ตอนที่ 5
เด็กแฝดตระกูลซู
หว่างตันเดินตรงเข้ามาหาเหยาเหยา ท่าทางของเขานั้นดูเกรงใจปนลังเลอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมา หญิงสาวที่ได้ยินทุกถ้อยคำสนทนาเมื่อครู่ก็จ้องเข้าไปในรถม้านั้นแล้วย่นจมูกใส่เพราะความหมั่นไส้
“ท่านให้ข้านั่งคันไหนงั้นหรือ” เธอถามเสียงขุ่น มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่มีไมตรีนัก
สุดท้ายเธอก็จำต้องก้าวขึ้นรถม้าขนงาอย่างหมดทางเลือก อายก็อาย ขมขื่นก็ขมขื่น แต่ยังดีกว่าให้เขามัดแขนมัดขาโยนขึ้นมาแบบผักแบบปลานั่นแหละนะ
ทันทีที่เธอนั่งลงบนกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเศษเปลือกงา เสียงซูอวี่ก็ดังขึ้นสั่งการทันที
“ออกเดินทางได้!”
ล้อไม้ของรถม้าเริ่มหมุนส่งเสียงดังกึกกักไปตลอดทาง เหยาเหยานั่งกระเด้งกระดอนอยู่บนรถม้าคันนั้น หัวสั่นหัวคลอนแทบจะโขกขอบไม้ก็หลายรอบ
‘โอ๊ย! คนอย่างเหยาเหยาเกิดมาเคยนั่งแต่เบาะโซฟานิ่ม ๆ นี่ต้องมานั่งรถม้าขนงา พระเจ้า! ฉันจะกลิ้งลงข้างทางไหมเนี่ย!’
ขบวนคาราวานยังคงเดินทางไปเรื่อย ๆ แสงแดดยามบ่ายสาดเปรี้ยงลงมาจนพื้นดินร้อนระอุ รถม้าหลายคันเคลื่อนไปตามถนนคดเคี้ยวท่ามกลางหุบเขา รถม้าของซูอวี่และเด็กแฝดเคลื่อนตัวอยู่ด้านหน้าสุด ตามด้วยรถขนงาที่มีเหยาเหยานั่งแทรกอยู่กลางกองงา ส่งกลิ่นหืนจาง ๆ ผสมกับกลิ่นฟางแห้งทั้งหมดอยู่กลางขบวน ข้างหลังมีชายฉกรรจ์ขี่ม้าปิดท้ายอีกสามถึงสี่คนเพื่อความปลอดภัย
อากาศร้อนจัดจนเม็ดเหงื่อนั้นผุดซึมเต็มแผ่นหลัง หญิงสาวที่ตอนแรกยังพอบ่นขำ ๆ อยู่ในใจก็เริ่มหมดมุกจะสาปแช่ง ความร้อนบวกกับการโคลงไปเคลงมาของรถม้าทำให้เธอเริ่มมึนหัว หน้าผากมนมีเหงื่อผุดขึ้นมาเกาะเต็มกรอบหน้า ร่างเอนไปซ้ายทีขวาทีเหมือนงวงช้างที่กำลังจะฟาดลงพื้น
“ฮื่อ~ เกิดใหม่ทั้งทีจะให้มาตายอีกรอบเพราะแดดเผามันก็กระไรอยู่นะเหยาเหยา”
เธอบ่นในใจพลางพยายามยกชายแขนเสื้อที่มีขึ้นบังแดดอย่างสิ้นหวัง ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเป็นลมในรถขนงา เด็กแฝดในรถม้าด้านหน้าก็กำลังแอบมองผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ออกไปยังรถม้าด้านหลัง
“ท่านแม่ไม่โวยวายเหมือนก่อนเลยนะเสี่ยวซู” ต้าซูหรือซูไป๋จื้อกระซิบกับน้องสาวพร้อมเบิกตามองอย่างสงสัย
“ใช่เจ้าค่ะท่านพี่ เสี่ยวซูก็ว่าแปลก ตอนท่านพ่อไม่อยู่ ท่านแม่ชอบด่าคนเสียงดัง ทำไมตอนนี้เงียบจังเลย” เสี่ยวซู หรือซูไป๋ฮวาเสริมด้วยเสียงแผ่ว
“หรือท่านแม่จะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีกแล้วงั้นหรือ” เด็กชายเริ่มเพ้อพก ส่งผลให้น้องสาวทำตาโตแล้วส่ายหน้า
“ข้ากลัว.. ท่านพี่ข้ากลัว”
เสียงนินทาจากลูก ๆ ทำให้ซูอวี่ที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางเงยหน้าขึ้น เขามองตามสายตาเด็ก ๆ ไปยังรถม้าขนงา แล้วเห็นร่างบาง ๆ ที่ตอนนี้กำลังฟาดแขนพาดขาไปมาจนดูแทบไม่เหลือสภาพสตรีร้ายกาจอย่างในอดีต เขาเบ้ปากเล็กน้อยพลางคิดในใจว่ายังไม่ตายก็บุญแล้วก่อนจะหันหน้ากลับมา
“เจ้าทั้งสองหิวหรือยัง” เขาเอ่ยถามลูก ๆ เสียงนุ่ม มือใหญ่เอื้อมไปหยิบห่อผ้าสีเรียบที่ด้านในบรรจุขนมทำจากแป้งข้าวเหนียวห่อใบไผ่อย่างดี
“วันนี้ท่านพ่อเตรียมขนมเจี่ยนกั่วมาให้.. ลองชิมดูสิ”
“จริงเหรอเจ้าคะ!” เสี่ยวซูตาโตทันทีขณะที่ต้าซูเองก็ขยับตัวมานั่งใกล้ผู้เป็นพ่อ
“ของโปรดลูกเลยใช่ไหมล่ะ”
ซูอวี่หัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะป้อนขนมให้ลูกคนละชิ้น มืออีกข้างลูบหัวลูกสาวเบา ๆ ก่อนจะหันไปจัดชายผ้าให้ลูกชายที่นั่งเอียงตัวจนขาเกือบโผล่
ซูไป๋ฮวานั่งเงียบอยู่ข้างพี่ชาย แม้จะอิ่มท้องจากขนมเจี่ยนกั่วจนเกือบง่วง แต่สายตากลมใสกลับไม่อาจละไปจากรถม้าคันกลางได้เลย
เธอแอบชะโงกมองผ่านม่านหน้าต่างหลายครั้ง แม้ในใจจะยังกลัวท่านแม่คนนั้นอยู่ แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงรู้สึกเป็นห่วงไปด้วยทุกทีที่เห็นอีกฝ่ายโยกไปโยกมาเหมือนจะหลุดจากรถจนกระทั่ง
“ท่านพ่อ! ท่านแม่.. ท่านแม่ล้มไปแล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงเล็กแหลมของไป๋ฮวาดังขึ้นพร้อมกับร่างจิ๋วที่ชะโงกหน้ามาตรงช่องหน้าต่างจนแทบจะหลุดออกไปนอกตัวรถ ซูอวี่ที่กำลังจะยื่นขนมชิ้นใหม่ให้ลูกชายถึงกับชะงัก
เขาเหลียวไปมองทางรถม้าคันกลางที่เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งทรุดลงกับกองงา ร่างหญิงสาวเอนไปพิงเสาไม้ประคองตัวเองแต่กลับหมดแรงไร้การตอบสนอง นั่นก็เพียงพอที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที
“หยุดรถ!”
เสียงสั่งเข้มทำให้ขบวนคาราวานหยุดลงรวดเร็ว เขาเปิดม่านรถม้ากระโดดลงไปในพริบตา ก่อนจะวิ่งไปยังรถคันที่หญิงสาวโดยสารมา
ซูอวี่ปีนขึ้นไปบนรถม้าแล้วชะโงกหน้าดู เห็นร่างเฉาซีฟุบอยู่ในท่าไม่น่าดูนัก ใบหน้าเธอซีดเผือด แก้มแดงเพราะแดดและเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผาก
“บ้าจริง” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วไม่รอช้าช้อนตัวเธอขึ้นแนบอก แม้จะเป็นคนที่เขาอยากฆ่าให้ตาย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างประหลาด จะว่าเกลียด.. ก็ใช่ จะว่ารัก.. ก็เหมือนจะใช่ละมั้ง
ซูอวี่อุ้มร่างของเธอขึ้นมาบนรถม้าตัวเอง ก่อนจะวางเธอลงข้างลูก ๆ อย่างระมัดระวัง
“ท่านแม่.. เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” ซูไป๋ฮวาถามเสียงสั่น ต้าซูเองก็จ้องอย่างไม่วางตา
ซูอวี่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกมาเช็ดหน้าเช็ดคอให้หญิงสาวอย่างเบามือ น้ำเสียงที่ออกคำสั่งคนอื่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกระซิบเบา ๆ ข้างหูเธอ
“แดดแค่นี้คงไม่ทำให้นางตายได้หรอกนะ ฮั่วเฉาซี เจ้าทนได้แค่นี้หรือ..”
ผ่านไปครู่ใหญ่เปลือกตาของเหยาเหยาก็ค่อย ๆ กะพริบลืมตาขึ้นมาอย่างงง ๆ รู้สึกถึงกลิ่นอ่อน ๆ จากเสื้อของชายตรงหน้าและสัมผัสอุ่น ๆ บนหน้าผาก
“ท่าน!” เธอเบิกตาโพลงลุกพรวดจะลุกหนีแต่ถูกมือหนากดไว้
“จะลุกไปไหน ยังไม่ตายก็จริงแต่ถ้าเจ้ายังไม่อยู่นิ่ง ๆ ได้ตายจริงแน่”
เธอเบือนหน้าหนีเขาแล้วสูดลมหายใจแรง ๆ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยช้า ๆ
“ขอบใจท่านที่ยังไม่ฆ่าข้า แต่จะว่าไปต้องบอกว่าข้านั้นโชคดีสินะ ที่ท่านยอมให้ข้านั่งรถม้าต่อแทนที่จะโยนข้าไปไว้บนหลังม้าขนงาคันนั้น”
“อย่าคิดมากน่าเฉาซี ข้าก็แค่ไม่อยากให้เจ้าตายไวก็เท่านั้น ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับเจ้าอีกเยอะเลย”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่า ถ้าข้าไม่ให้เจ้าตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตายอย่างไรล่ะ!” เหยาเหยาเม้มปากแน่นพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
'ไอ้บ้าซูอวี่นี่! นี่มันนรกชัด ๆ!'
“เอาเด็ก ๆ ลงก่อน” ซูอวี่พูดเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำหว่างตันขึ้นมารับซูไป๋ฮวาไปก่อน แล้วกลับมาอุ้มซูไป๋จื้อไปอีกคน เด็กทั้งสองยังคงหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ เมื่อร่างเล็กทั้งสองหายลับไปแล้ว ซูอวี่จึงค่อย ๆ โน้มตัวลงไปอุ้มหญิงสาวที่ยังหลับอยู่ขึ้นมาในอ้อมแขนแทนการปลุกให้นางตื่นขึ้นมา“อือ..” เธอครางเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตื่นขึ้นมา แสงไฟจากโคมหน้าประตูโรงเตี๊ยมสะท้อนใบหน้าของเขาในผ่านความมืด ขณะที่สายตากำลังจ้องมองใบหน้าของเธอที่แนบอกเขาอย่างลืมตัวริมฝีปากของเธอขยับเบา ๆ ราวกับละเมอ เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดแผ่นอกตนผ่านเนื้อผ้าบาง ๆ หัวใจที่คิดว่าชาไปแล้วกลับกระตุกแปลบขึ้นมาอีกครั้ง“อย่าทำให้ข้ารักเจ้าไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ เฉาซี..” เขาเคยพูดประโยคนี้กับเธอในคืนที่พายุฝนพัดผ่านราวกับโลกทั้งใบจะถล่ม และในคืนนั้นเธอก็หัวเราะเบา ๆ ออกมาราวกับคนที่กำลังสนุกก่อนจะซุกหน้าลงกับอกเขา“ไม่ได้หรอกท่านพี่.. ข้าชอบเวลาท่านรักข้า ยิ่งท่านรักข้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งชอบท่านมากเท่านั้น”ชายหนุ่มยืนมองใบหน้าของเฉาซีพร้อมความทรงจำในอดีต นึกถึงคืนนั้น คืนที่เธอครางชื่อเขาอย่างออดอ้อน ร่างก
ตอนที่ 6แม่เลี้ยงใจร้ายหลายชั่วยามผ่านไป ท้องฟ้าที่เคยสว่างจ้าเริ่มเปลี่ยนแสงแดดจัดให้กลายเป็นความอบอุ่นแบบอ่อนโยน คาราวานของตระกูลซูยังคงเคลื่อนตัวต่อไปอย่างต่อเนื่องภายในรถม้านั้น เด็กแฝดที่ตอนแรกยังจับกล่องขนมกันแน่น ตอนนี้กลับเริ่มนั่งเอนไปเอนมาเพราะความง่วงที่ครอบงำ“ท่านพี่.. ข้าอยากกินขนมถั่วเขียว” เสียงเล็ก ๆ ของเสี่ยวซูดังขึ้นเบา ๆ ในขณะที่เธอเอนหัวพิงไหล่พี่ชาย ต้าซูหรี่ตาลงแล้วเอียงคอนิด ๆ “ไว้ถึงบ้านแล้วพี่จะให้ท่านพ่อซื้อให้นะเสี่ยวซู”“ข้าขอสามชิ้นนะเจ้าคะ..” เสี่ยวซูพึมพำออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอเริ่มแผ่วราวกับกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา“ได้เลย” ต้าซูตอบเสียงเบาพร้อมกับหาวหวอดๆ ก่อนที่ร่างเล็กทั้งสองจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับเบาะ มือน้อยยังคงจับกันไว้แน่น สลับกับเหลือบมองแม่เลี้ยงที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ฝั่งตรงข้ามแม้จะยังไม่ไว้ใจ แต่ดูเหมือนท่านแม่ตอนนี้จะไม่ได้ทำอะไรน่ากลัวอย่างที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน ก่อนที่เปลือกตาเล็ก ๆ จะปิดลงจนสนิทซูอวี่และเฉาซีนั่งเงียบมาเกือบตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยคำใด มีเพียงสายลมที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถม้ากับเสียงฝีเท้าม้าของคาราวานเท่
ตอนที่ 5เด็กแฝดตระกูลซูหว่างตันเดินตรงเข้ามาหาเหยาเหยา ท่าทางของเขานั้นดูเกรงใจปนลังเลอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมา หญิงสาวที่ได้ยินทุกถ้อยคำสนทนาเมื่อครู่ก็จ้องเข้าไปในรถม้านั้นแล้วย่นจมูกใส่เพราะความหมั่นไส้“ท่านให้ข้านั่งคันไหนงั้นหรือ” เธอถามเสียงขุ่น มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่มีไมตรีนักสุดท้ายเธอก็จำต้องก้าวขึ้นรถม้าขนงาอย่างหมดทางเลือก อายก็อาย ขมขื่นก็ขมขื่น แต่ยังดีกว่าให้เขามัดแขนมัดขาโยนขึ้นมาแบบผักแบบปลานั่นแหละนะทันทีที่เธอนั่งลงบนกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเศษเปลือกงา เสียงซูอวี่ก็ดังขึ้นสั่งการทันที“ออกเดินทางได้!”ล้อไม้ของรถม้าเริ่มหมุนส่งเสียงดังกึกกักไปตลอดทาง เหยาเหยานั่งกระเด้งกระดอนอยู่บนรถม้าคันนั้น หัวสั่นหัวคลอนแทบจะโขกขอบไม้ก็หลายรอบ ‘โอ๊ย! คนอย่างเหยาเหยาเกิดมาเคยนั่งแต่เบาะโซฟานิ่ม ๆ นี่ต้องมานั่งรถม้าขนงา พระเจ้า! ฉันจะกลิ้งลงข้างทางไหมเนี่ย!’ขบวนคาราวานยังคงเดินทางไปเรื่อย ๆ แสงแดดยามบ่ายสาดเปรี้ยงลงมาจนพื้นดินร้อนระอุ รถม้าหลายคันเคลื่อนไปตามถนนคดเคี้ยวท่ามกลางหุบเขา รถม้าของซูอวี่และเด็กแฝดเคลื่อนตัวอยู่
"อย่างคิดโป้ปลด เพราะข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะยั้งมือไม่ฆ่าเจ้าได้นานแค่ไหน" ซูอวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นก่อนจะปรายตามองเธอด้วยหางตา "ในเมื่อเจ้าหนีความตายมาได้หนึ่งครั้ง ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง เจ้าต้องกลับไปกับข้า ไปชดใช้ในสิ่งที่เจ้าเคยก่อไว้""ข้าไม่อยากกลับไป" เหยาเหยาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด แต่นอกจากที่เขาไม่รับฟังแล้ว เขายังไม่สนใจคำพูดนั้นของเธออีกด้วย"อ่อ.. ข้าเชื่อว่าอย่างไรเจ้าก็จะกลับไป เพราะข้ามีหลายร้อยพันวิธีที่จะพาสตรีน่ารังเกียจเช่นเจ้ากลับไป" ซูอวี่โน้มตัวลงไปเล็กน้อยก่อนจะอุ้มลูกแฝดทั้งสองขึ้นมาอุ้มเอาไว้"หรือเจ้าจะลองดูก็ได้นะเฉาซี.. ว่าข้าสามารถทำอะไรกับหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ได้บ้าง"และสุดท้ายแล้วเหยาเหยาก็ต้องยอมรับชะตากรรม เพราะซูอวี่ข่มขู่ว่าหากเธอไม่กลับไปเขาจะทำให้หมู่บ้านนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิง‘ไอ้คนไร้มนุษยธรรม!’หลังจากนั้นเพียง 3 ชั่วยาม กองคาราวานพ่อค้าก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางกลับ ซูอวี่เข้าไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านและบอกกับเขาว่าความจริงแล้วสตรีที่พวกเขาช่วยชีวิตนั้น เป็นทาสที่เขาซื้อมาทำงานในเรือพ่อค้า แต่ก่อนนี้มีโจร
ตอนที่ 4ซูอวี่ชายหนุ่มเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่เพียงชั่วพริบตามือแกร่งก็ยกขึ้นจับไหล่เธอทั้งสองข้าง ก่อนจะกระชากตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกัน“กลิ่นเจ้า..” เสียงของเขานั้นแผ่วเบาราวตั้งใจจะกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคน “ข้าไม่มีทางจำกลิ่นกายของเจ้าผิดแน่นอน”เหยาเหยาชะงักอีกครั้ง รู้สึกได้เลยว่าตั้งแต่พบหน้ากับชายผู้นี้เธอแทบทำตัวไม่ถูก ใบหน้าหวานซีดเผือด ยังไม่ทันที่เธอจะได้หนีหรืออธิบายอะไรต่อมือของซูอวี่ก็เคลื่อนไหวเร็วกว่าความคิดแควก!~เขากระชากสาบเสื้อของเธอออกอย่างไม่ปรานี ทำให้เนื้อผ้านั้นขาดสะบั้นเผยผิวเนื้อขาวเนียนที่ยังมีรอยช้ำอยู่บางจุด ดวงตาคมกริบจ้องไปที่เหนือเนินอกข้างซ้ายและที่นั่นเองมันปรากฏรอยปานแดงรูปหัวใจดวงเล็ก ๆ ชัดเจน“หากเจ้าไม่ใช่เฉาซี.. แล้วนี่ละ” เขาจิ้มลงบนปานนั้นเบา ๆ นิ้วชี้ของเขาแตะเนื้อนิ่มราวกับทดสอบว่าของจริงหรือภาพลวงตา“จะให้ข้าเชื่ออย่างไรว่าเจ้าคือคนอื่น”เหยาเหยาสะดุ้งเฮือกตัวสั่นงันงก สายตาหวาดกลัวสลับสับสน ไม่รู้ว่าควรโกรธ กลัว หรืออับอายมากกว่ากัน แต่เขาที่เห็นท่าทางของเธอนั้นกลับยิ้มออกมาเยือกเย็น รอยยิ้มที่ไม่
มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกใช่ไหม แต่ว่านะ.. มาจากแคว้นโจว แถมยังเป็นตระกูลซู และยังเป็นพ่อค้านั่นอีก หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ“แล้ว.. รู้หรือไม่ว่าคนที่จะมาเป็นใคร” เสียงของเหยาเหยาอ่อนลงแต่ซ่อนไม่มิดเลยว่ากำลังเครียด“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้ขอรับ.. รู้แค่ว่าอีกสามวันเขาจะมารับของที่พวกเรารวบรวมไว้ ข้าตื่นเต้นจะแย่ ไม่เคยเห็นพ่อค้าใหญ่ตัวจริงมาก่อนเลยท่านพี่อาเหยา” เด็กหนุ่มยกมือทั้งสองข้างมาจับกันไว้แล้วแนบหน้าอก สีหน้าแสดงความพึงพอใจอย่างชายหนุ่มที่ฝันหวาน“ข้าว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ใส่ชุดหรูขี่ม้าขาวมีข้ารับใช้เดินตามเป็นแถวแน่เลย”เหยาเหยาฝืนยิ้มบาง ๆ ในขณะที่ลมหายใจเธอเริ่มสั่นเครือ อีกสามวัน หากเป็นซูอวี่จริงเขาจะจำเธอได้หรือไม่ แล้วถ้าเขาจำได้เธอจะยังมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ หรือว่าเขาจะฆ่าเธอซ้ำอีกครั้งด้วยมือของเขาเองหรือเปล่าสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของเธอ เหยาเหยาหลบอยู่ในห้องไม้ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เธอแนบดวงตาไปกับรอยร้าวของไม้เก่า แอบมองขบวนพ่อค้าที่เดินเรียงแถวกันเข้ามาในหมู่บ้าน เสื้อผ้าเรียบหรูแต่ไม่เวอร์วัง ข้างหลังมีเกวียนบรรทุกของมากมายและแน่นอน ว
ตอนที่ 3เริ่มต้นใหม่หลังจากผ่านไปหลายวันที่เธอพักฟื้นอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ตามร่างกายที่เคยมีแผลฟกช้ำเต็มไปหมด บัดนี้กลับหายเป็นปลิดทิ้งไม่มีแม้แต่ร่องรอยให้เห็น ในที่สุดเหยาเหยาก็สามารถลุกขึ้นมายืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง เธอเปิดประตูไม้แล้วก้าวออกมายังลานหน้าบ้านแสงแดดในยามสายส่องลอดช่องไม้กระทบกับเรือนผมดำขลับ กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า และกลิ่นดอกไม้ป่าลอยตามลมปะทะกับจมูก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นคนอีกครั้งสายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านเรือนไม่กี่สิบหลังเท่านั้น ทุกหลังเรียงตัวตามแนวลาดของหุบเขา ด้านข้างผูกเชือกตากผ้าเรียบง่าย มีเด็กวิ่งเล่นสองสามคน มีเสียงหัวเราะลอยมาเบา ๆ พอให้ชื่นใจ เธอเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ตามหลังเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอย่างมีความสุข ด้านหลังหมู่บ้านนั้นเธอเห็นชาวบ้านบางคนกำลังแบกฟ่อนงา บ้างก็ก้มหน้าก้มตาใช้เคียวเกี่ยวงาแห้งด้วยท่าทางขยันขันแข็งรอบหมู่บ้านเต็มไปด้วยแปลงเพาะปลูก ต้นงาที่ปลูกเป็นแถบกว้างสะบัดไหวไปตามแรงลมประหนึ่งผืนผ้าใบของธรรมชาติ เหยาเหยามองไปรอบตัวดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ถึงจะยังไม่รู้ว่าชีวิตของเธอจะเดินไปทางไหน แต่ที่น
ตอนที่ 2เหยาเหยาลมหนาวจากหุบเขาพัดเอื่อย ๆ จนเหยาเหยาต้องกอดตัวเองไว้แน่น ผ้าผืนบางบนร่างไม่ใช่ชุดที่เธอเคยสวมใส่มาก่อน แม้ว่าสีสันนั้นจะยังสดใสและเนื้อผ้าก็ดูเหมือนว่าจะเนื้อดีไม่น้อย แต่มันกลับขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านการกรีด ฉีก ดึงจนบัดนี้มันดูสะบักสะบอมไม่น้อย“ยังไงก็หมายความว่านี่คือร่างของฮั่วเฉาซี.. สตรีน่ารังเกียจผู้นั้นสินะ”เธอพึมพำเบา ๆ ปล่อยเสียงหลุดลอยไปกับลม ดวงตายังคงจับจ้องที่มือทั้งสองข้าง นิ้วเรียวยาวที่ไม่ใช่ของเธอ เส้นเลือดใต้ผิวหนังซีดขาวเหมือนเลือดยังไหลเวียนไม่เต็มที่ เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้งแม้ร่างกายจะยังโอนไปเอนมา แต่สุดท้ายการจะมานั่งร้องไห้รอความตายเป็นครั้งที่สองก็คงจะไม่ได้“ถ้าไม่ใช่ฝันก็แปลว่าฉันต้องอยู่ต่อให้ได้.. แต่ทำไมกันนะ ทำไมต้องเป็นร่างกายของสตรีผู้นี้กัน”เธอกัดฟันแน่น ยกชายผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยขึ้นมาผูกไว้หลวม ๆ กันโป๊พอเป็นพิธี ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าออกจากสุสานจุดที่คล้ายจะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตเก่า และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนดินชื้น แต่เวลานี้เธอไม่สนใจอะไรแล้ว ขอแค่รีบออกให้ห่างจากหลุมศพเหล่านี้ก็พอ แม้ว่าหินจะบาดจนเลื
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นฟุตบาทเป็นจังหวะ ส้นรองเท้าผ้าใบกระแทกพื้นราวกับเจ้าของร่างนั้นกำลังวิ่งหนีอันตรายแบบไม่คิดชีวิต เหยาเหยากระชับกระเป๋าสะพายไว้แน่น ลมหายใจหอบระคนเหนื่อยล้า ไม่ใช่เพราะเพิ่งลงจากไลฟ์สดขายของทั้งวัน แต่เพราะหัวใจมันล้าอย่างแปลกประหลาด เหมือนจู่ ๆ จะร้องไห้แต่ก็ดันไม่มีน้ำตาให้ไหล“ก็แค่ไม่มีใครรออยู่ที่บ้านแล้ว จะคิดมากทำไมกันนะอาเหยา”เธอพึมพำกับตัวเองเหมือนคนที่ใกล้จะเสียสติ ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอย สองเท้ายังคงก้าวเดินไปด้านหน้าโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าสัญญาณไฟจราจรนั้นเปลี่ยนสีไปแล้ว ปี๊ดดดดดดเสียงบีบแตรดังระงมไปทั่วท้องถนน เธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงแสงไฟจากหน้ารถที่แล่นมาด้วยความเร็ว และแสงนั้นกระทบเข้าตาเต็มแรงทำให้ทุกอย่างขาวโพลน แล้วทุกอย่างก็ดับวูบเหมือนเทียนที่ถูกเป่า'ความรู้สึกอึดอัดแบบนี้มันคืออะไรกัน'ทันทีที่เธอได้สติ ดวงตากลมได้ลืมขึ้นอย่างอยากลำบาก กลิ่นอับชื้นที่ไม่คุ้นเคยคือสิ่งที่ปลุกให้เหยาเหยานั้นลืมตาขึ้น แต่สายตาเธอกลับมองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงความมืดที่ปิดทับเหนือใบหน้า อากาศหายใจที่น้อยอยู่แล้วเริ่มรู้สึกว่ามันน้อยลงจนหายใจติดขัด ร่างกายแน่นข