือที่เขาทั้งสองจะไม่ใจอ่อน
“ก็ได้ ๆ คิดเสียว่าครั้งนี้เด็กทั้งสองขอข้าก็แล้วกัน " หานเสี่ยว์ตอบปัดๆเพราะนางเองก็ไม่อยากจะอารมณ์เสียในเวลากินข้าวเช่นนี้
“ท่านพ่อนั่งลงข้าง ๆ ข้าสิเจ้าคะ ท่านแม่ทำอาหารอร่อยมากเลย ท่านพ่อคงยังไม่ได้กินอาหารเย็นสินะเจ้าคะ ท่านแม่ให้ท่านพ่อกินกับพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ เห็นท่านแม่บอกว่าทำไว้เยอะเลย แบ่งให้ท่านพ่ออีกคนคงไม่เป็นอะไรหรอกใช่มั้ยเจ้าคะ?” ลู่เอ๋อร์เสียงเล็กเสียงน้อยเอ่ยขอให้บิดาของตนนั่งร่วมโต๊ะในครั้งนี้ด้วย หานเสี่ยว์ที่หลงลู่เอ๋อร์อยู่แล้วจึงได้ตามใจนาง
“แล้วแต่เจ้าเถิด “
“เย้ ๆ ท่านแม่ใจดีที่สุด เห็นมั้ยเจ้าคะว่าท่านแม่ทรงเปลี่ยนไปแล้ว” ลู่เอ๋อร์ยิ้มร่า หานเสี่ยว์ก็ลุกขึ้นไปตักอาหารให้แก่เหิงเยว์ ในตอนแรกเขาเองก็ลังเลที่จะกินมันแต่เขาเห็นว่าเด็ก ๆ ก็ไม่เป็นอะไรจึงได้ลองชิมดู เมื่อคำแรกผ่านไปเขาก็ไม่รีรอกินจนหมดชามในพริบตา
เด็กทั้งสองกินอาหารเสร็จแล้วก็ได้ขอให้ท่านพ่อกับหานเสี่ยว์เดินไปส่งที่ห้องนอน สาวใช้เมื่อเห็นนายของตนออกมาก็ได้เข้าไปเก็บชามบนโต๊ะพร้อมทำความสะอาด หานเสี่ยว์ได้จับมือลู่เอ๋อร์พร้อมเดินมาส่งทั้งสอง โดยมีเหิงเยว์เดินตามหลังและเข่อซิงเองก็เดินตามหลังทั้งสี่คนอีกที
เขามองด้านหลังของสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เคยมองมาก่อน เขากับนางก็อยู่กับมาหลายปีตั้งแต่เด็กตัวเล็ก ๆ จนตอนนี้ก็เริ่มโตมากแล้ว เขาไม่เคยสนใจนางเลยแต่นางก็ยังคงทนอยู่กับเขา เหิงเยว์เริ่มเปิดใจให้แก่หานเสี่ยว์ไม่แน่นางอาจจะไม่ใช่สตรีที่ร้ายกาจก็ได้
“ท่านแม่วันนี้ข้ามีความสุขมากเลยเจ้าค่ะ มันเป็นเหมือนความฝันของข้าที่ได้นั่งกินอาหารพร้อมกัน และมีท่านแม่กับท่านพ่อมาส่งข้าที่ห้องราวกับความฝัน หากรุ่งเช้าข้าตื่นมากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ กลัวว่าความสุขในวันนี้จะเป็นเพียงความฝัน” ลู่เอ๋อร์ได้เอ่ยออกมาเมื่อมาถึงหน้าห้องของตน เมื่อหานเสี่ยว์ได้ยินคำพูดของเด็ก 5 ขวบทำให้นางแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวโผล่กอดเด็กหญิงตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด
“เจ้าไม่ต้องกลัวนะ นี่ไม่ใช่ความฝันหากเจ้าอยากให้ข้ามาส่งเจ้าทุกวันย่อมได้ จากนี้ข้าจะกินอาหารกับพวกเจ้าทั้งสองในทุกวัน “ อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของหานเสี่ยว์โอบกอดร่างเล็กทำให้เธอได้รับความอบอุ่นที่หัวใจโหยหาแขนเล็ก ๆ ก็ได้โอบกอดเธอเช่นเดียวกัน
“ลู่เอ๋อร์เข้านอนเถิด ตอนนี้น้ำค้างเริ่มลงแล้ว” เหิงเยว์ได้บอกแก่บุตรสาวของเขา เลี่ยงเฟิงเองก็อยากจะได้รับอ้อมกอดนั้นบ้างจนยืนบิดมือไปมา ทำให้หานเสี่ยว์สังเกตได้แต่เลี่ยงเฟิงถูกสอนมาเป็นพี่ชายที่แข็งแกร่งจึงไม่กล้าแสดงออกเช่นลู่เอ๋อร์ หานเสี่ยว์ก็เข้าไปโอบกอดโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยขอ
“เจ้าเองก็ต้องการเช่นลู่เอ๋อร์ใช่หรือไม่ ? หากเจ้าพยักหน้าให้ข้าข้าจะมาส่งเจ้าเข้านอนทุกวันเช่นเดียวกับลู่เอ๋อร์” อ้อมกอดของสตรีที่เฆี่ยนตีเขามาตลอด ไม่เคยคิดเลยว่าอ้อมกอดของนางจะอบอุ่นถึงเพียงนี้ทำให้เลี่ยงเฟิงกล้าที่จะพูดความต้องการของตนเองเช่นกัน
“ข้าเองก็ต้องการให้ท่านแม่มาส่งข้าทุกวัน และอยากให้ท่านแม่โอบกอดข้าเช่นนี้ตลอดไปช่างอุ่นเหลือเกิน ” หานเสี่ยว์ได้ยินเช่นนั้นนางเองก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลออกมา
“ได้สิ ข้าจะมาส่งเจ้าทั้งสองคนและโอบกอดพวกเจ้าด้วยความรักเอง” เหิงเยว์ที่มองดูอยู่ก็เกิดใจสั่นขึ้นมา เขาไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้และเด็ก ๆ ลูกของเขาเองก็เช่นกัน แต่ก่อนเพียงแค่เห็นใบหน้าของนางเด็ก ๆ ก็พากันตื่นกลัวจนตัวสั่นอยู่ด้านหลังเขาเสมอมาแต่ตอนนี้ทั้งสองกลับต้องการให้นางมอบความรักความอบอุ่นให้
บที่ 39 น้องของสองแฝด1 ปีต่อมา หลังจากวันนั้นหานเสี่ยว์ก็ได้ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันกับเหิงเยว์ใช้เวลาค่ำคืนด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งนางนั้นได้ตั้งท้องให้กับเหิงเยว์จนตอนนี้ท้องเริ่มแก่มากแล้ว แถมฤดูนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย เหิงเยว์จึงเฝ้าประคบประหงมไม่ให้หานเสี่ยว์ไปใกล้แม่น้ำนั้นอีกเลย ในตอนแรกเขาแทบสั่งให้บ่าวนำดินมากลบบ่อน้ำนั้นไปส่ะเพราะกลัวว่าหานเสี่ยว์คิดจะกลับไปอีก แต่ถูกนางขอไว้ เพราะนี่คือความทรงจำที่ดีของนางหากไม่มีบ่อน้ำนี้ก็ไม่มีนางเช่นกัน เหิงเยว์ถึงยอมตามใจฮูหยินของเขา "คุณหนูเข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะยืนนาน ๆ จะทำให้เหนื่อยเอาได้นะเจ้าคะท้องของคุณหนูก็โตมากกว่าสตรีที่อายุครรภ์เท่ากันด้วยซ้ำ หรือว่าคุณหนูจะตั้งท้องแฝดเจ้าคะ"เข่อซิงที่คอยประคองหานเสี่ยว์ได้เอ่ยขึ้นพร้อมมองไปที่ท้องของหานเสี่ยว์ "จริงหรือท่านแม่ เช่นนั้นก็ดีนะสิ" เลี่ยงเฟิงที่เดินมาจากห้องของตนเองก็ได้ยินที่เข่อซิงกล่าว "ท่านแม่จะมีน้องสองคนหรือเจ้าคะ งั้นก็เป็นเรื่องดีเสียจริงข้ากับท่านพี่จะได้ไม่ต้องแย่งกัน น้องจ๋าเจ้าจงออกมาเป็นหญิงหนึ่งบุรุษหนึ่งนะได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่" ลู่เอ๋อร์ใช้มือเล็กลู
บทที่ 38 ทำน้องให้เด็กทั้งสอง"หานเสี่ยว์เมื่อไหร่เจ้าจะฟื้นนี่ก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ข้าเฝ้ารอเจ้าอยู่ทุกวันเด็ก ๆ ทั้งสองก็อยากเข้ามาหาเจ้าแต่ข้าก็ต้องโกหกไปว่าเจ้าไม่สบาย เพราะข้าไม่อยากให้เลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ต้องเสียใจที่รู้ว่าเจ้าจากไป เจ้าอยู่ที่ใดไม่สงสารใจข้าบางหรือ ข้าทำได้เพียงเฝ้ารอเจ้าอย่างท้อใจข้ามิอาจทำเช่นใดได้เลยกับมาหาข้าเถอะนะ หานเสี่ยว์ ไม่สิซู่ซ่าน หรือว่าจิวฉิง ไม่ว่าเจ้าจะชื่อนามอันใดข้าก็รักที่เจ้าเป็นเจ้ากลับมาหาข้าเถอะนะตอนนี้หัวใจของข้าแทบสลายแล้ว อย่าจากข้าไปเลย ข้ารักเจ้า เจ้าได้ยินมั้ยว่าข้ารักเจ้าเพียงใด" น้ำเสียงโศกเศร้าใบหน้าซูบผอมของเหิงเยว์ที่คร่ำครวญอยู่ข้างร่างหานเสี่ยว์พร้อมจับมือนางแน่นไม่ยอมปล่อย "รักเพียงใดหรือเจ้าคะ" จิวฉิงที่ฟื้นขึ้นมาอยู่ในร่างของหานเสี่ยว์ก็ส่งยิ้มพร้อมเอ่ยถามบุรุษที่พร่ำรักนางอยู่ต่อหน้า"ข้ารักเจ้ามาก ชีวิตของข้าก็ให้เจ้าได้ เอ๊ะ! เดี๋ยวสินางยังไม่ฟื้นนี่น่าหรือว่าข้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว " เหิงเยว์ชะงักเมื่อจู่ ๆ เขาก็ตอบคำถามหานเสี่ยว์ จึงได้ใช้มือตบหน้าตนเองเบา ๆจนหานเสี่ยว์ต้องจับมือของเขาเอาไว้"อย่าตีตนเองเลยนี่มิใช่
บทที่ 37 อย่าทิ้งข้าไป"นี่เจ้าจะทิ้งข้า ทิ้งเลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ไปจริง ๆ หรือ แล้วข้าจะอยู่อย่างไรเด็กทั้งสองจะอยู่อย่างไร ไม่ข้าไม่เชื่อเจ้าต้องฟื้นสิ ท่านหมอหลอกลวงข้าเจ้าต้องฟื้น แล้วเช่นนี้ข้าจะทนได้อย่างเล่าในเมื่อตอนนี้ข้ารักเจ้าหมดทั้งหัวใจ " ความเคว้งคว้างในหัวใจของเหิงเยว์ได้ก่อตัวขึ้น เขาซบหน้าลงซบร่างกายของหานเสี่ยว์สะอึกไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ภายในห้องก็มีเพียงเสียงร้องไห้ทุกข์ระทมของทุกคน เหิงเยว์ทำอะไรมิได้ทำได้เพียงร้องไห้แม้แต่เรี่ยวแรงที่เช็ดน้ำตาของตนเขายังทำไม่ได้เสมือนโลกทั้งใบได้แตกสลายไปแล้ว ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เขาได้เสียซู่ซ่านไปมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ต่อให้เขาเรียกนางซ้ำ ๆ เท่าไร่ร่างบางที่นอนแน่นิ่งก็มิอาจตอบสนอง "ข้ามิอาจจะช่วยเหลือฮูหยินของท่านได้ ต้องขออภัยอีกครั้งร่างที่นอนไร้สติของฮูหยินไม่นานชีพจรอาจจะหยุดเต้น ถึงเวลานั้นท่านคงรู้นะขอรับ หมดหน้าที่ข้าแล้วข้าขอตัว" ท่านหมอโค้งคำนับพร้อมออกจากห้องไป ปล่อยให้เหิงเยว์จมอยู่กับความทรมานใจอยู่เช่นนั้น แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นท่านหมอ แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบเห็
บทที่ 36 ลาก่อนฝั่งด้านหานเสี่ยว์นางกินอาหารเย็นเสร็จสิ้นก็ไล่ให้เข่อซิงกลับไปพักผ่อน วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันที่นางรอคอยมาตลอด จึงอ้างกับเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ว่านางมีอาการไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้ไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย เด็กทั้งสองเห็นท่านแม่มีอาการแปลกไปจึงคิดว่าไม่สบายจริง ๆ และไม่อยากรบกวนให้ท่านแม่ได้พักผ่อน นางรอจนทุกคนเข้านอนเมื่อนางเปิดประตูดูสถานการณ์ด้านนอกเมื่อไม่เห็นผู้ใดจึงได้เดินออกมาจากห้องเพื่อไปที่สระน้ำอยู่ด้านหลังเรือน ความเงียบสงัดทำให้หานเสี่ยว์เองก็รู็สึกเงียบเหงาเหลือเกิน นางเดินไปอย่างเชื่องช้า มองรอบ ๆ เห็นภาพความทรงจำที่ผ่านมาน้ำตาใส ๆ ก็เริ่มเอ่อนอง ความผูกพันธ์กับคนที่นี่ล้วนมีความหมายกับนางเหลือเกินมันเป็นความทรงจำที่มีค่ามาก ๆ ยิ่งก้าวเท้าเดินก็ยิ่งเจ็บถึงขั่วหัวใจ รอยยิ้มแววตาของเด็กทั้งสองที่คอยยิ้มให้ก็ยิ่งทำให้นางร้องไห้มากกว่าเดิม แต่ทุกอย่างนางต้องทิ้งไว้ที่นี่ "จากนี้ข้าคงไม่ได้พบเจอพวกเจ้าอีกแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะมีความสุขในทุก ๆ วัน ลาก่อนนะเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ " เมื่อมาถึงสะพานหานเสี่ยว์ก็ได้ก้าวเท้าขึ้นไปยังสะพานเพื่อไปอยู่ตรงกลางแม่น้ำ ก่อ
บทที่ 35 คำสอนของท่านแม่คล้ายคำกล่าวลารุ่งสางมาเยือนอีกคราหานเสี่ยว์ร้องไห้ทั้งคืนเมื่อนางตื่นเช้ามาเปลือกตาของนางก็มีอาการบวมแดง เข่อซิงได้เข้ามานำน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตาก็ต้องตกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดเพราะเป็นเรื่องของเจ้านาย"คุณหนูข้านำน้ำมาให้เจ้าค่ะ วันนี้ด้านนอกอากาศดีมากหากคุณหนูล้างหน้าเสร็จแล้วเราไปด้านนอกดีมั้ยเจ้าคะ" "ดีเช่นกัน" หานเสี่ยว์ก็ได้ล้างหน้าล้างตาเข่อซิงเองก็ช่วยแปรงผมให้ ไม่นานทั้งสองก็ได้ออกมารับลมด้านนอกต้นไม้นานาชนิดเริ่มผลิใบเขียวขจี อากาศสดชื่นยิ่งนักหานเสี่ยว์ทอดสายตามองเหล่าผีเสื้อแมลงปอต่างพากันบินวนดมเกสรดอกไม้เพื่อดำรงชีวิต "คงถึงเวลาแล้วสินะ" นางเอ่ยออกมาเมื่อถึงเวลาที่นางจะต้องไปแต่หัวใจของนางตอนนี้ช่างปวดร้าวเหลือเกิน ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนางรอคอยเวลานี้มาตลอด นางคิดว่าวันที่นางไม่อยู่เด็กทั้งสองจะเป็นเช่นไรจะคิดถึงนางหรือไม่? หรือจะร้องไห้คร่ำครวญเพราะคิดถึงนาง แต่หากนางไม่ไปก็เป็นห่วงคุณย่าที่รอคอยนางอยู่อีกโลก นางยังมีห่วงหากจะอยู่ที่นี่ต่อ หานเสี่ยว์ยังคงต้องรอวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงนางถึงจะกลับได้ นางถึงเอ่ยถามเข่อ
บทที่ 34 เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะเข่อซิงเมื่อรับรู้ว่าคุณชายเหิงเยว์ต้องการอยู่เพียงลำพังกับนายหญิงของตนนางก็ก้มหน้าเพื่อรับรู้และเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมนางเองก็อยากให้นายหญิงของตนมีความสุขเสียที เพราะอย่างไรตอนนี้คุณชายเหิงเยว์ก็ได้แสดงท่าทีว่ารักนายหญิงของนางเข้าแล้วและพร้อมจะดูแลนางตลอดไป เพียงแต่นายหญิงของนางต่างหากที่เริ่มเปลี่ยนไป "อย่าพึ่งไปอยู่ชมจันทร์กับข้าเสียก่อน ""ไม่ข้าอยากจะพัก ข้าเหนื่อย" เหิงเยว์มองใบหน้าของหานเสี่ยว์ก่อนจะตัดสินใจอุ้มนางมาอยู่ในอ้อมแขน ทำให้นางตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวและกลับตกจากอ้อมแขนของเขา"หากข้าอุ้มเจ้าอยู่เช่นนี้เจ้าคงไม่เหนื่อยใช่หรือไม่ ?""อ๊าย ! นี่ท่านทำอะไรของท่านปล่อยข้าลงไปนะ ""ทำไมล่ะ เจ้าเอ่ยเองว่าเจ้าเหนื่อยข้าก็ช่วยให้เจ้าได้พักอยู่นี่อย่างไรล่ะ ""มะ....ไม่ต้องปล่อยข้าลง ข้ายืนเองดีกว่า""ฮึ ก็ได้ " เขาปล่อยนางให้ยืนเอาเอง ตอนนี้หัวใจของหานเสี่ยว์เต้นแรงเมื่อร่างกายสัมผัสกันแถมเมื่อครู่ตอนที่เขาอุ้มนางได้กอดคอเขาแน่นเพราะกลัวตกได้ยินเสียงหัวใจของเหิงเยว์ที่เต้นไม่เป็นจังหวะทั้ง ๆ ที่นางพยายามห