ตอนที่ 6
แม่เลี้ยงใจร้าย หลายชั่วยามผ่านไป ท้องฟ้าที่เคยสว่างจ้าเริ่มเปลี่ยนแสงแดดจัดให้กลายเป็นความอบอุ่นแบบอ่อนโยน คาราวานของตระกูลซูยังคงเคลื่อนตัวต่อไปอย่างต่อเนื่อง ภายในรถม้านั้น เด็กแฝดที่ตอนแรกยังจับกล่องขนมกันแน่น ตอนนี้กลับเริ่มนั่งเอนไปเอนมาเพราะความง่วงที่ครอบงำ “ท่านพี่.. ข้าอยากกินขนมถั่วเขียว” เสียงเล็ก ๆ ของเสี่ยวซูดังขึ้นเบา ๆ ในขณะที่เธอเอนหัวพิงไหล่พี่ชาย ต้าซูหรี่ตาลงแล้วเอียงคอนิด ๆ “ไว้ถึงบ้านแล้วพี่จะให้ท่านพ่อซื้อให้นะเสี่ยวซู” “ข้าขอสามชิ้นนะเจ้าคะ..” เสี่ยวซูพึมพำออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอเริ่มแผ่วราวกับกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา “ได้เลย” ต้าซูตอบเสียงเบาพร้อมกับหาวหวอดๆ ก่อนที่ร่างเล็กทั้งสองจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับเบาะ มือน้อยยังคงจับกันไว้แน่น สลับกับเหลือบมองแม่เลี้ยงที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้จะยังไม่ไว้ใจ แต่ดูเหมือนท่านแม่ตอนนี้จะไม่ได้ทำอะไรน่ากลัวอย่างที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน ก่อนที่เปลือกตาเล็ก ๆ จะปิดลงจนสนิท ซูอวี่และเฉาซีนั่งเงียบมาเกือบตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยคำใด มีเพียงสายลมที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถม้ากับเสียงฝีเท้าม้าของคาราวานเท่านั้นที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่จู่ ๆ รถม้าก็เกิดตกหลุมทำให้เด็ก ๆ นั้นเสียหลัก “อ๊ะ!” “เฮ้ย!!” ร่างเล็กของซูไป๋จื้อและซูไป๋ฮวาถูกแรงกระแทกเหวี่ยงลอยขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเกือบคะมำหน้าทิ่ม ในเสี้ยววินาทีนั้นเฉาซีได้คว้าตัวต้าซูเอาไว้ได้ทัน พร้อมกันกับที่ซูอวี่เองก็คว้าเสี่ยวซูเข้ามากอดแน่นไม่ให้ล้ม และเพราะเด็ก ๆ คู่นี้ที่ผ่านมานั้นร่างกายของพวกเขาถูกฮั่วเฉาซีใช้ยากับเด็ก ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้มีผลข้างเคียงกลายเป็นเด็กที่หลับลึกมากกว่าปกติ ร่างของทั้งสี่คนเอนไปตามแรงเหวี่ยง รถม้าโยกแรงจนผ้าปูเบาะหลุดออกจากที่เดิมแต่ไม่มีใครบาดเจ็บ เฉาซีกอดเด็กชายไว้แน่นก่อนจะหันไปสบตากับซูอวี่อย่างไม่ตั้งใจ สายตาของเขานิ่งขรึมในขณะที่เธอก็เม้มปากแน่นพูดเบา ๆ “ข้าแค่ไม่อยากให้เด็ก ๆ เจ็บตัว” เงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่เธอจะค่อย ๆ ขยับตัวมายังฝั่งเดียวกับเขา พลางอุ้มต้าซูขึ้นนั่งตักอย่างระวัง ซูอวี่มองเธอนิ่งแต่ไม่ได้ว่าอะไร เขาปรับท่านั่งนิดหน่อย ก่อนจะจับเสี่ยวซูให้นั่งอย่างสบายอยู่บนตักของตนเอง ค่ำคืนที่ม่านสีครามเข้มคลุมผืนฟ้า กลิ่นดินแห้งและลมอุ่นพัดผ่านเบา ๆ ขณะที่คาราวานของตระกูลซูเคลื่อนตัวมาหยุดพักยังโรงเตี๊ยมเก่า ๆ ริมทาง เสียงฝีเท้าม้าชะลอลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจของเหล่าผู้ติดตามที่ใช้เวลาเดินทางมาทั้งวัน ผ้าปิดรถม้าเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าของหว่างตันที่โผล่มาก่อน “คุณชาย.. คืนนี้ต้องพักที่โรงเตี๊ยมก่อนนะขอรับ อีกเกือบครึ่งวันถึงจะถึงท่าเรือขอรับ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะมองเข้ามาในรถม้า แต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสายตาของหว่างตันนั้นสบกับภาพเบื้องหน้า ซูอวี่นั่งนิ่งจ้องมองเขาอยู่ด้วยสายตาราบเรียบ สองแขนอุ้มซูไป๋ฮวาที่หลับปุ๋ย ส่วนเฉาซีนั้นนอนหลับใช้ศีรษะพิงไหล่ของเขาอยู่อย่างหมดแรง ร่างของเธอโอบซูไป๋จื้อไว้แน่น หว่างตันนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาเจ้านายแล้วถอยกลับไปหลังจากได้รับเพียงแค่พยักหน้าเล็ก ๆ จากซูอวี่ ไม่นานเขาก็กลับมาอีกครั้ง “จัดการเรื่องห้องพักเรียบร้อยแล้วขอรับ”“เอาเด็ก ๆ ลงก่อน” ซูอวี่พูดเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำหว่างตันขึ้นมารับซูไป๋ฮวาไปก่อน แล้วกลับมาอุ้มซูไป๋จื้อไปอีกคน เด็กทั้งสองยังคงหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ เมื่อร่างเล็กทั้งสองหายลับไปแล้ว ซูอวี่จึงค่อย ๆ โน้มตัวลงไปอุ้มหญิงสาวที่ยังหลับอยู่ขึ้นมาในอ้อมแขนแทนการปลุกให้นางตื่นขึ้นมา“อือ..” เธอครางเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตื่นขึ้นมา แสงไฟจากโคมหน้าประตูโรงเตี๊ยมสะท้อนใบหน้าของเขาในผ่านความมืด ขณะที่สายตากำลังจ้องมองใบหน้าของเธอที่แนบอกเขาอย่างลืมตัวริมฝีปากของเธอขยับเบา ๆ ราวกับละเมอ เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดแผ่นอกตนผ่านเนื้อผ้าบาง ๆ หัวใจที่คิดว่าชาไปแล้วกลับกระตุกแปลบขึ้นมาอีกครั้ง“อย่าทำให้ข้ารักเจ้าไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ เฉาซี..” เขาเคยพูดประโยคนี้กับเธอในคืนที่พายุฝนพัดผ่านราวกับโลกทั้งใบจะถล่ม และในคืนนั้นเธอก็หัวเราะเบา ๆ ออกมาราวกับคนที่กำลังสนุกก่อนจะซุกหน้าลงกับอกเขา“ไม่ได้หรอกท่านพี่.. ข้าชอบเวลาท่านรักข้า ยิ่งท่านรักข้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งชอบท่านมากเท่านั้น”ชายหนุ่มยืนมองใบหน้าของเฉาซีพร้อมความทรงจำในอดีต นึกถึงคืนนั้น คืนที่เธอครางชื่อเขาอย่างออดอ้อน ร่างก
ตอนที่ 6แม่เลี้ยงใจร้ายหลายชั่วยามผ่านไป ท้องฟ้าที่เคยสว่างจ้าเริ่มเปลี่ยนแสงแดดจัดให้กลายเป็นความอบอุ่นแบบอ่อนโยน คาราวานของตระกูลซูยังคงเคลื่อนตัวต่อไปอย่างต่อเนื่องภายในรถม้านั้น เด็กแฝดที่ตอนแรกยังจับกล่องขนมกันแน่น ตอนนี้กลับเริ่มนั่งเอนไปเอนมาเพราะความง่วงที่ครอบงำ“ท่านพี่.. ข้าอยากกินขนมถั่วเขียว” เสียงเล็ก ๆ ของเสี่ยวซูดังขึ้นเบา ๆ ในขณะที่เธอเอนหัวพิงไหล่พี่ชาย ต้าซูหรี่ตาลงแล้วเอียงคอนิด ๆ “ไว้ถึงบ้านแล้วพี่จะให้ท่านพ่อซื้อให้นะเสี่ยวซู”“ข้าขอสามชิ้นนะเจ้าคะ..” เสี่ยวซูพึมพำออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอเริ่มแผ่วราวกับกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา“ได้เลย” ต้าซูตอบเสียงเบาพร้อมกับหาวหวอดๆ ก่อนที่ร่างเล็กทั้งสองจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับเบาะ มือน้อยยังคงจับกันไว้แน่น สลับกับเหลือบมองแม่เลี้ยงที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ฝั่งตรงข้ามแม้จะยังไม่ไว้ใจ แต่ดูเหมือนท่านแม่ตอนนี้จะไม่ได้ทำอะไรน่ากลัวอย่างที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน ก่อนที่เปลือกตาเล็ก ๆ จะปิดลงจนสนิทซูอวี่และเฉาซีนั่งเงียบมาเกือบตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยคำใด มีเพียงสายลมที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถม้ากับเสียงฝีเท้าม้าของคาราวานเท่
ตอนที่ 5เด็กแฝดตระกูลซูหว่างตันเดินตรงเข้ามาหาเหยาเหยา ท่าทางของเขานั้นดูเกรงใจปนลังเลอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมา หญิงสาวที่ได้ยินทุกถ้อยคำสนทนาเมื่อครู่ก็จ้องเข้าไปในรถม้านั้นแล้วย่นจมูกใส่เพราะความหมั่นไส้“ท่านให้ข้านั่งคันไหนงั้นหรือ” เธอถามเสียงขุ่น มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่มีไมตรีนักสุดท้ายเธอก็จำต้องก้าวขึ้นรถม้าขนงาอย่างหมดทางเลือก อายก็อาย ขมขื่นก็ขมขื่น แต่ยังดีกว่าให้เขามัดแขนมัดขาโยนขึ้นมาแบบผักแบบปลานั่นแหละนะทันทีที่เธอนั่งลงบนกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเศษเปลือกงา เสียงซูอวี่ก็ดังขึ้นสั่งการทันที“ออกเดินทางได้!”ล้อไม้ของรถม้าเริ่มหมุนส่งเสียงดังกึกกักไปตลอดทาง เหยาเหยานั่งกระเด้งกระดอนอยู่บนรถม้าคันนั้น หัวสั่นหัวคลอนแทบจะโขกขอบไม้ก็หลายรอบ ‘โอ๊ย! คนอย่างเหยาเหยาเกิดมาเคยนั่งแต่เบาะโซฟานิ่ม ๆ นี่ต้องมานั่งรถม้าขนงา พระเจ้า! ฉันจะกลิ้งลงข้างทางไหมเนี่ย!’ขบวนคาราวานยังคงเดินทางไปเรื่อย ๆ แสงแดดยามบ่ายสาดเปรี้ยงลงมาจนพื้นดินร้อนระอุ รถม้าหลายคันเคลื่อนไปตามถนนคดเคี้ยวท่ามกลางหุบเขา รถม้าของซูอวี่และเด็กแฝดเคลื่อนตัวอยู่
"อย่างคิดโป้ปลด เพราะข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะยั้งมือไม่ฆ่าเจ้าได้นานแค่ไหน" ซูอวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นก่อนจะปรายตามองเธอด้วยหางตา "ในเมื่อเจ้าหนีความตายมาได้หนึ่งครั้ง ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง เจ้าต้องกลับไปกับข้า ไปชดใช้ในสิ่งที่เจ้าเคยก่อไว้""ข้าไม่อยากกลับไป" เหยาเหยาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด แต่นอกจากที่เขาไม่รับฟังแล้ว เขายังไม่สนใจคำพูดนั้นของเธออีกด้วย"อ่อ.. ข้าเชื่อว่าอย่างไรเจ้าก็จะกลับไป เพราะข้ามีหลายร้อยพันวิธีที่จะพาสตรีน่ารังเกียจเช่นเจ้ากลับไป" ซูอวี่โน้มตัวลงไปเล็กน้อยก่อนจะอุ้มลูกแฝดทั้งสองขึ้นมาอุ้มเอาไว้"หรือเจ้าจะลองดูก็ได้นะเฉาซี.. ว่าข้าสามารถทำอะไรกับหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ได้บ้าง"และสุดท้ายแล้วเหยาเหยาก็ต้องยอมรับชะตากรรม เพราะซูอวี่ข่มขู่ว่าหากเธอไม่กลับไปเขาจะทำให้หมู่บ้านนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิง‘ไอ้คนไร้มนุษยธรรม!’หลังจากนั้นเพียง 3 ชั่วยาม กองคาราวานพ่อค้าก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางกลับ ซูอวี่เข้าไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านและบอกกับเขาว่าความจริงแล้วสตรีที่พวกเขาช่วยชีวิตนั้น เป็นทาสที่เขาซื้อมาทำงานในเรือพ่อค้า แต่ก่อนนี้มีโจร
ตอนที่ 4ซูอวี่ชายหนุ่มเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่เพียงชั่วพริบตามือแกร่งก็ยกขึ้นจับไหล่เธอทั้งสองข้าง ก่อนจะกระชากตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกัน“กลิ่นเจ้า..” เสียงของเขานั้นแผ่วเบาราวตั้งใจจะกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคน “ข้าไม่มีทางจำกลิ่นกายของเจ้าผิดแน่นอน”เหยาเหยาชะงักอีกครั้ง รู้สึกได้เลยว่าตั้งแต่พบหน้ากับชายผู้นี้เธอแทบทำตัวไม่ถูก ใบหน้าหวานซีดเผือด ยังไม่ทันที่เธอจะได้หนีหรืออธิบายอะไรต่อมือของซูอวี่ก็เคลื่อนไหวเร็วกว่าความคิดแควก!~เขากระชากสาบเสื้อของเธอออกอย่างไม่ปรานี ทำให้เนื้อผ้านั้นขาดสะบั้นเผยผิวเนื้อขาวเนียนที่ยังมีรอยช้ำอยู่บางจุด ดวงตาคมกริบจ้องไปที่เหนือเนินอกข้างซ้ายและที่นั่นเองมันปรากฏรอยปานแดงรูปหัวใจดวงเล็ก ๆ ชัดเจน“หากเจ้าไม่ใช่เฉาซี.. แล้วนี่ละ” เขาจิ้มลงบนปานนั้นเบา ๆ นิ้วชี้ของเขาแตะเนื้อนิ่มราวกับทดสอบว่าของจริงหรือภาพลวงตา“จะให้ข้าเชื่ออย่างไรว่าเจ้าคือคนอื่น”เหยาเหยาสะดุ้งเฮือกตัวสั่นงันงก สายตาหวาดกลัวสลับสับสน ไม่รู้ว่าควรโกรธ กลัว หรืออับอายมากกว่ากัน แต่เขาที่เห็นท่าทางของเธอนั้นกลับยิ้มออกมาเยือกเย็น รอยยิ้มที่ไม่
มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกใช่ไหม แต่ว่านะ.. มาจากแคว้นโจว แถมยังเป็นตระกูลซู และยังเป็นพ่อค้านั่นอีก หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ“แล้ว.. รู้หรือไม่ว่าคนที่จะมาเป็นใคร” เสียงของเหยาเหยาอ่อนลงแต่ซ่อนไม่มิดเลยว่ากำลังเครียด“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้ขอรับ.. รู้แค่ว่าอีกสามวันเขาจะมารับของที่พวกเรารวบรวมไว้ ข้าตื่นเต้นจะแย่ ไม่เคยเห็นพ่อค้าใหญ่ตัวจริงมาก่อนเลยท่านพี่อาเหยา” เด็กหนุ่มยกมือทั้งสองข้างมาจับกันไว้แล้วแนบหน้าอก สีหน้าแสดงความพึงพอใจอย่างชายหนุ่มที่ฝันหวาน“ข้าว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ใส่ชุดหรูขี่ม้าขาวมีข้ารับใช้เดินตามเป็นแถวแน่เลย”เหยาเหยาฝืนยิ้มบาง ๆ ในขณะที่ลมหายใจเธอเริ่มสั่นเครือ อีกสามวัน หากเป็นซูอวี่จริงเขาจะจำเธอได้หรือไม่ แล้วถ้าเขาจำได้เธอจะยังมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ หรือว่าเขาจะฆ่าเธอซ้ำอีกครั้งด้วยมือของเขาเองหรือเปล่าสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของเธอ เหยาเหยาหลบอยู่ในห้องไม้ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เธอแนบดวงตาไปกับรอยร้าวของไม้เก่า แอบมองขบวนพ่อค้าที่เดินเรียงแถวกันเข้ามาในหมู่บ้าน เสื้อผ้าเรียบหรูแต่ไม่เวอร์วัง ข้างหลังมีเกวียนบรรทุกของมากมายและแน่นอน ว
ตอนที่ 3เริ่มต้นใหม่หลังจากผ่านไปหลายวันที่เธอพักฟื้นอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ตามร่างกายที่เคยมีแผลฟกช้ำเต็มไปหมด บัดนี้กลับหายเป็นปลิดทิ้งไม่มีแม้แต่ร่องรอยให้เห็น ในที่สุดเหยาเหยาก็สามารถลุกขึ้นมายืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง เธอเปิดประตูไม้แล้วก้าวออกมายังลานหน้าบ้านแสงแดดในยามสายส่องลอดช่องไม้กระทบกับเรือนผมดำขลับ กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า และกลิ่นดอกไม้ป่าลอยตามลมปะทะกับจมูก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นคนอีกครั้งสายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านเรือนไม่กี่สิบหลังเท่านั้น ทุกหลังเรียงตัวตามแนวลาดของหุบเขา ด้านข้างผูกเชือกตากผ้าเรียบง่าย มีเด็กวิ่งเล่นสองสามคน มีเสียงหัวเราะลอยมาเบา ๆ พอให้ชื่นใจ เธอเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ตามหลังเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอย่างมีความสุข ด้านหลังหมู่บ้านนั้นเธอเห็นชาวบ้านบางคนกำลังแบกฟ่อนงา บ้างก็ก้มหน้าก้มตาใช้เคียวเกี่ยวงาแห้งด้วยท่าทางขยันขันแข็งรอบหมู่บ้านเต็มไปด้วยแปลงเพาะปลูก ต้นงาที่ปลูกเป็นแถบกว้างสะบัดไหวไปตามแรงลมประหนึ่งผืนผ้าใบของธรรมชาติ เหยาเหยามองไปรอบตัวดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ถึงจะยังไม่รู้ว่าชีวิตของเธอจะเดินไปทางไหน แต่ที่น
ตอนที่ 2เหยาเหยาลมหนาวจากหุบเขาพัดเอื่อย ๆ จนเหยาเหยาต้องกอดตัวเองไว้แน่น ผ้าผืนบางบนร่างไม่ใช่ชุดที่เธอเคยสวมใส่มาก่อน แม้ว่าสีสันนั้นจะยังสดใสและเนื้อผ้าก็ดูเหมือนว่าจะเนื้อดีไม่น้อย แต่มันกลับขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านการกรีด ฉีก ดึงจนบัดนี้มันดูสะบักสะบอมไม่น้อย“ยังไงก็หมายความว่านี่คือร่างของฮั่วเฉาซี.. สตรีน่ารังเกียจผู้นั้นสินะ”เธอพึมพำเบา ๆ ปล่อยเสียงหลุดลอยไปกับลม ดวงตายังคงจับจ้องที่มือทั้งสองข้าง นิ้วเรียวยาวที่ไม่ใช่ของเธอ เส้นเลือดใต้ผิวหนังซีดขาวเหมือนเลือดยังไหลเวียนไม่เต็มที่ เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้งแม้ร่างกายจะยังโอนไปเอนมา แต่สุดท้ายการจะมานั่งร้องไห้รอความตายเป็นครั้งที่สองก็คงจะไม่ได้“ถ้าไม่ใช่ฝันก็แปลว่าฉันต้องอยู่ต่อให้ได้.. แต่ทำไมกันนะ ทำไมต้องเป็นร่างกายของสตรีผู้นี้กัน”เธอกัดฟันแน่น ยกชายผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยขึ้นมาผูกไว้หลวม ๆ กันโป๊พอเป็นพิธี ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าออกจากสุสานจุดที่คล้ายจะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตเก่า และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนดินชื้น แต่เวลานี้เธอไม่สนใจอะไรแล้ว ขอแค่รีบออกให้ห่างจากหลุมศพเหล่านี้ก็พอ แม้ว่าหินจะบาดจนเลื
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นฟุตบาทเป็นจังหวะ ส้นรองเท้าผ้าใบกระแทกพื้นราวกับเจ้าของร่างนั้นกำลังวิ่งหนีอันตรายแบบไม่คิดชีวิต เหยาเหยากระชับกระเป๋าสะพายไว้แน่น ลมหายใจหอบระคนเหนื่อยล้า ไม่ใช่เพราะเพิ่งลงจากไลฟ์สดขายของทั้งวัน แต่เพราะหัวใจมันล้าอย่างแปลกประหลาด เหมือนจู่ ๆ จะร้องไห้แต่ก็ดันไม่มีน้ำตาให้ไหล“ก็แค่ไม่มีใครรออยู่ที่บ้านแล้ว จะคิดมากทำไมกันนะอาเหยา”เธอพึมพำกับตัวเองเหมือนคนที่ใกล้จะเสียสติ ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอย สองเท้ายังคงก้าวเดินไปด้านหน้าโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าสัญญาณไฟจราจรนั้นเปลี่ยนสีไปแล้ว ปี๊ดดดดดดเสียงบีบแตรดังระงมไปทั่วท้องถนน เธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงแสงไฟจากหน้ารถที่แล่นมาด้วยความเร็ว และแสงนั้นกระทบเข้าตาเต็มแรงทำให้ทุกอย่างขาวโพลน แล้วทุกอย่างก็ดับวูบเหมือนเทียนที่ถูกเป่า'ความรู้สึกอึดอัดแบบนี้มันคืออะไรกัน'ทันทีที่เธอได้สติ ดวงตากลมได้ลืมขึ้นอย่างอยากลำบาก กลิ่นอับชื้นที่ไม่คุ้นเคยคือสิ่งที่ปลุกให้เหยาเหยานั้นลืมตาขึ้น แต่สายตาเธอกลับมองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงความมืดที่ปิดทับเหนือใบหน้า อากาศหายใจที่น้อยอยู่แล้วเริ่มรู้สึกว่ามันน้อยลงจนหายใจติดขัด ร่างกายแน่นข