ฉินเซี่ยงเหิงโมโหแทบตายแล้ว เดิมก็ไม่อยากให้ฉินซวงซวงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง เหอเซียงหนิงตายคนเดียวก็ตายไปพี่ใหญ่กลับเลือกผลักฉินซวงซวงออกไปเพื่อลูกในท้องเหอเซียงหนิงเนี่ยนะ?“ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง ผู้ใดใช้ให้นางไม่ยอมเลิกราเสียทีเล่า? เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ล้วนแต่เป็นปัญหาที่นางก่อขึ้นมาทั้งสิ้น!”“ถ้าไม่ได้รับบทเรียนเสียบ้าง วันหน้าเรื่องแบบนี้ก็คงจะเกิดไม่หยุดหย่อน ข้าเหนื่อยหน่ายเหลือทนแล้ว”ฉินจื้อหย่วนมีสีหน้าเย็นชา กล่าวถึงที่สุดแล้ว สาเหตุที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ล้วนแต่ต้องโทษฉินซวงซวงถ้าหย่ากัน เขาก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลกัวอีกแล้ว!ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉินเซี่ยงเหิงเดิมก็ธรรมดา แม่เลี้ยงลำเอียงเข้าข้างพวกเขาทุกอย่าง ทำให้ท่านพ่อไม่ดีต่อเขาเหมือนในอดีต เรื่องดีทุกอย่างล้วนมอบให้พวกฉินเซี่ยงเหิงสองคนนั้นแทนที่จะรอให้ถูกฉินเซี่ยงเหิงกดเอาไว้หลังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลกัว มิสู้ฉวยโอกาสนี้สั่งสอนพวกเขาไปด้วยเสียเลย!“สวรรค์ คิดไม่ถึงว่าตระกูลฉินจะวุ่นวายปานนี้ ข้าว่าแล้วเชียวว่าฉินซวงซวงเป็นดาวหายนะ เริ่มจากทำให้ตระกูลหลินตกต่ำ ยามนี้ยั
ซ่งรั่วเจินวาจาคมกริบ คำถามรวบรัดตรงประเด็นทำให้คนตระกูลถังทั้งสองใบ้กินไปในชั่วพริบตาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะไม่เข้าใจได้อย่างไร?การวางแผนให้ร้ายวันนี้ทำให้คนมิอาจโต้แย้งได้เลย ถ้าพวกเขาใส่ร้ายได้สำเร็จก็จะไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว เกรงว่าในใต้หล้านี้นอกจากซ่งรั่วเจินก็คงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ยามนี้แผนการถูกเปิดโปง แค่อธิบายว่าถูกหลอกง่ายๆ ก็คิดจะปล่อยให้เรื่องผ่านเลยไป เช่นนี้ออกจะไม่ยุติธรรมสำหรับซ่งรั่วเจินเกินไปแล้ว!“ยามนี้เรื่องยังไม่ได้รับการตรวจสอบ ต่อให้สิ่งที่ถังเสวี่ยหนิงพูดมาเป็นความจริง นางก็ต้องมีความคิดร้ายต่อข้าอย่างแน่นอน มิฉะนั้นนางสามารถไปแจ้งความได้ ไยต้องเลือกโอกาสในวันนี้ด้วย?”“ยามนี้ข้าไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ต้องการตรวจสอบเรื่องราวให้กระจ่าง พวกท่านก็คิดจะยัดข้อหาใหญ่โตเช่นนี้ให้ข้า ข้ารับไม่ไหวหรอกนะ!”แววตาซ่งรั่วเจินเย็นชาดุจน้ำแข็ง สำหรับคนที่คิดร้ายต่อนางแล้ว นางไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆในเมื่อถังเสวี่ยหนิงไม่ยอมเลิกรา อย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้ให้นางได้รับบทเรียนเสียบ้าง วันหน้าถ้ายังคิดจะมาหาเรื่องนางอีกจะได้ใคร่ครวญใ
หลินจือเยว่เห็นว่าบริเวณนั้นมีคนมากมายขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครเชื่อเขาสักคน ความรู้สึกที่มีร้อยปากยากอธิบายนี้ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นจนถึงที่สุด“ข้าไม่ได้ทำจริงๆ พวกเจ้าเชื่อข้าเถอะ! ซวงซวง เจ้าบอกพวกเขาสิว่าข้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”ฉินซวงซวงเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยว่า “จือเยว่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พวกท่านอย่าใส่ร้ายเขา!”ทว่าทุกคนฟังแล้วนอกจากจะไม่เชื่อถือ ยังรู้สึกว่าหลินจือเยว่ช่างมีความสามารถจริงๆ ถึงกับทำให้ฉินซวงซวงยอมแบกรับทุกอย่างเพื่อเขาด้วยความยินยอมพร้อมใจ“จุ๊ๆ เกิดเรื่องขึ้นมาก็ให้ฉินซวงซวงรับไปคนเดียว ตอนแรกเมืองหลวงยังชมว่าหลินโหวดีอยู่เลย ข้าว่าเป็นพวกขี้ขลาดมากกว่า!”“แล้วไม่ใช่หรือไร? ไม่รู้ว่าคนแบบเขามีดีตรงไหน น่าขันนัก!”หลินจือเยว่โมโหจนแทบจะพ่นเลือดออกมาอยู่รอมร่อ เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ นี่นา!ซ่งรั่วเจินเห็นหลินจือเยว่ถูกคุมตัวไปแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย เรื่องครึกครื้นของตระกูลฉินยิ่งดูก็ยิ่งมาก แต่เกรงว่าพอแม่ทัพฉินทราบเรื่องคงถึงกับหน้ามืดเลยทีเดียวนางหันไปมองฉู่จวินถิง แต่กลับพบว่าชายหนุ่มถอนสายตากลับไปเพื่อหลบตานางโดยไม่รู้ตัวก็อดจะประหลาดใจไม่ได้“อะแ
เมื่อพิธีล่าสัตว์สิ้นสุดลง เรื่องวุ่นวายถึงคราวยุติ ซ่งรั่วเจินก็ติดตามพี่ชายของตนเองเตรียมตัวจากไป“ข้าต้องไปศาลาว่าการซุ่นเทียนก่อนสักรอบ หลังจากนั้นค่อยไปหาเจ้า” ฉู่จวินถิงกล่าวซ่งรั่วเจินพยักหน้าน้อยๆ เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โตเพียงนี้ เกรงว่าคนทั้งเมืองหลวงคงกำลังรอดูผลลัพธ์อยู่ ฉู่จวินถิงจำเป็นต้องปิดคดีโดยเร็วที่สุดอวิ๋นเนี่ยนชูกับเมิ่งชิ่นได้ยินบทสนทนาที่คุ้นเคยปานนี้ระหว่างทั้งคู่ก็หันมาสบตากันโดยสัญชาตญาณ ต่างลอบอมยิ้มอย่างอดไม่อยู่“หลังจากนั้นค่อยไปหาเจ้า?” ฉู่จวินถิงเพิ่งจากไป อวิ๋นเนี่ยนชูก็ใช้ไหล่กระแซะซ่งรั่วเจิน กลั้นยิ้มเอ่ยว่า “รั่วเจิน เจ้ากับท่านอ๋องสนิทสนมกันถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าคบกันแล้วไม่บอกพวกข้าหรอกนะ?”ความอึดอัดวาบผ่านใบหน้าซ่งรั่วเจิน นางอธิบายว่า “ท่านอ๋องมาหาข้าเพื่อแจ้งบทสรุปของเรื่องนี้กับข้าเท่านั้น”“รั่วเจิน เจ้าหน้าแดงแล้ว! บอกความจริงมานะ ผู้ชายแบบฉู่อ๋องยังมีสิ่งใดให้ติอีกหรือ?”“ถ้าข้ามีวาสนาดีเช่นนี้จะต้องตอบรับโดยไม่ลังเลแน่นอน เจ้าลองคิดดูสิถ้าเจ้าได้เป็นชายาของฉู่อ๋อง พวกฉินซวงซวงยังจะกล้ามาหาเรื่องเจ้าอีกงั้นรึ? หลบยังแทบไม่ทันด้ว
“ข้ากลับมองว่าฉู่อ๋องหาได้ปิดบังแม้แต่น้อย เขาคงรู้เป็นอย่างดีว่าฮองเฮามิได้พอใจกระมัง?” เมิ่งชิ่นเอ่ยถามซ่งรั่วเจินเปล่งเสียงตอบรับ ที่จริงนางมิได้หวั่นเกรงต่อฮองเฮาแม้แต่น้อย เสียก็แต่ปัญหาภายในราชวงศ์นั้นสลับซับซ้อนยิ่ง เพียงเหตุลอบปลงพระชนม์ฉู่เทียนเช่อในวันนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่าขอเพียงก้าวเท้าเข้าไปก็ราวกับติดอยู่ในหล่มโคลนตมแล้ว“รั่วเจิน ข้าว่าเจ้ามิจำเป็นต้องกังวลนักหรอก หากฮองเฮาควบคุมบงการฉู่อ๋องได้จริงแล้วละก็ ฉู่อ๋องก็คงมิครองโสดมาจวบจนบัดนี้ได้หรอก”“ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาก็คิดจะจัดแจงหมั้นหมายให้ฉู่อ๋องอยู่แล้ว แต่ดูเอาเถิดว่าถึงตอนนี้แล้วหาคนมาปลงใจได้เสียที่ไหน? ชัดเจนว่าหากมีฉู่อ๋องอยู่ เจ้าก็มิจำเป็นต้องหวั่นเกรงใดๆ ต่อฮองเฮา”“อีกอย่างท่านแม่ข้าเคยว่าไว้ ไม่ว่าแม่นางใดจะแต่งงานกับชายใดก็ล้วนมิอาจเลี่ยงต้องประสบทุกข์ยาก ชีวิตคนเรานั้นยากจะสมบูรณ์แบบพรั่งพร้อม”“บ้างก็สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวมักมีแม่สามีร้ายกาจ บ้างก็แม่สามีดีเหลือหลายสามีภรรยากลับมิสมานฉันท์ ข้ากลับมองว่าอย่างน้อยฉู่อ๋องฝ่าบาทก็ทรงปกป้องเจ้าได้มิใช่หรือ?”“เมิ่งชิ่น นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะม
ไม่นานนักซ่งอี้อันก็กลับมาซ่งรั่วเจินเห็นเขากลับมาแล้วสายตาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่นางจึงเอ่ยถาม “เกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่?”“ถูกเผ็ง” ซ่งอี้อันพยักหน้า “บุตรชายคนโตของสกุลหร่วนถูกพิษเข้า บัดนี้อาการถึงมือหมอหลวงแล้ว ทว่ายังคงไร้ซึ่งหนทางเช่นเดิม นางจึงนึกถึงหมอเทวดาที่ช่วยรักษาข้าและพี่ใหญ่ขึ้นมาได้ เลยอยากให้ข้าช่วยแนะนำให้”จบประโยค พี่ชายน้องชายทั้งสี่ก็ต่างมองไปยังซ่งรั่วเจิน ฝีมือการแพทย์ของน้องหญิงบ้านตนย่อมเป็นที่ประจักษ์ในหมู่พวกเขาอยู่แล้วกระทั่งโรคที่ท่านหมอมากมายในเมืองหลวงยังไม่อาจรักษาให้หายได้ ขอเพียงน้องหญิงออกโรงแค่เพียงยาก็รักษาหายได้แล้ว ไม่เพียงแค่ซ่งเยี่ยนโจวและซ่งอี้อันเท่านั้น กระทั่งร่างกายของชิงอินก็เป็นนางเช่นกันที่ช่วยปรับสมดุลให้ดีขึ้นได้ จนบัดนี้เรียกได้ว่าแตกต่างกับเมื่อก่อนลิบลับ!“หร่วนอวี้เฉิงที่ว่าคือคุณชายใหญ่สกุลหร่วนหรือ?”ฉับพลันซ่งรั่วเจินก็หวนนึกถึงสิ่งที่ฉู่จวินถิงเคยบอกนางเอาไว้ว่าหร่วนอวี้เฉิงพักอยู่ที่จวนฉู่อ๋อง หมอหลวงทั้งหลายต่างได้เคยตรวจดูอาการกันแล้ว ทว่าก็ทำได้เพียงรักษาประคองชีวิตไว้ได้เท่านั้น ไม่อาจถอนพิษออกไปได้จนสิ้นดังนั้นจ
หร่วนเนี่ยนถังอดไม่ได้ที่จะถามออกมา นางได้ยินมาว่านับแต่อาการของซ่งเยี่ยนโจวและซ่งอี้อันถูกรักษาจนหายขาด ผู้คนไม่น้อยก็ต่างสงสัยใคร่รู้ว่าท่านหมอที่รักษาพวกเขาคือผู้ใด ทว่าสกุลซ่งกลับไม่เคยเปิดเผยแพร่งพรายออกมาก่อนนี้ก็มีคนพยายามสืบเสาะหาข้อมูลอยู่เช่นกัน แต่ก็ยังคงไร้ซึ่งเบาะแสข่าวคราวใด“ดูท่าคงมิอยากให้เกิดการอลหม่านวุ่นวาย อย่างไรหากชื่อเสียงกระจายออกไป ความยุ่งยากก็คงตามมาไม่น้อย”ซ่งอี้อันเชื่อว่าน้องหญิงบ้านตนคงคิดเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นที่มีฝีมือเช่นนี้แล้วเล่าก็คงอดรนทนไม่ไหวอยากจะป่าวประกาศให้โลกหล้ารู้กันถ้วนทั่วแล้ว สำหรับน้องหญิงห้าที่มีวิชาศาสตร์ลี้ลับแก่กล้า เมื่อผนวกรวมกับถวามถนัดถนี่ทางการค้าขายแล้ว เรียกได้ว่าก็มีกินมีใช้ไม่ขาดปาก ไม่มีเหตุจำเป็นใดให้ต้องลำบากลำบนอยู่แล้ว เขาก็คิดเช่นกันว่าขอเพียงน้องหญิงห้ามีความสุขตามอัตภาพในทุกๆ วันก็ดีมากพอแล้วหร่วนเนี่ยนถังพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”ซ่งอี้อันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ย “เรื่องในจวนของพวกเราเมื่อคราก่อน ข้าต้องขออภัยด้วย และขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าให้พ้นจากเรื่องยุ่งยากใจ”ครั้งนั้นที่หร่วนเนี่ยนถังตกน้ำ ก็
สกุลซุนหลิ่วเฟยเยี่ยนได้ยินคำพูดของซุนเยียนเอ๋อร์เข้า ดวงตาก็เต็มด้วยความคาดไม่ถึง “เจ้าว่าอะไรนะ? ฉู่อ๋องมอบรางวัลที่ตนชนะเลิศการล่าสัตว์ให้ซ่งรั่วเจินต่อหน้าผู้คนเช่นนั้นหรือ?”ซุนเยียนเอ๋อร์พยักหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดิ “ท่านแม่ ท่านว่าเหตุใดญาติผู้พี่จึงโชคดีเช่นนี้ได้เล่า? นางก็เพียงหญิงที่เคยถอนหมั้นหมายมาก่อน แต่กลับอาจหาญหมายใจฉู่อ๋องก็เท่านั้น!”“ก่อนนี้ผู้คนต่างกล่าวกันว่าฉู่อ๋องสายตาเฉียบคม หญิงสาวทั่วไปล้วนไม่อาจเข้าตาเขาได้มิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงมาถูกตาต้องใจญาติผู้พี่ได้เล่า?”แรกเริ่มหลินจือเยว่ยังบอกนางว่าวันนี้จะเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้หวนผงาดอีกครั้ง ให้นางเตรียมตัวรอดูอยู่เลยรอจนเขาหวนคืนสู่ตำแหน่งขุนนางอีกครั้งเมื่อใดแล้ว ก็จะรับนางเข้าจวนเป็นภรรยา ดังนั้นวันนี้กระทั่งพิธีล่าสัตว์นางก็ยังไม่ได้ไป ด้วยกลัวจะปะเข้ากับฉินซวงซวงจนเกิดปัญหา!ใครเล่าไม่รู้ว่าหญิงเช่นฉินซวงซวงร้ายกาจหยาบช้าเพียงใด กลเม็ดที่ใช้เล่นงานผู้อื่นเรียกได้ว่าไม่ขาดสาย นางย่อมไม่ต้องการถูกเล่นงานเสียตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวเท้าเข้าจวน!ใครจะคิดเล่าว่าหลินจือเยว่จะไม่เพียงไม่อาจผงาดได้อีกครั้ง กล
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง