เช้ามืดวันนี้ในยามที่ดวงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ก็มีขันทีวัยห้าสิบกว่าเดินเข้ามาในตำหนักอันกง ร่างอ้วนท้วนแต่งตัวเรียบร้อยใบหน้าเหี่ยวย่น ดูเป็นระเบียบในแบบขันที่ วันนี้เป็นวันที่ฮ่องเต้จะทรงประชุมเข้า (เช้าหลวง) เมื่อมาถึงห้องบรรทมขององค์ฮ่องเต้ เขาก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ~” เสียงนอบน้อม
“ข้าพร้อมแล้ว ว่าแต่วันนี้ยังเป็นเรื่องเดิมอีกหรือเปล่า ทำไมพวกขุนนางของข้า ถึงไร้ความสามารถเช่นนี้นะ” พูดพลางลุกขึ้นจากเตียงนอน
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันที่ผู้ใหญ่ไม่มีอะไรจะแย้ง ก่อนจะยกชามาถวายให้
“หลังจากจบประชุม ให้เรียกเจ้ากรมคลังมาหาข้าด้้วย มีเรื่องจะสั่งนิดหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลงเยี่ยนยืนสงบอยู่ท่ามกลางตำหนักใหญ่ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนร่างสูงสง่า ดวงตาคมเข้มจ้องมองออกไปอย่างเยือกเย็น เต็มไปด้วยความสุขุมและอำนาจที่ยากจะปฏิเสธ อาภรณ์สีดำปักลายมังกรทองทิ้งตัวลงตามสรีระสูงเพรียวของพระองค์ ราวกับผืนผ้าที่ถักทอขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับพระวรกายอย่างสมบูรณ์แบบ
พระพักตร์เรียบนิ่ง ใบหน้าคมสันโดดเด่น ลายเส้นชัดเจนจนน่าหลงใหล คิ้วหนาได้รูปขับให้ดวงตาเป็นประกายราวกับทะเลลึก เผยให้เห็นเพียงแววความสุขุมลึกล้ำที่ยากจะหยั่งถึง ริมฝีปากหยักบางเฉียบ ดูสง่างามแม้ในยามที่ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด แต่ทุกครั้งที่พระองค์ตรัส เสียงทุ้มต่ำและหนักแน่น กลับสร้างความสั่นสะเทือนไปถึงจิตใจของผู้คนรอบข้าง
การเคลื่อนไหวของพระองค์แฝงไปด้วยความมั่นใจ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยพลังที่ข่มทุกสายตา แต่กลับไม่ดูรีบร้อนหรือเร่งรัด หลงเยี่ยนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มาก เพียงแค่การปรากฏตัวของพระองค์ก็เพียงพอที่จะดึงดูดทุกความสนใจและทำให้ผู้คนเผลอตัวจ้องมองอย่างเงียบงัน
แสงแรกของรุ่งอรุณเริ่มเผยผ่านขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน ส่องประกายเหนือกำแพงพระราชวังอันยิ่งใหญ่ ตำหนักเฉียนชิงคล้ายกับลอยอยู่ในหมอกขาว ราวกับสรวงสวรรค์แห่งจักรพรรดิ
เสียงกลองเช้า ดังก้องไปทั่วพระราชวัง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในชุดคลุมขุนนางสีดำเข้มยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ตรงลานกว้างเบื้องหน้าตำหนัก พวกเขาเงียบสงัด นิ่งสง่า รอคอยการมาถึงขององค์ฮ่องเต้หลงเยี่ยน ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว~” ฉ่างกงกง ขันทีคนสนิทของ หลงเยี่ยนร้องเสียงยาว
บานประตูตำหนักเปิดออกอย่างช้า ๆ ร่างสง่างามขององค์จักรพรรดิก้าวออกมา พระพักตร์ทรงอำนาจส่องประกายความสุขุมเยือกเย็น พระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ทองสูงตระหง่าน
“ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้อายุยืนนาน หมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เหล่าขุนนางประสานเสียงพร้อมกัน น้อมถวายพระพร
เมื่อพระองค์หันมาทางเหล่าขุนนาง สายตาของทุกคนเหมือนต้องมนต์ พระพักตร์ของเขาไม่แสดงความโกรธหรือยินดีใด ๆ แต่ทุกอย่างในท่าทีบ่งบอกถึงอำนาจที่แฝงเร้นอยู่ภายในอย่างน่าเกรงขาม
“วันนี้มีเรื่องใดบ้างที่ต้องรายงาน” ฮ่องเต้หลงเยี่ยนตรัส น้ำเสียงทรงพลังดังก้องไปทั่วลานประชุม
ขุนนางอาวุโสก้าวออกมาด้วยความระมัดระวัง ค้อมศีรษะต่ำก่อนจะกล่าวรายงานด้วยความนอบน้อม เสียงลมพัดเบา ๆ ผสมกับเสียงกราบบังคมทูล ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“ข้าน้อยมีเรื่องรายงานพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมคลังก้าวออกมาจากแถว
“มีเรื่องอันใดก็พูดมา” หลงเยี่ยนพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย แต่กลับทำให้ท้องพระโรงเงียบสงัด
ชายชราวัย เจ็ดสิบกว่าตัวสั่นเทา เพราะครั้งนี้ก็เป็นปัญหาเดิมที่แก้ไขไม่ได้ ตัวเขาอยู่กรมพระคลังมาเกือบยี่สิบปี ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิองค์ก่อน ถึงจะเปลี่ยนการปกครอง แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ยังเห็นถึงฝีมือของตน และให้ดำรงตำแหน่งเช่นเดิม
แต่บัดนี้ภัยแล้งเข้ามากะทันหัน จนไม่อาจรับมือได้ อีกอย่างต้าเหยียนก็สูญเสียเสบียงจากการทำศึกมาหลายปี ท้องพระคลังจึงแทบจะไม่เหลืออะไร ชายชรานามว่า จางอี้จง คุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์อย่างละอายใจ
“กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจแก้ไขเรื่องภัยแล้งให้ทันท่วงที ขอฝ่าบาททรงลงโทษด้วย” ก้มหน้าเทียบพื้น
“ภัยแล้งทำร้ายต้าเหยีนนเรามาหลายปี ปวงประชาเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่ขุนนางของข้ายังแก้ไขไม่ได้ เป็นเพราะเหตุอันใด ไหน มีใครจะชี้แจงเรื่องนี้”
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เงียบกริบไม่กล้าส่งเสียง ได้แต่หายใจเบา ๆ ไม่ทั่วท้อง ทว่ายังมีขุนนางผู้หนึ่งที่กล้าเดินออกมาด้วยความมั่นใจ ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าโค้งคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะกราบทูลตามที่ตนคิด
“กระหม่อมมีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางชั้นปลายแถวผู้นี้เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่นาน จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าใดนัก
“ว่ามาเรารอฟังอยู่”
“ข้าน้อยคิดว่า เหตุที่ภัยแล้งแก้ไขไม่หาย และยังสร้างความเสียหายเช่นนี้ เป็นเพราะวังหลวงมีตัวกาลกิณีพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่ายิ่งทำให้ใบหน้าของหลงเยี่ยนมืดมนเข้าไปอีก เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยเชื่อเลยสักนิด คนทำไม่ได้โทษผีเหรอ ไร้สาระสิ้นดี ถึงกระนั้นเขาก็ยังใจดีถามต่อ เพราะอยากรู้ว่าขุนนางผู้นี้เป็นผู้ใดส่งมา ถึงกล้าหาญเช่นนี้
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้ใดกันที่เป็นตัวกาลกิณี หรือเป็นข้า”
“มิกล้า ๆ” ก้มหน้าเทียบพื้น
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าบอกชื่อมา ข้าจะให้คนไปเอาตัวมาที่นี่บัดเดี๋ยวนี้”
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงโล่งใจนึกว่าเรื่องราวจะคลี่คลาย แต่หารู้ไม่ว่าพายุกำลังจะมาเสียแล้ว หลงเยี่ยนยิ้มมุมปาก
“กระหม่อมรู้ตัวคนผู้นี้แล้วหลังจากที่กระหม่อมได้ไปดูหมอมา นางก็คือพระชายาหลานเสวี่ยแห่งตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ”
“จริงหรือเนี่ย ข้าก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง”
“จริงด้วยเมื่อวันก่อนก็มีทหารไปเจอเข้า จากนั้นก็จับไข้ตอนนี้ยังไม่หายเลย”
“ไม่น่าละ ภัยแล้งถึงหนักหนาเช่นนี้”
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างพากันตกใจ เพราะข่าวลือเรื่องตำหนักเย็นถูกเล่าปากต่อปาก จนกลายเป็นข่าวลือน่ากลัวไปแล้ว ยิ่งมีคนพูดถึงก็ยิ่งน่าเชื่อถือเข้าไปอีก
แต่ทว่าฮ่องเต้ผู้สง่าใบหน้านิ่งไม่ออกความเห็น เพราะยังคงจดจำหญิงนางนั้นได้เป็นอย่างดี คนที่เขาชังขี้หน้าเสียยิ่งกว่าอะไร เหตุการณ์นั้นยังตราตรึงใจไม่เคยลบเลือน คิดถึงคราใดยิ่งเจ็บเข้ากระดูก
“เป็นอย่างนี้เองหรือ ถ้าเช่นนั้นควรทำอย่างไรกับพระชายาดี” แสร้งถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หลงเยี่ยนอยากจะลองยืมมีดฆ่าคนเสียบ้าง
“โทษของตัวกาลกิณีคือประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้น้อยพูดอย่างไม่ลังเล พร้อมกับรู้สึกดีใจยิ่งนัก ในที่สุดฝ่าบาทก็ให้ความสนใจตนมากขนาดนี้ อนาคตต้องงดงามเป็นแน่
“เจ้ากรมพิธีการ คิดเห็นเช่นไร” หลงเยี่ยนตรัสถาม ขุนนางของตน
เจ้ากรมพิธีการโค้งคำนับ ก่อนจะพูด “ข้าน้อยคิดว่าเรื่องนี้ควร ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชายาได้รับการอภัยโทษตามพระบัญชา ถ้าหากทำเช่นนี้ชื่อเสีย ชื่อเสียงของพระองค์จะมัวหมองพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทกระหม่อมขอกราบทูล” ขุนนางผู้น้อยคนเดินพูดขึ้น
“ว่ามา”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ให้พระชายาเข้าพิธีล้างบาป กระหม่อมคิดว่าเหล่าราษฎร ต้องยินดีอย่างยิ่งที่รู้ว่าตัวกาลกิณีถูกสวรรค์ชำระล้างเช่นนี้”
การล้างบาปพูดออกจะน่าฟัง แต่ความจริงแล้วผู้ที่เข้าพิธีจะถูกพระหลายรูปกักขังเป็นเวลาหลายวัน พอออกมาคนผู้นั้นที่เข้าไปล้วนแต่สติไม่สมประกอบทุกคน พิธีล้างบาปเช่นนี้ก็เหมือนกับทำให้คนตายทั้งเป็น
“ฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าควร..”
“พอได้แล้ว” หลงเยี่ยนรีบขัด เพราะไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ในเมื่อโอกาสมาถึงเช่นนี้เขาจะปล่อยให้หลุดมือได้อย่างไร หลังจากกำจัดนางแล้วค่อยกำจัดขุนนางน้อยผู้นี้ เรื่องทั้งหมดควรเป็นเช่นนี้
ขุนนางฝ่ายขวาที่ยังเห็นใจหลานเสวี่ยต่างพากันขอร้อง แต่ก็ถูกขัดเสียก่อน เหล่าขุนนางย้อนนึกถึงเมื่อครั้งที่บิดาของนางเคยช่วยเหลือก็อดสงสารไม่ได้ แต่ด้วยความยึดมั่น และจงรักภักดีของเสนาบดีฝ่ายขวาหลานจิ้งฟง ที่ยอมตายเพื่อคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อน
“ฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่า ยามนี้บ้านเมืองกระสับกระส่าย ราษฎรหวาดกลัว ทั้งภัยแล้วและภัยที่มองไม่เห็น หากตอนนี้ช่วยทำให้ราษฎรอุ่นใจคงจะเป็นเรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกราบทูลเมื่อเห็นท่าทีของหลงเยี่ยน ที่เหมือนจะเปลี่ยนไปตามความคิดของขุนนางผู้น้อย อีกอย่างวิธีนี้ก็ช่วยได้เยอะ ไม่ว่าจะใครก็ตามที่เป็นกาลกิณี เหล่าราษฎร ก็อุ่นใจ และช่วยให้วิกฤตครั้งนี้ผ่านพ้นไป
หลงเยี่ยนยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้านิ่งสงบ มือหนาลูบหัวมังกรทองบนบัลลังก์ พลางจ้องมองไปที่ขุนนางผู้น้อยก่อนจะตรัสว่า
“สั่งกรมพิธีการเตรียมทำพิธีล้างบาปในอีกสามวัน เชิญพระชายาออกจากตำหนักเย็นเพื่อทำพิธี จากนั้นก็รอดูว่าภัยแล้งนี้จะจบลงจริงหรือไม่ ถ้าหากยังอยู่ก็เอาขุนนางผู้นี้ไปตัดหัวเสียบประจาน เลิกประชุมได้”
สิ้นคำนั้นขุนนางผู้น้อยเป็นลมลงกับพื้นราวกับว่าชีวิตของเขาถูกยมบาลเอาไปแล้ว บัดนี้คนในท้องพระโรงถึงรู้ว่านี้เป็นความประสงค์ของพระองค์เอง แต่ใช้ขุนนางผู้นี้เป็นแพะรับบาป
ตำหนักเย็น...
เมื่อคืนหลับสบายจนทำให้หลานเสวี่ยตื่นสาย ปกตินางเป็นคนนอนตื่นสายอยู่แล้วด้วย ยิ่งอากาศหนาวแบบนี้ก็ยิ่งอยากนอนเข้าไปอีก
พอออกมายืดเส้นยืดสายข้างนอก ก็ไม่เห็นพวกนางสองคนแล้ว สงสัยคงออกไปข้างนอก นางจึงนั่งดื่มชาชมนกชมไม้ไปพลาง ๆ ก่อนที่จะเห็นสองคนรีบวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“พวกเจ้าทำไม่วิ่งเร็วแบบนี้ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
“เกิดเรื่องแล้ว คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่แล้วท่านรีบหนีไปเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันการ”
“ตอนนี้ท่านรีบหนีไปเถิด อย่าห่วงพวกเราเลย”
พวกนางพูดจนไม่ได้หายใจ ร่างกายของสองคนเหนื่อยหอบจากการวิ่ง ก่อนที่หลานเสวี่ยจะยกน้ำชามาให้ดื่มแก้เหนื่อย
“ดื่มชาก่อน แล้วค่อย ๆ พูดมีเรื่องอันใดทำไมต้องหนี พูดมาอย่างละเอียด”
“บ่าวจะเล่าเองเจ้าค่ะ เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้...”
หลานเสวี่ยหัวเรื่องราวทั้งหมดที่พวกนางเล่าให้ฟัง ก็รู้สึกร้อนรุ่มในใจ เห็นชัด ๆ เลยว่าฮ่องเต้บ้านั่น อยากกำจัดนางจริง ๆ
“ทำไมถึงเชื่อเรื่องแบบนี้กันนะ พวกเจ้าคิดว่าข้าเหมือนเป็นตัวกาลกิณีอย่างนั้นหรือ ดูข้าสิ”
“ท่านเป็นเหมือน เซียนสาวที่อยู่สวงสวรรค์เจ้าค่ะ ไม่มีทางเป็นตัวกาลกิณีแน่ ๆ” เหมยพูดตอบ
“เรื่องนี้พระสนมหลี่ผินต้องมีส่วนแน่นอนเจ้าค่ะ เพราะขุนนางผู้นั้นเป็นคนของนาง”
เรื่องนี้ทำเอาหลานเสวี่ยหัวเสียไม่น้อย ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี แต่ก็ดันมาเจออุปสรรคเสียได้ นางจะทำอย่างไรดีให้รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้
นางครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากเรื่องนี้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นคนบ้าเสียสติไม่เอาด้วยหรอกนะ ถ้าจะหนีออกไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้แน่ ทางเดียวที่จะทำได้คือขอให้ระบบช่วยเหลือแล้ว
“ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าไปทำ เอาจดหมายนี้ไปให้ฝ่าบาท ถ้าส่งถึง พระหัตถ์ของพระองค์พวกเราก็มีโอกาสรอด”
หลานเสวี่ยยื่นจดหมายที่เขียนด้วยผ้าเก่า ๆ เนื้อหาข้างในสำคัญยิ่ง
“บ่าวจะทำให้ได้เจ้าคะ”
เหมยรีบรับจดหมาย แล้ววิ่งออกไปด้วยความเร่งรีบ นางไม่สนใจอันตรายใด ๆ ขอแค่ให้จดหมายถึง พระหัตถ์ของฝ่าบาท ความหวังทั้งหมดของหลานเสวี่ยขึ้นอยู่กับจดหมายฉบับนั้น
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ