เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่นี่ก็หนาวเข้ากระดูก คงเป็นเพราะตำหนักเย็นแห่งนี้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีแค่เสื้อผ้าเก่า ๆ ผ้าห่มผืนบาง ไม่มีเชื้อเพลิงมาทำให้ตำหนักอบอุ่น หลานเสวี่ยไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะจากความทรงจำของเจ้าของร่างแล้ว นางต้องทนหนาวแบบนี้ทุกวัน
พี่หยางกับเหมยสองคน เก็บเศษหญ้าเศษไม้เอามาตุนไว้เพื่อจุดไฟในยามที่หนาวที่สุด อย่างน้อยก็ช่วยทำให้หลานเสวี่ยนอนหลับสักคืน
ในความทรงจำนั้น เหมือนทุกอย่างจะเป็นเพราะข้ารับใช้ที่ดูแลตำหนักเย็นแห่งนี้ ก็คือคนของพระสนมหลี่ผิน ที่จัดการเรื่องค่าใช้จ่าย เดิมที่ชีวิตไม่ควรลำบากเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อก่อน หลานเสวี่ยเป็นสตรีอันดับหนึ่งในต้าเหยียน
ทำให้บุรุษผู้สูงศักดิ์ในวังต่างหลงใหลในความงามของนาง จะไม่มองเหล่าสตรีนางอื่น ชื่อเสียงของหลานเสวี่ยแห่งจวนเสนาบดี กึกก้องไปทั่วแผ่นดิน ทำให้สตรีสูงศักดิ์หลายคนต่างก็ชิงชังนางเข้ากระดูก
ในยามที่ถูกส่งตัวมาอยู่ตำหนักเย็นแห่งนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข่าวลือน่ากลว และคำสั่งเด็ดขาดของฮ่องเต้ที่ให้อภัยทั่วแผ่นดิน ป่านนี้ชีวิตของหลานเสวี่ยคงจบสิ้นไปนานแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หลงเยี่ยน ที่ชังนางเขากระดูก ยังไม่อาจคืนคำได้เลย
แต่ตอนนี้นางไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอีกอย่างน้อยก็ต้องกินอิ่มนอนอุ่น คิดได้แบบนี้มือเรียวสวยสะท้อนแสงจากตะเกียงอันเล็ก ล้วงเข้าไปในกระเป๋ามิติ ก่อนจะหยิบเอาผ้าห่มผืนหนา ที่เคยแลกเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา
ผ้าห่มพวกนี้ทำมาจากวัสดุชั้นเลิศ แค่สัมผัสยังรับรู้ถึงความอบอุ่น ทันใดนั้นร่างเพรียวบางก็มุดหน้าเข้าไปในผ้าห่ม ไม่สน ท่าที่สวยสง่าของเจ้าของร่างเลยสักนิด นางหงส์สวยสง่า กลายเป็นลูกเป็ดเมื่อเป็นจางเสี่ยวหลง
“อุ่นจังเลย อุ่นดีจัง อากาศหนาว ๆ แบบนี้ยิ่งนอนสบาย ว่าแต่สองคนนั้นคงจะหนาวน่าดู เอาไปให้พวกเขาดีกว่า” ลุกไปทันที
หลานเสวี่ยเดินออกมาพร้อมกับเอาผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างกาย เพราะเธอหนาวมาก ๆ ใครจะอยากออกจากผ้าห่มในตอนนี้กัน เกิดมาไม่เคยหนาวแบบนี้มาก่อนเลย
ทว่าตอนที่นางเปิดประตูออกมาพอดีกับพวกทหารยามสองคนที่ยืนอยู่นอกกำแพง กำลังแง้มประตูจ้องมาที่นาง ภาพที่เห็นคือเงามืดของสตรีที่แปลกตา เนื่องจากแสงสะท้อนจากตะเกียงกลายเป็นเงามืดสีดำ และด้วยความบังเอิญล้มได้พัดมาพอดี ทำให้เส้นผมของหลานเสวี่ยลอยขึ้นไปเหนือศีรษะ ราวกับนางปีศาจในเรื่องเล่าสยองขวัญ
สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนก จนต้องหันหลังให้ประตูบานใหญ่ แม้แต่โซ่ตรวนเส้นหนาเท่าแขนยังทำให้พวกเขาอุ่นใจไม่ได้ ทหารยามสองคนแทบจะหยุดหายใจ ก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง ก็เห็นว่าทุกอย่างหายไปหมดแล้ว แถมตำหนักยังมืดมิดอีกด้วย
ยิ่งตอกย้ำให้พวกเขาหวาดกลัวจนฉี่รดกางเกง
“นี้ เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า” ทหารในชุดเกราะเบา มือจับกระบี่ราวกับผีเข้า
“ใช่แล้ว ทำอย่างไรดี ข้ากลัว”
ทว่ายามนั้นยิ่งมีลมพัดแรงจนพวกเขา ขยับเข้ามาใกล้กัน ใจจริงก็อยากจะวิ่งหนี แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็จะถูกตัดหัวทันที แต่ถ้าอยู่แบบนี้ปิดหูปิดตาเอาไว้ยังมีโอกาสรอด เพราะนี้เป็นวิธีเอาตัวรอดมีทหารยามหลายคนเคยบอก
ในวังหลังแห่งนี้ มีข่าวลือมากมาย แต่ที่พูดกันยาวนานก็กนีไม่พ้นตำหนักเย็นที่ถูกขนานนามว่าตำหนักผีสิ่ง เพราะสตรีนางใดที่ถูกส่งเข้าไปในนั้น ล้วนต้องตายไม่มีใครรอดออกมาแม้แต่คนเดียว ที่นี่จึงเป็นตำหนักที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเหยียบ นับตั้งแต่สร้างขึ้นมา
“คิก ๆ เรื่องพวกนี้ก็มีคนเชื่ออย่างนั้นหรือ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร อยู่ที่นี่มาสามปีแล้วเจออะไรหรือเปล่า”
หลานเสวี่ยหัวเราะคิกคักเมื่อได้ฟังข่าวลือที่พี่หยางพูดให้ฟัง นางเป็นคนยุคใหม่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร แต่ก็แอบคิดอยู่นะเพราะตัวเองก็เป็นวิญญาณเหมือนกัน
(ท่านไม่ใช่วิญญาณ แต่นี่เป็นอดีตชาติของท่านที่เคยผ่านพบมาแล้ว)
หลานเสวี่ยอึ้งไปเลย นี้เป็นตัวตนของนางจริงอย่างนั้นหรือ นางเคยผ่านเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ ใบหน้าสวยสแก้มหน้ามองพื้น นางรู้สึกแปลก ๆ ข้างในหัวใจ
“จริงอย่างที่ท่านว่าเจ้าคะ แต่ว่าคุณหนูจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่งามเลย”
หยางกับเหมย ตกใจครั้งแรกที่เห็นหลานเสวี่ยในผ้าห่มแบบนั้น พวกนางบอกว่าไม่สมควรทำแบบนี้เพราะไม่เหมาะสม แต่สำหรับเธอแล้วแบบนี้แหละดีที่สุด
พวกนางทำให้ความคิดฟุ้งซ่านออกไป จะเป็นอย่างไรก็ช่างนางก็คือนาง “ไม่ต้องห่วงหรอก เราอยู่กันแค่สามคนไม่มีใครกล้าตำหนิ ไม่มีใครทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหายหรอก”
“เจ้าคะ” สองคนจำยอมกับความดื้อรั้นของเจ้านาย ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นกุลสตรีอันดับหนึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ดูตอนนี้เหมือนคนละคนเลย
แต่จะทำอย่างไรได้ กลางคืนหนาวจนไม่สามารถออกจากผ้าห่ม จึงให้ทั้งสองคนทำอาหารโดยที่มีหลานเสวี่ยเป็นคนบอกแต่ละขั้นตอน
“เรียบร้อยแล้วเจ้าคะ คุณหนู” อาหารถูกจัดเตรียมบนโต๊ะอย่างประณีต ฝีมือของสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
หลานเสวี่ยออกจากผ้าห่มก่อนจะเดินข้ามานั่ง แม้จะหนาวแต่ก็ยังดีที่มีไฟจากเตาทำให้อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ทานเถอะ อาหารวันนี้พวกเจ้าคงไม่เบื่อก่อนนะ”
“พูดอะไรเช่นนั้น แค่ได้ทานก็นับว่าบุญปากของบ่าวแล้วเจ้าค่ะ” เหมยพูดพลางยิ้ม
“อาหารเซียนของคุณหนู ใครจะเบื่อได้ลง อาหารที่ดีเช่นนี้แม้แต่ฝ่าบาทยังไม่เคยเสวยเข่นกัน”
“จริงหรือพี่หยาง ปกติคนในวังเขาทานอะไรกันเหรอ”
หยางเล่าทุกอย่างให้ฟัง ว่าคนในวังจะทานแต่อาหารจืด ๆ ไม่ก็มีรสเค็มนิดหน่อยสำหรับชนชั้นสูงในวัง และช่วงนี้เป็นฤดูหนาวแผ่นดินต้าเหยียนถูกภัยแล้งมาหลายปี แม้แต่ในวังยังต้องลดอาการ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่เว้น
“นับว่าพวกเรามีบุญปากจริง ๆ ที่ได้รับใช้คุณหนู แถมยังได้ผ้าห่มผืนหนาทำให้ร่างกายอุ่นดีมาก ๆ แม้แต่สนมขั้นผิน ยังไม่มีเลยเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ต่อไปเราจะมีความสุขกว่านี้เสียอีก แต่ก่อนอื่นต้องออกไปจากตำหนักนี้เสียก่อน”
“แล้วพวกเราจะออกไปจากที่นี้ได้อย่างไร”
หยาง และเหยมต่างสงสัย เพราะคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกสักที
“ข้ามีแผนแล้ว”
เมื่อทานอาหารเสร็จ หลานเสวี่ยก็พาสองคนมาออกกำลังยามค่ำคืน นั้นก็คือการขุดหลุมใต้กำแพงตำหนักเย็นแห่งนี้ เนื่องจากกำแพงข้างที่พวกนางจุดเชื่อมต่อกับสวนหลวง คงไม่มีใครเดินผ่านไปมามากนัก จึงเป็นที่เหมาะสมที่สุด
ขุดมาได้ไม่ถึงชั่วยาม รูกลมขนาดใหญ่ ที่คนสามารถรอดออกไปได้ก็เสร็จเรียบร้อย ราวกับว่าพี่หยาง กับพี่เหมยเป็นยอดมนุษย์เลยทำไมแรงเยอะกันจัง
“เป็นเพราะอาหารของคุณหนู ทำให้พวกเราแข็งแรงไม่เหนื่อยเลย แบบนี้เราก็ปกป้องท่านได้แล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูจะให้บ่าวออกไปเลยหรือไม่ แค่รับสั่งบ่าวจะทำให้สำเร็จ” หยางพูดด้วยความหนักแน่น พร้อมจะพลีชีพ
“ไม่ได้ ตอนนี้หาหินมาปิดไว้ก่อน ข้างนอกก็มีต้นไมบังไว้คงไม่เป็นอะไร และวันนี้พวกเราต้องเตรียมตัวก่อนถึงจะลงมือได้”
หลานเสวี่ยให้ทั้งสองวาดแผนที่ของวัวแบบลวก ๆ เพื่อจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก และเมื่อพร้อมนางจะเป็นคนออกไปเอง
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ข้างนอกอันตราย บ่าวไม่มีทางปล่อยให้คุณหนูออกไปเด็ดขาด” หยางรีบมาคุกเข่าต่อหน้า
ก่อนที่เหมยจะไปขวางประตูไว้ ทำเอาหลานเสวี่ยปวดหัวขึ้นมาเลยกับบ่าวสองคน
“คุณหนู ท่านไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิด”
หลานเสวี่ยจนหนทางคงต้องใช้เรื่องแต่งเจ้าช่วยอีกครั้ง “พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นถึง ลูกศิษย์ของท่านเซียน อีกอย่างข้ามีวิชามากมายที่ใช้หลบหนี เรื่องแค่นี้ไม่เป็นอันตรายหรอก”
พวกนางยังคงไม่เชื่อ หลานเสวี่ยหมดหนทางจึงเจ้าไปในมิติตอนนั้นเอง เกิดแสงสว่างขึ้นก่อนที่นางจะหายไปในอากาศ ทำให้สองคนที่มองอยู่อ้าปากค้างไปเลย ไม่นานหลานเสวี่ยก็ออกมา
“คราวนี้เชื่อหรือยัง”
“บ่าวโง่เขลาเบาปัญญาเองเจ้าค่ะ คุณหนูลงโทษด้วยที่ทำเกินเลย” สองพี่น้องรีบคุกเข่าก้มหน้าลงพื้น
“ลุกขึ้นมาเถอะ แล้วไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าจะไปอาบน้ำในโลกเซียน พวกเจ้าก็อาบน้ำอุ่นเองเถอะ”
สองคนซาบซึ้งจนร้องไห้ออกมา พวกนางได้รับใช้คุณหนูที่ใจดีมาตั้งแต่เด็กแม่ตอนนี้นางจะเปลี่ยนไป แต่ก็ยังเป็นคุณหนูที่เมตตาพวกนางเช่นเดิม
เมื่อสองคนออกไปแล้วหลานเสวี่ยเข้ามาดูสวนผักในมิติ พวกมันเติบโตได้อย่างดีเลย พอเห็นแบบนี้แล้วนางก็ยิ้มหวานออกมา หลังจากที่เก็บเกี่ยวก็ได้คะแนนเพิ่มอีก 80 รวมเป็น 115 จากนั้นก็ปลูกเพิ่มอีกชุดหนึ่ง หลานเสวี่ยเพิ่งคิดออกว่าตัวเองลืมปลูกพริก อาหารอร่อยจะขาดพริกได้อย่างไร นางแบ่งปลูกต้นหอมกับพริกอย่างละครึ่ง
ใช้ 24 คะแนนในการเพาะปลูกผักรอบถัดไป และจะสะสมคะแนนให้ได้ 150 เพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เยอะ แต่ตอนนี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินแล้ว เพราะในกระเป๋ามิติที่สามารถเก็บของพวกนี้ได้หลายตัน ผักสดที่เก็บไว้จะยังคงความสดใหม่อยู่ตลอดเวลา ช่วยได้เยอะเลย
ระบบนี้ใช้เวลาเพาะปลูกประมาณ 6-8 ชม นับว่าเร็วไม่แย่อะไร ถ้าเป็นยุคปัจจุบันเวลาเท่านี้ใครจะคิดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ คงมีข่าวลือว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวแน่ ๆ อย่างกับเกมปลูกผักที่จางเสี่ยวหลงเคยเลน ที่ระบบจะคล้ายกันมาก
พอทำงานเหนื่อย ๆ ก็ต้องอาบน้ำให้สบายตัว ในมิติอุณหภูมิสามารถปรับได้ตามความต้องการเลย มีแสงแดดทุกวัน หรือจะทำให้เป็นยามกลางคืนก็ได้ แต่จะทำให้ผักที่ปลูกเติบโตช้า
“รู้สึกสบายตัวจังเลย ลำธารแห่งนี้กำเนิดมาจากอะไรนะ ถึงช่วยให้ร่างกายสบายอย่างนี้”
หลานเสวี่ยตักน้ำเอามาใส่ในถังใหญ่ ก่อนจะทำการอาบน้ำแบบยุคโบราณให้เป็นเรื่องง่าย นางซื้ออ่างอาบน้ำมาจากร้านค้า ราคา 20 คะแนน ถึงจะแพงไปหน่อยแต่ก็คุ้มใช่ไหม ตอนนี้เหลือ 71 คะแนน
ร่างแบบบางลงไปในอ่าง ก็รู้สึกดีจนไม่อยากลุกขึ้นไปไหนเลย คงเป็นเพราะน้ำวิเศษนี้ที่ช่วยฟื้นฟูให้ร่างกายดีขึ้น แถมยังทำให้ผิวใสดูอ่อนวัยอีกด้วย หลานเสวี่ยเหมือนจะคิดอะไรดี ๆ ได้แล้ว
“ระบบ สามารถเอาน้ำพวกนี้ออกไปใช้ข้างนอกได้หรือเปล่า แล้วสรรพคุณของมันจะยังเหมือนเดิมหรือใช่ไหม”
(สามารถนำออกไปได้ และสรรพคุณยังคงเป็นเช่นเดิม น้ำในลำธารสามารถรักษาความผิดปกติที่มีต่อร่างกายได้ทุกอย่าง)
หลานเสวี่ยตาเป็นประกาย ถ้าเป็นอย่างที่ระบบบอกมา น้ำในลำธารก็ไม่ต่างจากยาครอบจักรวาลไม่ใช่หรือ
“สามารถรักษาโรคภัยได้หรือเปล่า เข่นโรคที่รักษายาก ๆ”
(สามารถรักษาได้ทุกโรค)
“ดีมาก ต่อไปฉันจะได้เป็นหมอหญิงแห่งต้าเหยียนแล้ว จะเป็นยังไงนะ”
ใบหน้าสวยยิ้มไม่ยอมหุบเมื่อนึกถึงเงินกองโตกับชีวิตที่สุขสบาย ใครจะคาดฝันว่าจะตายเพราะดูซีรีส์มากเกินไป แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี อย่างเช่นระบบที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง
เมื่ออาบน้ำด้วยครีมอาบน้ำราคาแพงเรียบร้อย ร่างอรชรหอมฟุ้งด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ ผิวพรรณผุดผ่องมากกว่าเดิม แถมยังอ่อนนุ่มอย่างกับผิวทารกแรกเกิด หลานเสวี่ยยิ้มอย่างพอใจ แล้วรีบสวมเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วค่อยออกมานอนขดในผ้าห่ม
“อุ่นสบายจัง”
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ