“เจินเอ๋อร์ วันนี้ท่านอ๋องช่วยเหลือพวกเรามากขนาดนี้ เย็นนี้เชิญท่านอ๋องอยู่รับประทานมื้อค่ำที่จวนดีหรือไม่?”หลิ่วหรูเยียนมองลูกสาวของตนอย่างกังวลใจ นางไม่รู้ความในใจของลูกสาว แต่ฉู่อ๋องเป็นผู้สูงศักดิ์มีธุระมาก วันนี้ตั้งใจมาที่จวนทั้งยังให้ความช่วยเหลือ ถ้าไม่ทำอะไรเสียเลยก็ออกจะไม่เหมาะสมซ่งรั่วเจินก็คิดดุจเดียวกัน วันนี้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฉู่จวินถิง ลำพังรับมือหลิ่วเฟยเยี่ยนก็คงต้องสิ้นเปลืองคำพูดไปไม่น้อยปฏิเสธไปตรงๆ พูดอาจดูง่าย แต่ความสามารถในการไม่สนใจเหตุผลของตระกูลซุน พวกตนล้วนเคยได้รับทราบมาแล้วไม่เพียงไปร้องไห้ตัดพ้อที่ตระกูลหลิ่ว ทำให้คนตระกูลหลิ่วมากดดันด้วยยังไม่พอ ยังไปพูดเหลวไหลข้างนอกไปทั่วทำให้ท่านแม่เสื่อมเสียชื่อเสียง เรียกได้ว่าน่ารำคาญยิ่งนักนางไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านี้ แต่ท่านแม่ทำไม่ได้ ตระกูลซ่งก็ทำไม่ได้แทนที่จะนั่งรอเป็นฝ่ายถูกกระทำ มิสู้ชิงลงมือก่อน ไยต้องเป็นฝ่ายถูกคำพูดเหลวไหลของหลิ่วเฟยเยี่ยนชักเชิดไปเสียทุกครา?คราวนี้...ถึงรอบตระกูลซ่งของพวกตนบ้างแล้ว!“ดีสิเจ้าคะ ยากนักที่วันนี้จะอารมณ์ดีทั้งที ข้าเข้าครัวทำอาหารสักหลายอย่า
“อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เร่งด่วนขนาดนั้น อย่างไรเสียนี่ก็เย็นแล้ว กินมื้อค่ำก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย”ซ่งจืออวี้อึ้งไป “เป็นเรื่องเร่งด่วนมากไม่ใช่หรือ?”เขาเห็นท่าทางอวิ๋นอ๋องเมื่อครู่ร้อนใจเสียขนาดนั้น ตอนนี้พอได้ยินคำว่ากินข้าวกลับบอกว่าไม่เร่งด่วนแล้ว?อวิ๋นอ๋องก็เป็นพวกเห็นแก่กินเหมือนเขางั้นหรือ?ฉู่อวิ๋นกุยโบกไม้โบกมือ ในใจลอบปาดเหงื่อ ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้าชอบพูดล้อเล่นน่ะ เรื่องเร่งด่วนมากก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”ทุกคนเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก คิดว่าปกติอวิ๋นอ๋องก็มีนิสัยคาดเดาไม่ได้อยู่แล้วจึงไม่ได้คิดมากระหว่างที่ซ่งรั่วเจินเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง นางก็สั่งให้เฉินเซียงออกไปกระจายข่าวเฉินเซียงยิ่งฟังดวงตาก็ยิ่งเบิกโพลง รอยยิ้มสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้นางทำเรื่องแบบนี้ได้เจนจัดยิ่งนัก แค่คิดถึงฉากนั้นก็รู้สึกสาสมใจแล้ว!“คุณหนูวางใจได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้หมดจดแน่นอน”“เจ้าเป็นคนจัดการ ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว” ซ่งรั่วเจินยิ้มกล่าวสีท้องฟ้ามืดสลัวลง เมื่ออาหารถูกยกขึ้นโต๊ะจานแล้วจานเล่า ทุกคนมองอาหารที่เพียบพร้อมด้วยรูปรส
“สวรรค์ นี่จะอร่อยเกินไปแล้ว!”ฉู่อวิ๋นกุยลืมตากว้าง เขาเป็นถึงท่านอ๋อง รับประทานอาหารเลิศรสมาจนชิน มีของดีแบบไหนที่ไม่เคยกินบ้าง?ทว่า อาหารรสโอชาตรงหน้าเขากลับไม่เคยกินมาก่อนจริงๆ!พี่น้องตระกูลซ่งทั้งสี่คนก็ลอบตกตะลึงเช่นกัน ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยลิ้มรสมือน้องหญิงห้า เมื่อก่อนแม้ไม่เลว แต่รสชาติที่ได้ลิ้มชิมในชั่วขณะนี้เรียกได้ว่าเป็นการลิ้มรสอย่างเพลิดเพลินเลยทีเดียว“ฝีมือทำอาหารของน้องหญิงห้าก้าวหน้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”ดวงตาซ่งอี้อันฉายแววประหลาดใจ วันนี้ได้ยินว่าน้องหญิงห้าเสนอตัวเข้าครัวทำอาหารรับรองท่านอ๋องก็รู้สึกประหลาดใจแล้ว ชั่วขณะนี้ได้ลิ้มรสแล้วก็เข้าใจว่าน้องหญิงห้ามีการเตรียมตัวมาก่อนนี่นา!ซ่งเยี่ยนโจวรับประทานอย่างมีความสุข ใช้ตะเกียบคีบชิ้นแล้วชิ้นเล่า “อาหารที่น้องหญิงห้าทำเลิศรสมากจริงๆ หลายปีมานี้ข้าไม่เคยกินปลาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!”“นี่คือปลาต้มผักกาดดอง” ซ่งรั่วเจินยิ้มบาง วัตถุดิบอาหารยุคโบราณสดใหม่มาก แต่วิธีประกอบอาหารนั้นเรียบง่ายเกินไปตอนที่นางเพิ่งทะลุเข้ามาในนิยายก็รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็เริ่มโหยหารสชาติที่เคยชอบกิ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉู่จวินถิงก็บอกให้คนนำของขวัญมา“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นของพวกท่าน นี่คือน้ำใจเล็กน้อยของข้า”หลิ่วหรูเยียนเห็นอย่างนั้นก็สบตากับซ่งรั่วเจินแล้วรีบร้อนเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง วันนี้ท่านช่วยพวกหม่อมฉันไว้มากแล้ว แค่อาหารมื้อเดียวเท่านั้น ยังจะรับของพวกนี้ได้อย่างไร?”“วันนี้ก็แค่เรื่องเล็กน้อยแค่ยกมือเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”“จะว่าไปแล้ว สองวันก่อนทำให้รั่วเจินได้รับความตกใจเพราะข้า ข้ารู้สึกละอายใจมาตลอด คิดไม่ถึงว่าหลังจากรั่วเจินเข้าวังไปแล้วยังช่วยทำให้ความปรารถนาของเสด็จย่าเป็นจริง”“วันนี้ข้าไม่เพียงมาขอบคุณ แต่ยังมาขออภัยด้วยเช่นกัน”สายตาฉู่จวินถิงมองคนตรงหน้าโดยไม่หลีกเลี่ยงแม้แต่น้อย “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้จัดการเรื่องราวให้ดีจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดเหล่านี้ ขอให้ทุกท่านวางใจได้ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว”พี่น้องตระกูลซ่งทั้งสี่คนได้ยินดังนั้นก็สบตากัน ความไม่พอใจเล็กๆ ในจิตใจก็สลายไปด้วยเช่นกันฉู่อ๋องทะนงในตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้สามารถเป็นฝ่ายกล่าวขออภัยต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้ ทั้งยังอธิบายเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
เห็นฉู่จวินถิงจริงจังถึงเพียงนั้น หลิ่วหรูเยียนย่อมตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัยความจริงด้วยฐานะของฉู่จวินถิง ถ้าเขาต้องการแต่งงานกับเจินเอ๋อร์ แค่ขอพระราชทานสมรสจากฝ่าบาท พวกตนก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้วยามนี้ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนอื่น ทำให้นางเบาใจลงหลายส่วน“ข้าพึงใจรั่วเจิน แต่ไม่มีความคิดจะกดดันบังคับ หากวันหนึ่งนางยอมรับข้า ข้าย่อมยินดี ถ้านางยังไม่ยอมรับข้าหนึ่งวัน ข้าก็จะตามขอความรักต่อไปอีกวัน”“หากสุดท้ายนางยังคงไม่ยินดี ข้าก็จะไม่บังคับ”ดวงตาลึกล้ำของฉู่จวินถิงฉายแววจริงจัง ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็อยากบอกให้ตระกูลซ่งรับทราบความตั้งใจของเขามิฉะนั้น ต่อไปทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นข้างกายรั่วเจินแล้วทำให้ตระกูลซ่งต้องคอยหวาดหวั่นตลอดเวลาก็ย่อมไม่เหมาะสมนัก“ท่านอ๋องมีใจเช่นนี้เป็นวาสนาของตระกูลซ่งของพวกข้ายิ่งนัก แต่เรื่องที่เจินเอ๋อร์เคยประสบมาในอดีต ท่านอ๋องเองก็ทราบ เป็นหม่อมฉันกับนายท่านที่ดูคนผิดไป”“ดังนั้น หลังจากถอนหมั้นเป็นต้นมาก็บอกไว้ว่าเรื่องแต่งงานจะให้เจินเอ๋อร์ตัดสินใจด้วยตนเอง”หลิ่วหรูเยียนก็พูด
“ข้ากับท่านอ๋องรู้จักกันได้มินานนัก หากจะพูดถึงเรื่องแต่งงานอย่างไรก็เร็วเกินไป ทว่าข้ารู้ว่าเขาเป็นคนดี และข้าก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปมาหาสู่กับเขา”ซ่งรั่วเจินกล่าวความคิดของตนออกไปตามตรง ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับฉู่จวินถิง ชายผู้ที่ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม นิสัยใจคอตลอดจนกระทั่งสถานะทางสังคมก็ล้วนเป็นเลิศเหนือผู้ใด น้อยคนนักที่จะมีหญิงสาวผู้ใดไม่หวั่นไหวในช่วงหลายปีมานี้นางก็ไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวต่อชายใดมาก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่จวินถิงแล้ว ใจของนางก็ไม่อาจสงบนิ่งไร้ความเคลื่อนไหวได้เลยเพียงแต่นางอดประหลาดใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่เดิมทีเนื้อหาในนิยายเขาเป็นกษัตริย์เดียวดาย ชั่วชีวิตหาได้มีเส้นหัวใจวาสนาใดในรัก ทว่าบัดนี้กลับมาชอบพอนางเข้าเสียได้เมื่อได้ฟังแล้ว ทุกคนเพียงมองสบสายตากันก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีในเมื่อไม่ได้ต่อต้านรังเกียจ เช่นนั้นไปมาหาสู่กันต่อไปก็ใช่ว่าจะไร้โอกาสพัฒนาความสัมพันธ์จนได้ตกล่องปล่องชิ้น“เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งคิดให้มากความ เรื่องนี้ข้องเกี่ยวกับทั้งชีวิต จะให้เร่งร้อนไปมิได้” ซ่งเยี่ยนโจวกล่าวเขาเคยพลาดแต่งงานเป็นฝั่งเป็
ทันใดนั้น ซ่งจืออวี้ก็ลืมตัว ไม่สนแม้สักนิดว่าตนยังยืนอยู่นอกร้าน ปากก็กินไปพร่ำกล่าวชมไป “น้องหญิงห้า ไก่ทอดนี่เป็นไก่ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลย! ไยเจ้าจึงได้เฉลียวฉลาดเยี่ยงนี้ อาหารที่ทำออกมาถึงได้รสเลิศถึงเพียงนี้ได้!”ซ่งจิ่งเซินเหลือบมองพี่สามที่กินอย่างตะกละตะกลามด้วยสายตารังเกียจ “พี่สาม ท่านกินเสียขนาดนี้ไม่กลัวแขกตกใจเอาหรืออย่างไร เข้าไปกินข้างในเถิด”ซ่งจืออวี้เองก็รู้ตัวว่าตนมีนิสัยกินมูมมาม พอโดนซ่งจิ่งเซินพูดเช่นนี้อยากจะเถียงกลับ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของน้องหญิงห้า เขาจึงเกิดรู้สึกกระดากใจขึ้นมาบ้าง“ก็ได้ ข้าจะเข้าไปกินข้างใน”แต่แล้วซ่งรั่วเจินกลับยกมือห้าม “ไม่ต้องหรอก พี่สามกินเอร็ดอร่อยถึงเพียงนี้ ผู้อื่นเห็นก็จะได้รู้ว่าอร่อยแน่ๆ พี่สามถือเป็นผู้ช่วยประชาสัมพันธ์เลยทีเดียวล่ะ”ฟังคำแล้วซ่งจืออวี้ก็ชะงักไป ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนโดยรอบกำลังจ้องมองมายังเขา ในตอนนั้นก็มีคนเดินเข้ามา“ไก่ทอดนี่ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน แต่ดูเขากินเสียเอร็ดอร่อยเชียว รสชาติเป็นต้องดีมากแน่ ข้าขอซื้อหนึ่งชุด!”“ข้าก็ขอซื้อไปลองชิมด้วยอีกชุด!”เมื่อผู้คนได้ซื้อไก่ทอ
ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ เรื่องราวจะเกิดพลิกผันได้ถึงเพียงนี้?“นี่เป็นเรื่องของข้า เจ้าจะถามไปไย? หากไม่มีเหตุธุระใดเจ้าก็กลับไปเสียเถอะ” ถังเสวี่ยหนิงมีน้ำเสียงเย็นชา ตั้งแต่เกิดเรื่องขายหน้าในจวนเซียงอ๋องเมื่อครานั้น สองวันมานี้นางก็ไม่ได้ออกจากจวนไปพบเจอผู้ใดอีกเลย ด้วยกลัวจะถูกหัวเราะเยาะตอนนี้ที่เถียนเจียวเจียวถ่อมาหาถึงที่เพื่อถามก็เหมือนจะมาซ้ำเติมกันเสียมากกว่าเถียนเจียวเจียวมีความคิดเยาะเย้ยอยู่บ้างในจิตใจ ก่อนหน้านี้ได้รู้ว่าถังเสวี่ยหนิงมีวาสนาที่ดีเช่นนั้นจะบอกว่านางไม่อิจฉาก็จะเป็นการโกหก ทว่าบัดนี้เมื่อหมั้นหมายสมรสถูกยกเลิกไปแล้ว ในฐานะเพื่อนนางก็รู้สึกเห็นใจอยู่เช่นกัน “ข้าย่อมต้องเป็นห่วงเจ้าอยู่แล้วสิ เรื่องที่เกิดในจวนเซียงอ๋องข้าก็ได้ยินมาหมดแล้ว เรื่องถอนหมั้นนี้จะอย่างไรก็คงไม่แคล้วเกี่ยวข้องกับซ่งรั่วเจินเป็นแน่”“ก่อนนี้พวกเราล้วนประเมินนางต่ำจนเกินไป เดิมทีคิดว่าเมื่อนางถูกถอนหมั้นหมายตอนอายุไม่น้อยแล้วจะต้องไร้หนทางสู้รบปรบมือใดได้เป็นแน่ นึกไม่ถึงว่านางจะมากเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้!”เถียนเจียวเจียวพูดด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ “ข้าได้ยินมาว่าไม่เพียงฉู่อ๋อ
ฉู่จวินถิงสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของซ่งรั่วเจิน ไหวพริบบ่งบอกว่ามีปัญหาซ่งรั่วเจินส่ายหน้าเบาๆ “เพียงแต่ได้ยินจงเฟยพูดเรื่องบูชาเซียนโบตั๋นจึงรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าใช่เซียนโบตั๋นที่หม่อมฉันรู้จักหรือไม่”นางเคยได้ยินเรื่องเซียนโบตั๋นมาก่อน เป็นสิ่งที่สตรีบูชาจริง เซียนบุปผา มีสรรพคุณช่วยคืนความอ่อนเยาว์ เพียงแต่ภายในนี้กลับมีเคล็ดลับบางอย่าง ทำให้คนเสพติดอย่างง่ายดาย สุดท้ายลุ่มหลงจนยากจะถอนตัวขึ้นมาได้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีหากเป็นคนฝีมือโหดเหี้ยม ก็สามารถใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนโชคชะตาได้ น่ากลัวอย่างมากจงเฟยมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ตนเองเก็บไว้บูชาเองก็พอ ทว่านางกลับนำมามอบให้ฮองเฮา แปลกเกินไปแล้วกระมัง“พูดให้ฟังเถอะ”ฉู่จวินถิงกลับไม่รีบร้อนจากไป เอียงหูฟัง รอฟังคำพูดของว่าที่ฮูหยินอย่างอารมณ์ดีแท้จริงแล้ว ไม่ว่าเจินเอ๋อร์พูดอะไร เขาล้วนอยากฟัง“หม่อมฉันเคยเห็นเซียนโบตั๋นมาก่อน ทำให้สตรีงดงามอ่อนเยาว์ผ่านการบูชาอาหาร หากจริงใจมากเพียงพอ ยังสามารถใช้เลือดเป็นเครื่องบูชาได้ ผลลัพธ์ดีมากนัก”“เพียงแต่จะทำให้สตรีลุ่มหลง กลายเป็นรีบร้อนอยากได้ผลลัพธ์ จากนั้นยากจะถอนตัวขึ
วังหลังวันนี้ซ่งรั่วเจินและฉู่จวินถิงเข้าวังไปขอบพระทัยความเมตตาด้วยกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นความครึกครื้นทั้งภายในภายนอกตำหนักของฮองเฮายังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงตวนเฟยดังออกมาจากภายใน“ระยะนี้น้องหญิงจงเฟยงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว คนเองก็สดใสมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่ง ข้าถามนางว่าใช้เคล็ดลับอะไร นางก็ไม่ยอมบอกข้า ต่อมาข้ายังเห็นด้วยตนเอง”ตวนเฟยมองเซียนโบตั๋นข้างห้องบรรทมของฮองเฮาแวบหนึ่ง สายตาสะท้อนแววละโมบ“ที่แท้นางก็ตั้งใจขอเซียนโบตั๋นจากพระผู้ทรงศีล เพื่อรักษาความเยาว์วัยของสตรี ทำให้งดงามมีเสน่ห์!”เพียงถ้อยคำนี้พูดออกมา สนมคนอื่นก็ตาร้อนผ่าว ความเปลี่ยนแปลงของจงเฟยในระยะนี้ พวกนางล้วนเห็นอยู่ในสายตา ฝ่าบาทเองก็ประทับค้างแรมกับจงเฟยที่นั่นติดต่อกันหลายคืน ใครจะไม่อิจฉากันเล่า?สนมภายในวังมีไม่น้อย พวกเขาทำเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ปกติทำทุกวิธี ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลบัดนี้ได้เห็นจงเฟยได้รับความโปรดปรานมากขึ้นทุกที แต่ละคนร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว“เดิมทีคิดว่าจงเฟยจะซ่อนไว้ คิดไม่ถึงเลยว่ายังมอบให้ฮองเฮาอีกด้วย น้องหญิงจงเฟยจริงใจต่อฮองเอาจริงๆ!
“บัดนี้ข้าและองค์หญิงเพียงแต่มีปัญหากันเล็กน้อยเท่านั้น รอข้าไปอธิบายให้ชัดเจน ทั้งหมดย่อมกลับมาเป็นเหมือนเดิม”เสิ่นหวยอันพูดอย่างมีเหตุผล ชนิดที่ว่าหน้าตายังเผยแววลำพองใจ “เจ้าคิดดูให้ดี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก่อเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมา ป่านนี้คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”“ส่วนข้า ก็แค่ถูกโบย สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างว่องไว หรือเจ้าไม่เข้าใจความหมายกันเล่า?”“ตกลงเจ้าจะพูดอะไร?” เสิ่นจวินเจ๋อหรี่ตาลง สังเกตเห็นปัญหาแล้ว เสิ่นหวยอันมั่นใจในตนเองเกินไป“เหตุที่องค์หญิงทำเช่นนี้ ก็เพราะหึงหวงเท่านั้น” เสิ่นหวยอันหัวเราะเบาๆ ลูบแต่งผมและพูด “องค์หญิงมีจิตปฏิพัทธ์ต่อข้า เพียงแต่เห็นซ่งปี้อวิ๋นอยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด เข้าใจผิดคิดว่าข้าและนางมีความสัมพันธ์กัน นี่ถึงเป็นเช่นนี้”“ระหว่างสตรีย่อมหนีไม่พ้นความหึงหวง นี่คือเรื่องธรรมดาอย่างมาก เพียงแต่องค์หญิงอารมณ์รุนแรงอยู่บ้าง นี่ถึงโบยข้า”“หากไม่รัก นางก็คงไม่โมโหถึงเพียงนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”เสิ่นจวินเจ๋อชะงักไปในทันใด ครู่ต่อมาคิดว่าสายตาของฉู่มู่เหยาไม่น่าจะแย่ถึงเพียงนี้ เพียงแต่ลองคิดดูแล้วเขาก็เริ่มไม่มั่นใจเพราะเสิ่นหวยอันมั่นใจในตน
ได้ยินคำพูดของอวิ๋นเฉิงเจ๋อ ภายในสายตาอวิ๋นเนี่ยนชูเปี่ยมความแปลกใจ มากที่สุดคือต้องการรู้เหตุผลทั้งหมดตกลงเป็นเพราะอะไร?เพราะเหตุใดหลายปีมานี้ ทั้งๆ ที่นางแสดงความชอบของตนออกมาไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ทว่าญาติผู้พี่กลับหลบเลี่ยงนางมาโดยตลอด นางต้องการคำตอบหนึ่ง กลับไม่ได้รับทั้งๆ ที่ดีต่อนางถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ภายในใจมีนางมาโดยตลอด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?อวิ๋นเฉิงเจ๋อเอ่ยปากพูดเสียงขมปร่า นี่ถึงพูดความคิดที่เก็บซ่อนไว้ภายในใจตลอดหลายปีมานี้ออกมา...อวิ๋นเนี่ยนชูได้ยินทั้งหมดนี้ สายตาสะท้อนแววเหลือจะเชื่อ ยากจะเชื่อได้ว่าทั้งหมดนี้ถึงขั้นยังมีเรื่องที่นางไม่รู้มากถึงเพียงนี้“ดังนั้น...พวกเราไม่ใช่ญาติพี่น้องแท้ๆ?”อวิ๋นเนี่ยนชูเผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด นี่คือเรื่องที่นางไม่เคยรู้ หลายปีมานี้ญาติผู้พี่ก็ไม่เคยพูดมาก่อนอวิ๋นเฉิงเจ๋อพยักหน้า “ปีนั้นข้าถูกทิ้งไว้ที่ประตูเรือนด้านหลัง หากไม่ใช่ท่านแม่ใจดีรับเลี้ยงข้า ข้าคงตายไปตั้งนานแล้ว...”หลายปีมานี้เขาเคยคิดอยู่หลายค่ำคืน บิดามารดาแท้ๆ ของเขาเป็นใคร เหตุใดต้องทิ้งเขา บางครั้งก็เกลี้ยกล่อมตนเอง คิดถึงปัญหาเหล่านี้ไปล้วนไ
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที