ซ่งรั่วเจินเพิ่งลงมาจากรถม้า มองปราดเดียวก็เห็นฉู่จวินถิงที่กำลังรออยู่ ความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาคู่งาม“ท่านตั้งใจมารับหม่อมฉันหรือเพคะ?”ฉู่จวินถิงพยักหน้า “ข้าได้ยินข่าวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วจึงรู้ว่าเสด็จแม่เรียกเจ้าเข้าวัง เจ้าวางใจได้ ข้าจะรออยู่ข้างนอก”“ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล แค่เจ้าร้องเรียก ข้าก็จะเข้าไปทันที ทุกอย่างล้วนมีข้าอยู่”เห็นท่าทางจริงจังทั้งยังจริงใจของชายหนุ่ม ทั้งที่เตรียมการทุกอย่างไว้แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังกลัวว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น มุมปากซ่งรั่วเจินค่อยๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ท่านเตรียมการไว้เรียบร้อยเช่นนี้ ไม่เกิดอันใดขึ้นหรอกเพคะ”ฉู่จวินถิงมองหญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างน่ามอง สวมชุดสำหรับฤดูหนาวสีอ่อน คอเสื้อประดับขนสัตว์สีขาวขับเน้นให้นางแลดูน่ารักเป็นพิเศษเขาชอบสตรีคนหนึ่งเป็นครั้งแรก ทั้งยังชอบมากกว่าที่เคยคิดไว้มากมายนักชอบจนถึงขนาดที่ว่าหากนางได้รับความไม่เป็นธรรมแม้เพียงน้อยนิด เขาก็ยังยากจะอดทนเอาไว้ได้เมื่อมองเห็นรอยยิ้มของนางในยามนี้ก็รู้สึกว่าความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากในหัวใจสามารถขับไล่ความเหน็บหนาวทั้งหมด
เห็นที...วิชาแพทย์ของนางคงจะล้ำเลิศจริงๆ“ข้านึกแล้วเชียวว่าสายตาของจวินถิงจะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน ช่างเป็นแม่นางที่ดีจริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ปีติยินดีอย่างสุดแสน “เรื่องระหว่างเจ้ากับจวินถิง ข้าพอได้ยินมาบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีเรื่องเข้าใจผิดกันไปบ้าง เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ”ซ่งรั่วเจินยังคงตั้งรับไม่ถูกอยู่บ้าง คิดถึงว่าตอนที่เจอกันระหว่างทางตอนนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ก็อบอุ่นเป็นมิตรเช่นนี้ วันนี้ยิ่งเป็นกันเองเป็นพิเศษ“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ”“ข้ารู้ว่าเจ้านิสัยดี ไม่เก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ คนก็ยังจิตใจดีอีกต่างหาก”“ข้ารู้นิสัยฮองเฮาดีที่สุดแล้ว ปากร้ายแต่ใจดี รอจนได้ใกล้ชิดกันมากกว่านี้ เจ้าจะเข้าใจเอง”ฮูหยินผู้เฒ่าลู่มีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า คิดว่าหลายปีมานี้เรื่องมงคลของจวินถิงไม่ได้กำหนดแน่นอนเสียที ตอนนี้ได้มาเจอแม่นางที่ดีเช่นนี้ การรอคอยหลายปีก็นับว่าคุ้มค่าแล้วเดิมนั้นฮองเฮายังครุ่นคิดอยู่ว่าจะพูดถึงเรื่องในอดีตกับซ่งรั่วเจินอย่างไรดี เพื่อสตรีนางเดียว จวินถิงถึงขั้นคิดจะไปเฝ้าชายแดน นางย่อมอยากผ่อนคลายความสัมพันธ์ของสองฝ่ายแต่เรื่องแบบนี้
ฉู่จวินถิงเห็นสายตาเสด็จแม่ของตนเองก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายรอยยิ้มวาบผ่านดวงตาเขา เข้าใจยิ่งว่าด้วยนิสัยของเสด็จแม่แล้ว วันนี้สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็แสนจะไม่ง่ายแล้ว นางกำลังเป็นฝ่ายริเริ่มไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ก่อนเขายังเข้าใจว่าในเมื่อเสด็จแม่กล่าววาจาเช่นนี้ออกมาแล้ว วันหน้ายิ่งไม่มีทางจงใจสร้างความลำบากให้รั่วเจิน“เสด็จแม่ ท่านเข้าใจแล้วช่างดียิ่งนัก ข้ากลัวจริงๆ ว่าพี่สะใภ้จะถูกคนอื่นชิงตัวไป ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนข้าไปร่วมงานเลี้ยงก่อนหน้านี้มีคนมากมายเท่าไรที่อิจฉาเสด็จพี่”สีหน้าฉู่มู่เหยาเต็มไปด้วยความยินดี ก่อนหน้านี้นางเคยพูดกับเสด็จแม่แล้ว แต่เสด็จแม่กลับไม่เชื่อแต่นางเข้าใจยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าชาติตระกูลของพี่สะใภ้ดียิ่งนัก คนยังมีหน้าตางดงาม เรียกได้ว่าเป็นโฉมงามที่ยากจะพบพานในเมืองหลวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความมั่งคั่งของสกุลซ่งภรรยาที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมงดงามและความสามารถ ทั้งยังมีเงินเช่นนี้ เรียกได้ว่าหาตัวจับยากโดยแท้!หากไม่ติดที่สถานะของเสด็จพี่ ผู้ชายมากมายก็คงอยากลองแย่งชิงดูสักครั้งกระมัง?ฮองเฮาเห็นว่าลูกสาวของตนเองคำก็พี่สะใภ้สองคำก็พี่สะใภ้ ท่
ฉู่มู่เหยาเห็นท่าทางเหมือนคนรักที่ในที่สุดก็สมหวังเสียทีของพวกฉู่จวินถิงสองคน ดวงตาก็ฉายแววอิจฉา ภาพเสิ่นหวยอันปรากฏขึ้นมาในความคิดโดยไม่รู้ตัวนางก็ถึงวัยออกเรือนแล้วเหมือนกันหลายวันก่อนนางได้ยินเสด็จแม่กับแม่นมพูดถึงเรื่องนี้ แต่บรรดาคุณชายที่ทั้งคู่พูดถึง นางไม่สนใจเลยสักนิดในหัวปรากฏภาพเสิ่นหวยอันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คืนวานหลังเมาสุรา เขาพูดความในใจออกมาอย่างอดไม่ไหว นางค่อยรู้ว่าที่แท้เขาก็ชอบตนเองมาโดยตลอด แต่ติดที่ฐานะจึงไม่กล้าพูดออกมาก่อนหน้านั้นไปอีก ตอนที่พวกนางพบกันครั้งแรก เสิ่นหวยอันก็ชอบนางแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงพยายามคิดหาวิธีมาอยู่ข้างกายนางคืนวานนี้ ภาพต่างๆ ตั้งแต่พวกนางรู้จักกันโผล่เข้ามาในความคิดของนางไม่หยุดสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้นาง นางล้วนเห็นอยู่กับตา ทุกความห่วงใยและความเอาใจใส่ล้วนทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวคิดถึงตรงนี้ ฉู่มู่เหยาคล้ายกับว่าจะตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังอารมณ์ดียิ่ง นางพูดความคิดของตนเองออกมา“ความจริง...ข้าก็มีคนในดวงใจแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ”ชั่วขณะที่ฉู่มู่เหยาพูดออกมา ห้องที่เดิมทีกำลังคึกคักราวกับว่าเงียบสงัดลงในชั่วพริ
นับตั้งแต่ที่ฉู่มู่เหยาเกือบได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่ถูกเสิ่นหวยอันนำตัวกลับมา ฮองเฮาก็กังวลว่าปัญหาเช่นนี้อาจเกิดขึ้นอีก จึงเตือนสติไว้เป็นการพิเศษหนึ่งครา สิ่งที่ทำให้สตรีใจหวั่นไหวง่ายที่สุดเห็นจะไม่มีสิ่งใดเกินกว่าบุญคุณช่วยชีวิต มีหญิงสาวสักเท่าใดเล่าที่ยอมมอบกายถวายใจเพราะบุญคุณช่วยชีวิต? เรื่องเช่นนี้หากเกิดกับผู้อื่นก็ว่าไปอย่าง แต่หากเกิดกับตัวของฉู่มู่เหยาแล้วไซร้ ย่อมเป็นสิ่งที่ยอมมิได้โดยเด็ดขาด “เสด็จแม่ ข้าเข้าใจในพระดำริของเสด็จแม่ แต่ข้าเองก็รักใคร่ในตัวคุณชายเสิ่นจริงๆ” “หากมิใช่เขาที่ช่วยข้า ในตอนนี้ข้าก็ยังมิรู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร การเกิดจากภรรยารองก็หาใช่ความสมัครใจของเขาไม่ เพราะชาติกำเนิด จึงจะต้องตัดความหวังในการอยู่ร่วมกันระหว่างข้ากับเขาโดยสิ้นเชิงเชียวหรือ?” ระหว่างคิ้วของฉู่มู่เหยาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม “ก่อนหน้าเสด็จพี่และพี่สะใภ้ ทั้งสองมีใจชอบพอกัน หากมิใช่เพราะเสด็จแม่กลั่นแกล้งระหว่างนั้น ตอนนี้พวกเขาก็คงได้แต่งงานกันแต่เนิ่นแล้ว” “บัดนี้ในเมื่อเสด็จแม่ยินยอมตอบตกลงกับพวกเขา เหตุใดถึงมิอาจยินยอมให้ข้าบ้าง? หรือจำต้องให้พวกเรา
ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ตบมือของนาง แล้วดึงนางไปนั่งในห้อง “ตอนนี้ในหัวใจเจ้ากำลังคิดถึงเขา ย่อมรู้สึกว่าสิ่งใดก็ทนได้ทั้งนั้น” “ยายถามเจ้าหน่อยเถิด เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่อยู่ทุกวันล้วนแต่เป็นของดีที่สุด เนื้อผ้าหยาบไปเพียงนิด เจ้าสวมใส่ก็รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว เรื่องอาหารการกินข้าก็จะไม่พูดแล้ว แค่น้ำปรุงกับแป้งที่เจ้าทาก็เป็นของล้ำค่าที่สุดทั้งนั้น” “กลัวก็แต่สกุลเสิ่นคงจะไม่เคยซื้อของเหล่านี้เลย ถึงตอนนั้นหากเจ้าจะแต่งงานกับเขาจริง ๆ ของเหล่านี้เจ้าก็จะไม่มีอีกต่อไป” “สตรีแต่งงานตามสามีไป แม้เจ้าจะเคยเป็นองค์หญิง แต่เมื่อเจ้าแต่งงานก็จะเป็นฮูหยินของบุตรภรรยารองของสกุลเสิ่น ในงานเลี้ยงที่ผ่านมา เจ้าได้สังเกตดูดี ๆ บ้างหรือไม่?” “ในงานใหญ่ ๆ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วม การแต่งงานของสตรีมิใช่เรื่องง่าย ๆ เช่นนั้นมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าคิดถึงสิ่งเหล่านี้หรือไม่?” เดิมทีฉู่มู่เหยาที่มีท่าทีแน่วแน่อย่างถึงที่สุด เมื่อฟังคำพูดเหล่านี้แล้วค่อย ๆ ใจเย็นลง ซ่งรั่วเจินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฮูหยินผู้เฒ่าลู่เป็นผู้มีปัญญาจริง ๆ มีนางพูดกล่อมน่าจะทำให้มู่เหยาสามารถคิดได้ ยิ่งไม
“เจ้าไปนั่งเป็นเพื่อนมู่เหยาที่ตำหนักของนางก่อนนะ” ฉู่จวินถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับซ่งรั่วเจิน ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ได้” ฉู่มู่เหยาเดิมทีก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่ต่ออยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าซ่งรั่วเจินออกไปด้วย ก็ยิ่งดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าทั้งสองออกไปแล้ว ใบหน้าของฮองเฮาก็ขรึมลงและกล่าวว่า “จวินถิง เรื่องนี้ไม่ว่าจะยังไงข้าก็มิยอมตกลงเป็นอันขาด เสิ่นหวยอันผู้นั้นกับมู่เหยาไม่เหมาะสมกันแม้แต่น้อย เจ้าจะทำร้ายน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองไม่ได้นะ!” “เสด็จแม่วางใจเถิด ก่อนหน้านี้รั่วเจินบังเอิญเจอพวกเขาที่ริมถนนพอดี จึงเตือนให้ข้าไปสืบเรื่องเสิ่นหวยอัน” ฉู่จวินถิงกล่าว ฮองเฮาแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “ผลการสืบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?” “เสิ่นหวยอันไม่ใช่คนที่สามารถฝากชีวิตได้อย่างแน่นอน” เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกมา ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าลู่ก็เริ่มขรึมลง “บุรุษผู้นี้ต้องชอบในฐานะของมู่เหยาเป็นแน่ ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกือบจะเกิดอันตรายขึ้นก่อนหน้านี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาด้วย” “ข้ามิเข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเหตุใดมู่เหยาตาบอดถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ ตอนท
ซ่งรั่วเจินไม่คิดว่าฉู่มู่เหยาจะขอโทษนาง นางยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “นี่มีอะไรที่ต้องขอโทษหรือ? หม่อมฉันกับเสด็จพี่ขององค์หญิงมิได้ใส่ใจเรื่องนี้หรอก” “จริง ๆ แล้วข้าเองก็รู้ว่า ถ้าข้าพูดเรื่องนี้กับเสด็จแม่ นางต้องโกรธมากแน่ ๆ จึงคิดว่าจะพูดตอนที่พวกเจ้ากับท่านยายอยู่ด้วย แต่กลับไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้…” ฉู่มู่เหยาถอนหายใจหนักหนึ่งครั้ง “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดเสด็จแม่ถึงเป็นเช่นนี้ตลอด ข้ารู้สึกว่าระหว่างบุตรภรรยาเอกกับบุตรภรรยารองไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย!” ซ่งรั่วเจินย่อมไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องความแตกต่างของบุตรภรรยาเอกกับบุตรภรรยารอง แต่ในสังคมของสมัยโบราณมักเป็นเช่นนี้ ระหว่างบุตรภรรยาเอกกับบุตรภรรยารองนั้นมีความแตกต่างกันมาก ฮองเฮาให้ความสำคัญในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก “องค์หญิง เรื่องความแตกต่างระหว่างบุตรภรรยาเอกกับบุตรภรรยารองนั้นยังมิต้องพูดถึง ความประพฤติของคนต่างหากที่สำคัญที่สุด” “หม่อมฉันจำได้ว่าช่วงเวลาที่องค์หญิงรู้จักกับคุณชายเสิ่นเหมือนจะมินาน ก่อนหน้านี้ก็มิได้รู้จักกันมากมายนัก องค์หญิงแน่ใจว่าเขาดีอย่างที่องค์หญิงคิดจริง ๆ งั
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง