ตอนที่ 5
เด็กแฝดตระกูลซู
หว่างตันเดินตรงเข้ามาหาเหยาเหยา ท่าทางของเขานั้นดูเกรงใจปนลังเลอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมา หญิงสาวที่ได้ยินทุกถ้อยคำสนทนาเมื่อครู่ก็จ้องเข้าไปในรถม้านั้นแล้วย่นจมูกใส่เพราะความหมั่นไส้
“ท่านให้ข้านั่งคันไหนงั้นหรือ” เธอถามเสียงขุ่น มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่มีไมตรีนัก
สุดท้ายเธอก็จำต้องก้าวขึ้นรถม้าขนงาอย่างหมดทางเลือก อายก็อาย ขมขื่นก็ขมขื่น แต่ยังดีกว่าให้เขามัดแขนมัดขาโยนขึ้นมาแบบผักแบบปลานั่นแหละนะ
ทันทีที่เธอนั่งลงบนกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเศษเปลือกงา เสียงซูอวี่ก็ดังขึ้นสั่งการทันที
“ออกเดินทางได้!”
ล้อไม้ของรถม้าเริ่มหมุนส่งเสียงดังกึกกักไปตลอดทาง เหยาเหยานั่งกระเด้งกระดอนอยู่บนรถม้าคันนั้น หัวสั่นหัวคลอนแทบจะโขกขอบไม้ก็หลายรอบ
‘โอ๊ย! คนอย่างเหยาเหยาเกิดมาเคยนั่งแต่เบาะโซฟานิ่ม ๆ นี่ต้องมานั่งรถม้าขนงา พระเจ้า! ฉันจะกลิ้งลงข้างทางไหมเนี่ย!’
ขบวนคาราวานยังคงเดินทางไปเรื่อย ๆ แสงแดดยามบ่ายสาดเปรี้ยงลงมาจนพื้นดินร้อนระอุ รถม้าหลายคันเคลื่อนไปตามถนนคดเคี้ยวท่ามกลางหุบเขา รถม้าของซูอวี่และเด็กแฝดเคลื่อนตัวอยู่ด้านหน้าสุด ตามด้วยรถขนงาที่มีเหยาเหยานั่งแทรกอยู่กลางกองงา ส่งกลิ่นหืนจาง ๆ ผสมกับกลิ่นฟางแห้งทั้งหมดอยู่กลางขบวน ข้างหลังมีชายฉกรรจ์ขี่ม้าปิดท้ายอีกสามถึงสี่คนเพื่อความปลอดภัย
อากาศร้อนจัดจนเม็ดเหงื่อนั้นผุดซึมเต็มแผ่นหลัง หญิงสาวที่ตอนแรกยังพอบ่นขำ ๆ อยู่ในใจก็เริ่มหมดมุกจะสาปแช่ง ความร้อนบวกกับการโคลงไปเคลงมาของรถม้าทำให้เธอเริ่มมึนหัว หน้าผากมนมีเหงื่อผุดขึ้นมาเกาะเต็มกรอบหน้า ร่างเอนไปซ้ายทีขวาทีเหมือนงวงช้างที่กำลังจะฟาดลงพื้น
“ฮื่อ~ เกิดใหม่ทั้งทีจะให้มาตายอีกรอบเพราะแดดเผามันก็กระไรอยู่นะเหยาเหยา”
เธอบ่นในใจพลางพยายามยกชายแขนเสื้อที่มีขึ้นบังแดดอย่างสิ้นหวัง ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเป็นลมในรถขนงา เด็กแฝดในรถม้าด้านหน้าก็กำลังแอบมองผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ออกไปยังรถม้าด้านหลัง
“ท่านแม่ไม่โวยวายเหมือนก่อนเลยนะเสี่ยวซู” ต้าซูหรือซูไป๋จื้อกระซิบกับน้องสาวพร้อมเบิกตามองอย่างสงสัย
“ใช่เจ้าค่ะท่านพี่ เสี่ยวซูก็ว่าแปลก ตอนท่านพ่อไม่อยู่ ท่านแม่ชอบด่าคนเสียงดัง ทำไมตอนนี้เงียบจังเลย” เสี่ยวซู หรือซูไป๋ฮวาเสริมด้วยเสียงแผ่ว
“หรือท่านแม่จะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีกแล้วงั้นหรือ” เด็กชายเริ่มเพ้อพก ส่งผลให้น้องสาวทำตาโตแล้วส่ายหน้า
“ข้ากลัว.. ท่านพี่ข้ากลัว”
เสียงนินทาจากลูก ๆ ทำให้ซูอวี่ที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางเงยหน้าขึ้น เขามองตามสายตาเด็ก ๆ ไปยังรถม้าขนงา แล้วเห็นร่างบาง ๆ ที่ตอนนี้กำลังฟาดแขนพาดขาไปมาจนดูแทบไม่เหลือสภาพสตรีร้ายกาจอย่างในอดีต เขาเบ้ปากเล็กน้อยพลางคิดในใจว่ายังไม่ตายก็บุญแล้วก่อนจะหันหน้ากลับมา
“เจ้าทั้งสองหิวหรือยัง” เขาเอ่ยถามลูก ๆ เสียงนุ่ม มือใหญ่เอื้อมไปหยิบห่อผ้าสีเรียบที่ด้านในบรรจุขนมทำจากแป้งข้าวเหนียวห่อใบไผ่อย่างดี
“วันนี้ท่านพ่อเตรียมขนมเจี่ยนกั่วมาให้.. ลองชิมดูสิ”
“จริงเหรอเจ้าคะ!” เสี่ยวซูตาโตทันทีขณะที่ต้าซูเองก็ขยับตัวมานั่งใกล้ผู้เป็นพ่อ
“ของโปรดลูกเลยใช่ไหมล่ะ”
ซูอวี่หัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะป้อนขนมให้ลูกคนละชิ้น มืออีกข้างลูบหัวลูกสาวเบา ๆ ก่อนจะหันไปจัดชายผ้าให้ลูกชายที่นั่งเอียงตัวจนขาเกือบโผล่
ซูไป๋ฮวานั่งเงียบอยู่ข้างพี่ชาย แม้จะอิ่มท้องจากขนมเจี่ยนกั่วจนเกือบง่วง แต่สายตากลมใสกลับไม่อาจละไปจากรถม้าคันกลางได้เลย
เธอแอบชะโงกมองผ่านม่านหน้าต่างหลายครั้ง แม้ในใจจะยังกลัวท่านแม่คนนั้นอยู่ แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงรู้สึกเป็นห่วงไปด้วยทุกทีที่เห็นอีกฝ่ายโยกไปโยกมาเหมือนจะหลุดจากรถจนกระทั่ง
“ท่านพ่อ! ท่านแม่.. ท่านแม่ล้มไปแล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงเล็กแหลมของไป๋ฮวาดังขึ้นพร้อมกับร่างจิ๋วที่ชะโงกหน้ามาตรงช่องหน้าต่างจนแทบจะหลุดออกไปนอกตัวรถ ซูอวี่ที่กำลังจะยื่นขนมชิ้นใหม่ให้ลูกชายถึงกับชะงัก
เขาเหลียวไปมองทางรถม้าคันกลางที่เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งทรุดลงกับกองงา ร่างหญิงสาวเอนไปพิงเสาไม้ประคองตัวเองแต่กลับหมดแรงไร้การตอบสนอง นั่นก็เพียงพอที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที
“หยุดรถ!”
เสียงสั่งเข้มทำให้ขบวนคาราวานหยุดลงรวดเร็ว เขาเปิดม่านรถม้ากระโดดลงไปในพริบตา ก่อนจะวิ่งไปยังรถคันที่หญิงสาวโดยสารมา
ซูอวี่ปีนขึ้นไปบนรถม้าแล้วชะโงกหน้าดู เห็นร่างเฉาซีฟุบอยู่ในท่าไม่น่าดูนัก ใบหน้าเธอซีดเผือด แก้มแดงเพราะแดดและเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผาก
“บ้าจริง” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วไม่รอช้าช้อนตัวเธอขึ้นแนบอก แม้จะเป็นคนที่เขาอยากฆ่าให้ตาย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างประหลาด จะว่าเกลียด.. ก็ใช่ จะว่ารัก.. ก็เหมือนจะใช่ละมั้ง
ซูอวี่อุ้มร่างของเธอขึ้นมาบนรถม้าตัวเอง ก่อนจะวางเธอลงข้างลูก ๆ อย่างระมัดระวัง
“ท่านแม่.. เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” ซูไป๋ฮวาถามเสียงสั่น ต้าซูเองก็จ้องอย่างไม่วางตา
ซูอวี่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกมาเช็ดหน้าเช็ดคอให้หญิงสาวอย่างเบามือ น้ำเสียงที่ออกคำสั่งคนอื่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกระซิบเบา ๆ ข้างหูเธอ
“แดดแค่นี้คงไม่ทำให้นางตายได้หรอกนะ ฮั่วเฉาซี เจ้าทนได้แค่นี้หรือ..”
ผ่านไปครู่ใหญ่เปลือกตาของเหยาเหยาก็ค่อย ๆ กะพริบลืมตาขึ้นมาอย่างงง ๆ รู้สึกถึงกลิ่นอ่อน ๆ จากเสื้อของชายตรงหน้าและสัมผัสอุ่น ๆ บนหน้าผาก
“ท่าน!” เธอเบิกตาโพลงลุกพรวดจะลุกหนีแต่ถูกมือหนากดไว้
“จะลุกไปไหน ยังไม่ตายก็จริงแต่ถ้าเจ้ายังไม่อยู่นิ่ง ๆ ได้ตายจริงแน่”
เธอเบือนหน้าหนีเขาแล้วสูดลมหายใจแรง ๆ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยช้า ๆ
“ขอบใจท่านที่ยังไม่ฆ่าข้า แต่จะว่าไปต้องบอกว่าข้านั้นโชคดีสินะ ที่ท่านยอมให้ข้านั่งรถม้าต่อแทนที่จะโยนข้าไปไว้บนหลังม้าขนงาคันนั้น”
“อย่าคิดมากน่าเฉาซี ข้าก็แค่ไม่อยากให้เจ้าตายไวก็เท่านั้น ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับเจ้าอีกเยอะเลย”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่า ถ้าข้าไม่ให้เจ้าตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตายอย่างไรล่ะ!” เหยาเหยาเม้มปากแน่นพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
'ไอ้บ้าซูอวี่นี่! นี่มันนรกชัด ๆ!'
“ดีเจ้าค่ะ” เสียงหัวเราะของเด็กน้อยยังดังอยู่ในอ้อมแขน แต่แค่ครู่เดียวก็ถูกทำลายลงจากเค่อเค่อที่เดินมาทางด้านหลัง“คุณชายรอง.. ท่านผู้นำตระกูลซูมาเจ้าค่ะ” คำพูดนั้นทำเอาบรรยากาศดูอึดอัดขึ้นมาทันที เฉาซีที่เพิ่งหอมแก้มเด็ก ๆ อยู่ชะงักนิ่ง ดวงตาของเธอหันมองซูอวี่ที่ก็มีแววเคร่งเครียดไม่ต่างกัน ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ซูอวี่จะพยักหน้าเบา ๆ “ไปกันเถอะ” เขาเอ่ยพลางวางมือลงบนศีรษะของลูกแฝด“เจ้าทั้งสองต้องทำตัวดี ๆ รู้หรือไม่” สองเด็กน้อยพยักหน้า ยิ้มกว้าง“นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าสร้างด้วยมือเปล่า” ชายชราพึมพำกับตัวเอง ขณะจับจ้องชิ้นงานประณีตตรงหน้า น้ำเสียงเจือด้วยความภาคภูมิใจแต่ท่าทางของท่านแม่กลับแตกต่างไปเล็กน้อย เธอยืนนิ่งสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เอ่ยชมแต่อย่างใด แม้จะไม่ตำหนิ แต่ความเย็นชาที่แผ่ออกมาก็สัมผัสได้ จากนั้นทั้งหมดจึงถูกเชิญเข้าไปยังโถงรับรองหลังร้าน ที่ประดับเรียบง่ายแต่ดูภูมิฐาน พวกท่านดูเหมือนมีเรื่องราวที่อยากจะเอ่ยออกมาแต่ก็ยากจะเอ่ยและไม่นานนักท่านผู้นำตระกูลก็ล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อเล็กก่อนจะวางไว้ตรงหน้าเขา กล่องไม้สีแดงที่ซูอวี่รู้ดีว่าด้านในนั้นมีตราป
ตอนที่ 27ความสำเร็จ“ใช่แล้ว! เราจะต้องหนีออกจากเรือนให้ท่านพ่อท่านแม่ตามหา” ว่าจบเด็กทั้งสองก็ลุกขึ้นพรวดพร้อมกัน ซูไป๋ฮวาหยิบผ้าคลุมไหล่ตัวเล็กมาคลุมหัวตัวเอง ส่วนซูไป๋จื้อคว้าขนมแห้งจากในกล่องซ่อนใส่กระเป๋าเสื้อ แอบ ๆ ย่องออกทางหลังเรือนด้วยความชำนาญเหมือนวางแผนไว้แล้วนับสิบครั้ง เสียงหัวเราะคิกคักดังแผ่วในขณะที่ประตูหลังบ้านเปิดออกผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนเมื่อฮั่วเฉาซีนั่นกลับมาจากร้านในช่วงเย็นเห็นแต่เรือนว่างเปล่า“ไป๋ฮวา! ไป๋จื้อ!” เสียงของเธอดังลั่นจนซูอวี่ที่กำลังนับเครื่องประดับในห้องเก็บของสะดุ้ง รีบวิ่งออกมาอย่างร้อนใจ เฟยเฟยและเค่อเค่อที่เพิ่งซักผ้าและทำอาหารเสร็จก็วิ่งเข้ามาหน้าตั้ง จนทุกคนชุลมุนวุ่นวายไปหมด“เห็นหรือไม่พี่บอกแล้วว่าแบบนี้ได้ผล” ใต้พุ่มไม้หลังเรือน เด็กแฝดสองคนกำลังนั่งซุกหัวกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้น ดวงตาวาววับไม่ต่างจากขโมยตัวจิ๋ว“ท่านพี่ ดูสิ ไม่มีใครเห็นเลย ฮี่ ๆ ๆ” ไป๋ฮวาหัวเราะเสียงใส กำชายเสื้อคลุมไว้แน่นราวกับมันคือชุดพรางตัวชั้นดี“เงียบก่อน เดี๋ยวถูกจับได้” ไป๋จื้อยกนิ้วจุ๊ปาก ก่อนหยิบขนมแห้งในกระเป๋าเสื้อออกมาแบ่งกัน “เราต้องอยู่ให้ไ
และยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดคุยกันมากกว่านั้น เสียงล้อเกวียนบดถนนหน้าร้านก็ดังขึ้น เฉาซีที่ยืนอยู่หันไปมอง ก็เห็นว่าสองแฝดน้อยนั้นวิ่งออกจากประตูราวลูกศร เด็กทั้งสองตะโกนเสียงดังอย่างตื่นเต้น“ท่านพ่อกลับมาแล้ว!” เสียงนั้นดังก้องไปทั้งซอยหน้าร้าน ซูอวี่ในชุดเดินทางสีน้ำหมึกยังไม่ทันก้าวพ้นเกวียน ก็ถูกเด็กน้อยสองคนสวมกอดแข้งกอดขาอย่างแน่นหนา นางเองก็เดินออกมาช้า ๆ สีหน้าแสดงความดีใจ “กลับมาแล้วหรือ”“ข้ากลับมาแล้ว” เขายิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะหันไปโบกมือเรียกชายหนุ่มสามคนที่ลงจากรถม้าตามหลัง “นี่คือช่างฝีมือที่ข้าพามา เป็นคนที่ข้าไว้ใจ” เฉาซีทักทายอย่างสุภาพ “ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ ฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ”หลังจากทักทายกันแล้วซูอวี่ก็เดินนำนางอ้อมไปทางหลังร้าน ซึ่งมีห้องหนึ่งที่จัดไว้สำหรับเก็บสินค้า และเมื่อเปิดหีบใบใหญ่ที่คนช่วยกันหิ้วลงมาวางเรียงตรงหน้า เฉาซีถึงกับกลืนน้ำลายเล็กน้อยเครื่องประดับภายในหีบแต่ละชิ้นราวกับเป็นสิ่งของจากวังหลวง ทองคำขัดเงา ไข่มุกสีชมพูเรื่อ รูปทรงประหลาดแปลกตา แต่กลับดูงามจับใจมีทั้งกำไลที่ฝังพลอยสีเขียวมรกต ลวดลายเป็นรูปเถาวัลย์พันกันอย่างประณีต ต่างหูที่หย
ตอนที่ 26เจียงฮวาเธอโค้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองหญิงสาวที่มาด้วย รูปร่างสูงเพรียว ผิวขาวเนียนราวหยก ใบหน้ารูปไข่ประดับด้วยเครื่องประดับคุ้นตา ท่วงท่าหยิ่งทะนงแต่สง่างามไม่เกินงาม และเมื่อมองชัด ๆ ก็ยิ่งทำให้เธอเบิกตากว้าง“เฉาซี” องค์ชายหลี่ซิวเจินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง“ข้าพาแขกคนสำคัญมาชมร้านของเจ้า” เขาหันไปทางหญิงสาวแล้วแนะนำต่อ“นางคือคุณหนูเซี่ย เซี่ยหวานหว่าน บุตรีคนโตแห่งจวนแม่ทัพตะวันออก เจ้าน่าจะพบนางแล้วใข่หรือไม่.. ข้าเคยเอ่ยกับนางว่ามีร้านเครื่องประดับของสหายที่มีรสนิยมแปลกใหม่ นางจึงอยากมาชมด้วยตนเอง”“เป็นเกียรติยิ่งนักที่คุณหนูเซี่ยมาเยือน ไม่ทราบว่าเครื่องประดับชุดนั้นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าชอบมาก งดงามยิ่งนัก”“เชิญท่านทั้งสองด้านในก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” เซี่ยหวานหว่านมองเฉาซีอย่างพินิจครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆหลังจากที่พาทั้งสองมาด้านใน สตรีสูงศักดิ์ได้นั่งลงอย่างสง่างามบนเบาะนุ่มในห้องรับรองด้านหลัง นิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนขอบโต๊ะลายไม้หอม ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มด้วยแววตาเป็นประกาย“แม่นางเฉาฉี.. สินค้าหน้าร้านข้าดูหมดแล้ว แต่ข้าอยากชมสิ่งที่ยังไม่เผยต่อผู้ใด เจ้
หลังจากผ่านสนามรักอันร้อนระอุ ฮั่วเฉาซีได้เอนศีรษะพิงอกเขาอย่างเหนื่อยอ่อน ปลายนิ้วลูบวนบนแผงอกเขาอย่างเผลอไผล ชายหนุ่มกอดเธอไว้แน่นมือข้างหนึ่งลูบเรือนผมของเธอเบา ๆ“หากร้านขายดีเช่นนี้อีกไม่ถึงครึ่งเดือน ของที่มีอยู่คงหมดแน่” เขาพูดเสียงแผ่ว ดวงตาทอดมองเพดานไม้เหนือหัวอย่างครุ่นคิด“ข้าไม่มีความรู้ด้านการทำเครื่องประดับเลย จึงจำเป็นต้องเดินทางไปพบพ่อค้าในต่างเมือง ข้ารู้จักช่างฝีมือดีอยู่หลายคน หากเราได้ตัวพวกเขามาช่วยร้านเราจะต้องดีขึ้นเป็นแน่” เฉาซีเลื่อนสายตาขึ้นไปสบตาเขาช้า ๆ “ท่านจะออกเดินทางอีกหรือ” เขาหันมามองเธอแล้วยิ้มบาง ๆ ส่งให้ “ไปเพียงไม่นาน ข้าอยากให้ร้านนี้มีของดีมาขายอย่างต่อเนื่อง ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุขกับที่นี่” เฉาซีเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา“ซูอวี่.. หากข้าต้องการตัวอาเซี่ยท่านให้ข้าได้หรือไม่” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม“อาเซี่ยงั้นหรือ เจ้าหมายถึงทาสผู้นั้นที่อยู่บนเรือใช่หรือไม่”“ใช่” เธอพยักหน้า “ในตอนที่อยู่ใต้ท้องเรือ ข้าเห็นแบบเครื่องประดับที่นางเคยวาด มันละเอียดและสวยงามมาก หากได้ฝึกอีกหน่อยนางจะสามารถเป็นนักออกแบบของเราได้” เขานิ่งไ
ตอนที่ 25สตรีสูงศักดิ์หลังจากผ่านมื้ออาหาร นางได้พาเด็ก ๆ ขึ้นไปชั้นบนปล่อยให้พวกเขาเข้านอนในห้องฝั่งขวา และหลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย เธอจึงส่งสัญญาณให้พี่เลี้ยงดูแลต่อสองเท้าเดินลงบันไดมาอย่างแผ่วเบา ภายใต้แสงจันทร์สลัวที่สาดผ่านหน้าต่าง เธอก้าวเข้ามาในโถงชั้นล่างที่เต็มไปด้วยหีบสินค้าต่างแคว้นกลิ่นหอมจากไม้หอมจาง ๆ ลอยมาแตะปลายจมูก ก่อนที่สองเท้าจะหยุดหน้าหีบใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้มุมผนัง เมื่อเปิดฝากล่องช้า ๆ แล้วแสงสีมุกก็สะท้อนแวววาวขึ้นมาทันทีไข่มุกจากแคว้นฉินที่ขาวนวลเหมือนหิมะ ก่อนจะเอื้อมไปเปิดหีบอีกใบที่ด้านในบรรจุมุกดำลึกจากทะเลทางใต้ ก่อนจะเปิดหีบอีกใบที่มีมุกสีชมพูอ่อนจากแคว้นเว่ย นางหยิบทุกอย่างมาวางเรียง ต่างหู สร้อย กำไล และปิ่นปักผมมาจัดเรียงแล้วพิจารณา“แม้จะดูแปลกตาไปหน่อย แต่เมื่ออยู่รวมกันกลับงดงามเพียงนี้เชียวหรือ” นางพิจารณาอยู่เพียงครู่ ก็นำสินค้าชุดนั่นไปวางลงบนชั้นโชว์สูงสุดตรงหน้าร้านแสงเทียนที่ส่องกระทบทำให้เครื่องประดับยิ่งดูโดดเด่น ขณะที่เธอกำลังถอยหลังดูผลงานอย่างพอใจนั้นก็สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่สวมกอดเธอจากด้านหลังโดยไม่ให้ตั้งตัวแต่เพ