ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบทองขึ้นมา คีบเอาแท่งมันฝรั่งทอดเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวเบา ๆ ตามแบบของผู้ดี แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉยมาก แล้วเปลี่ยนเป็นมันฝรั่งเผาที่ยังมีอายร้อนลอยออกมาอยู่ คำเล็กถูกเอาเข้าปากหนาแต่สีหน้ายังเป็นเช่นเดิม สุดท้ายมันฝรั่งบด ก็ยังเป็นเช่นเดิม
“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
“ก็ดี นับว่ารสชาติใช้ได้เลย อีกอย่างคุณค่าทางอาหารที่เจ้าบอกก็คงไม่เกินจริง เพราะข้าชิมเท่านี้ยังรู้สึกอิ่ม และมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจ”
หลานเสวี่ยหายใจได้เต็มปอด แม้เขาจะไม่แสดงท่าทางออกมาแต่ก็คงอร่อยอยู่แล้ว
“พวกท่านก็ลองชิมดู อีกประเดี๋ยวค่อยมาหาลือกันต่อ ข้าจะคุยเรื่องสำคัญกับนางกำนัลจางเสียหน่อย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ทั้งสองคนรีบยกอาหารออกไปข้างนอก เหลือแต่หลานเสวี่ยกับฮ่องเต้ ทำให้บรรยากาศแตกต่างจากเมื่อก่อนมากเลย นางรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้เมื่ออยู่กับเขาสองคน
“ว่ามาเถอะ เรื่องเสบียงติดต่อได้เมื่อไหร่” น้ำเสียงนิ่ง ทำให้คนฟังรู้สึกถึงอารมณ์ และความรู้สึกของเขาได้อย่างดี
“หม่อมฉันได้รับการตอบกลับแล้วเพคะ ท่านเซียนผู้นั้นส่งจดหมายด้วยผีเสื้อวิญญาณ หม่อมฉันจึงได้รับมาแล้ว”
“รวดเร็วยิ่งนัก หากไม่รู้ว่าเจ้าเป็นนางกำนัล ข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นผู้อื่นไปแล้ว”
“ผู้ใดหรือ?”
หลานเสวี่ยหลุดปากถาม เพราะเขามองเธอด้วยความสงสัยเต็มใบหน้า จนร่างแบบบางในชุดนางกำนัลต้องแอบกลัวว่าเขาจะรู้เรื่องอื่นอีก
“พูดต่อเถิด ข้าอยากฟังรายละเอียด”
“นอกจากจะได้รับจดหมายแล้ว หม่อมฉันยังได้รับถุงวิเศษที่บรรจุเสบียงเอาไว้ข้างใน ท่านเซียนได้บอกไว้ว่าท่านมาพักผ่อนในโลกมนุษย์ แต่ไม่สะดวกให้พบจึงอยากให้หม่อมฉันเป็นตัวกลาง และทันทีที่ได้รับเงินใส่ถุงตามที่ตกลงถุงวิเศษก็จะหายไปทันที”
“รอบคอบดีสมแล้วที่เป็นถึงเซียน เช่นนั้นแล้วราคาตกลงที่เท่าไหร่รึ?”
หลานเสวี่ยยิ้มในใจ ในที่สุดนางก็สามารถขายของที่มีให้กับฮ่องเต้โดยอ้างชื่อท่านเซียน และด้วยชื่อนี้ นางก็ไม่กลัวว่าชีวิตจะตกอยู่ในอันตรายถ้าหากออกจากวังไป แถมยังได้กอบโกยเงินทองมากมายจากเขา จากที่เคยถามหยาง นางบอกว่า ข้าวในปัจจุบันหกสิบชั่ง เท่ากับ 40 ตำลึง นางจึงขายแพงไปอีก เพราะในพระคลังไม่มีเสบียง แต่มีเงินทองของมีค่าเยอะ
เท่านี้หลานเสวี่ยผู้นี้ก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐี ออกไปเปิดร้านนอกวังได้อย่างสบายใจ ส่วนฮ่องเต้ใจดำ จะต้องจำใจยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขแน่นอน มีเงินเยอะจนเลี้ยงสนมหลายคน แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกมั้ง
“60 ตำลึงทองต่อ 60 ชั่ง (เทียบเท่า 1 ตัน)”
“ราคานี้ก็นับว่าแพงเอาการ แต่ในเมื่อเป็นท่านเซียนข้าก็เต็มใจรับทั้งหมด เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่า” ฮ่องเต้หนุ่มครุ่นคิด ก่อนจะหันมามองหลานเสวี่ยที่แอบดีใจที่ตกลงราคาได้ด้วยดี
“ว่าแต่ในถุงวิเศษ มีเท่าใดหรือข้าจะรับไว้ทั้งหมด”
“ตอนนี้มี 6000 ชั่ง เพคะ”
“มากขนาดนี้คงทำให้พ้นภัยแล้งได้ ดี! ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม เอาล่ะเดี๋ยวรอให้เจ้ากรมทั้งสองชิมอาหารของเจ้าเสร็จค่อยจัดเตรียมเรื่องสถานที่ ส่วนเจ้าก็ลงนามสัญญาซื้อขายตรงนี้เถิด เพื่อใช้ยืนยันการรับเงินจากกรมพระคลัง”
“เพคะฝ่าบาท”
นางรีบเดินก้มหน้าไปนั่งต่อหน้าเขา บนโต๊ะมีกระดาษหนังสืออยู่แผนหนึ่ง ในยุคนี้กระดาษถือเป็นของล้ำค่ามาก นางก็เพิ่งเคยพบ พอมาถึงก็แค่ใช้นิ้วทับแผนหมึกสีแดง แล้วประทับลงในใบสัญญา เท่านี้ก็เรียบร้อย รู้สึกมีความสุขขึ้นมาเลย
“เจ้าคงได้ค่าเหนื่อยไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ ถึงได้ยิ้มหน้าบานเช่นนี้”
“มิกล้าเพคะ หม่อมฉันได้รับเพียงเล็กน้อยตามความเมตตาของท่านเซียน แต่ก็ดีใจที่หาเสบียงให้ฝ่าบาทได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วเพคะ”
“รอให้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดี ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างดี ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
“เพคะ”
หลานเสวี่ยก้มหน้ามองโต๊ะไม่กล้าสบตาเขา กลัวจะเก็บความดีใจไว้ไม่มิด แถมยังรู้สึกประหม่าอีกด้วย เขาเอาแต่จ้องมอง ด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“กลิ่นหอมนี้คงมาจากดินแดนเซียนกระมัง ได้ข่าวจากฉ่างกงกงว่าเจ้าเป็นคนนำเข้ามา”
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว...”
“ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก แต่วังหลวงก็มีกฎของวังหลวงการค้าขายเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เห็นแกที่เจ้าทำความดีความชอบ ข้าจะละเว้นสักครั้ง”
คนผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก รู้ไปทุกเรื่องถ้าเช่นนั้นเรื่องที่เธอปลอมเป็นคนของตำหนักไทเฮาละ เขาจับได้หรือเปล่า
(นางกำนัลจาง มีตัวตนอยู่จริงในตำหนักไทเฮา เมื่อสามปีก่อนนางกลับบ้านแล้วถูกโจรดักปล้นจึงเสียชีวิตไป แต่ไม่มีใครรู้ทุกคนคิดว่านางดูแลมารดาที่ป่วย จนมารดานางเสียเมื่อปีก่อน)
ระบบมาได้เวลาพอดี ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เกือบไปแล้ว แต่แทนที่จะตกใจว่าความลับจะหลุด นางยิ่งตกใจกว่าอีกเมื่อดวงตาคมของฮ่องเต้เอาแต่มองนางอย่างนั้น ใบหน้าคมเข้มคิ้วหนา ดวงตายาวที่มองพร้อมจะกระชากตัวเธอได้ทุกเมื่อ ริมฝีปากหนาแม้จะนิ่งสงบ แต่ยามที่มองใบหน้านั้นทำให้หลานเสวี่ยแอบใจเต้นไม่รู้ตัว ดาเมจของฮ่องเต้อันตรายดั่งคำร่ำลือ นี่คงเป็นเสน่ห์ของละครหรือซีรี่ส์ที่ตัวเองเป็นฮ่องเต้สินะ
“ทรงมีอะไรติดใบหน้าหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“เปล่าหรอก เอาหนังสือสัญญาไปเถิดเจ้ากรมทั้งสองมาแล้ว”
“เพคะ”
หลานเสวี่ยกลับไปยืนที่เดิม พร้อมกับเจ้ากรมที่ยิ้มแก้มปริเข้ามาโค้งคำนับ
“เป็นเช่นไรบ้าง รสชาติดีเยี่ยม ดั่งคำกล่าวหรือไม่”
“เชิญท่านเจ้ากรมพูดเถิด”
“ตามความเห็นของกระหม่อม มันฝรั่งนี้ดีมาก รสชาติหวานมัน รู้สึกถึงความอร่อยในตัวหาได้ยากยิ่ง แถมให้ความอิ่มเยอะมาก ที่สำคัญทำมีร่างกายแข็งแรงขึ้นทันตา แค่เสวยมันฝรั่งหัวเดียวก็สามารถอยู่ได้ถึงหนึ่งวัน ถ้าเอาไปขายราคาคงไม่ต่ำกว่า 100 ตำลึงทองต่อ 60 ชั่งเป็นแน่”
“ร้อยตำลึงเลยหรือ”
หลานเสวี่ยรีบพูดขึ้น นางตกใจมากที่ราคาสูงกว่าที่คิดไว้ ก่อนจะดูกระดาษในมือที่ตกลงซื้อขายสำเร็จแล้ว ทำไมนางรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบอยู่เลย
“นี้เป็นแค่ราคาทั่วไปตอนที่ไม่มีภัยแล้ง ถ้าเป็นราคาตอนนี้คงประมาณ 120-130 ตำลึงทองแน่นอน”
“เอาละข้าตกลงกับนางกำนัลจางแล้ว ที่เหลือก็ฝากท่านสองคนจัดการเรื่องที่เก็บสำหรับ 6000 ชั่ง ไว้ด้วย และเจ้ากรมโยธาทำหน้าที่ขนเสบียงไปแจกจ่ายให้ทั่วถึง”
“น้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท”
ทั้งสองคนโค้งคำนับก่อนจะเดินออกไป หลานเสวี่ยเอาแต่มองกระดาษพร้อมด่าเขาในใจ ร้ายกาจนักปกปิดราคาที่แท้จริงเอาไว้ เล่นละครเก่งจริง คนแบบนี้น่ากลัวกว่าที่คิด มากด้วยเล่ห์กล นางต้องระวังเขาให้มากกว่านี้ หลงคิดว่าตัวเองจะหลอกเขาได้แล้ว ไม่น่าเลย
“ท่านเซียนคงเมตตาให้ราคาที่ต่ำกว่าตลาดเช่นนี้ นับว่าเป็นวาสนาที่ได้ทำการค้าด้วยกัน เจ้ามีโอกาสก็ช่วยกล่าวขอบคุณแทนข้าด้วย”
“เพคะฝ่าบาท หากไม่มีอันใดจะรับสั่งแล้วหม่อมฉันขอทูลลา”
“ไปเถอะ”
หลงเยี่ยนยิ้มมุมปาก เขาก็ไม่คิดว่าจะได้เสบียงราคาถูกเช่นนี้เพราะจ่ายไปไม่ถึง หนึ่งส่วนของงบประมาณเสบียงทั้งหมดด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสงสัยในตัวของ จางเสี่ยวหลงผู้นี้มากขึ้นอีก
หลังจากออกมานางก็เดินตามเจ้ากรมทั้งสองไปที่กรมพระคลัง ตอนนี้ก็เริ่มจะมืดแล้วจึงรีบไปรีบมา จะได้พักผ่อน ไม่รู้ว่าในมิติเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ไหนจะสองคนอีกนางทิ้งอาหารไว้เยอะอยู่ แต่ก็กลัวพวกนางเป็นห่วง แม้จะบอกไปแล้วว่าไม่ต้องห่วงก็ตาม
“คารวะไทเฮา”
หลานเสวี่ยกับเจ้ากรมทั้งสองคนโค้งคำนับ ไทเฮา ที่เดินมากับหลี่ผิน รวมถึงนางสนมคนอื่น ๆ ซึ่งหลานเสวี่ยคุ้นหน้าดีก็คงเป็นพระสนมหานผิน แม้จะไม่เคยเจอกันตรง ๆ ก็ตาม
“ท่านทั้งสองตามสบายเถิด ข้าแค่เดินไปงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อปรึกษาหารือเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องทุกอย่างควรจบเท่านั้น แล้วเจ้ากรมสองคนหลีกทางให้ขบวนของไทเฮา แต่ทว่าสายตาของหลี่ผินกับนางสนมลูกสมุนของนางไม่ยอมอยู่เฉย
“นางกำนัลจาง คนเดียวกับนางกำนัลที่อยู่ตำหนักไทเฮาไม่ใช่หรือ”
หลี่ผินพูดขึ้น ทำให้ไทเฮาที่กำลังจะเดินเจ้าไปก็รีบหยุดเท้าหันมาสนใจใบหน้าสวยของหลานเสวี่ย
“เป็นเจ้าเองหรือ เหตุใดกลับมาแล้วไม่บอกกล่าวข้าหน่อย แล้วไปอยู่ตำหนักอันกงเมื่อใดกัน”
“ที่นี่อากาศหนาว หม่อมฉันว่าเราเขาไปคุยกันที่ตำหนักดีกว่าเพคะ” หันไปพูดเสียงหวานกับไทเฮา ก่อนจะหันมามองหลานเสวี่ย
“เจ้าก็รีบตามาเถอะอย่าปล่อยให้ไทเฮาต้องรอนาน”
“แต่ว่า..”
“กล้าขัดคำสั่งหรือ ต่อหน้าไทเฮายังทำตัวเช่นนี้ หรือคิดว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานจึงคิดจะทำอะไรก็ได้”
“หมายความว่าอย่างไร สนมหลี่”
ไทเฮายิ่งสนใจกว่าเดิม แม้จะใจดีแต่นางก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่ และหลี่ผินก็รู้ดีว่าคืออะไร จึงใช้มันมาจัดการกับหลานเสวี่ย
“เป็นแค่ข่าวลือเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าพูดส่งเดช”
“พูดมาเถอะ”
หลี่ผินกระซิบข้างหูของไทเฮาเพราะไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ด้วย ทว่าพอนางได้ฟังก็มีสีหน้าโกรธกริ้วขึ้นมา ใบหน้าของสตรีผู้ใจดีหายไปทันที ทำเอาหลานเสวี่ยแอบกลัวอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าสนมหลี่จะพูดอะไรไปบ้าง
“เด็ก ๆ พาตัวนางกำนัลจางไปที่ตำหนักไทเฮา ”
หลี่ผินออกคำสั่งแทน ก่อนจะมีนางกำนัลของตำหนักไทเฮา เข้ามาจับตัวหลานเสวี่ยเอาไว้
“โปรดเย็นพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลจางต้องไปกับกระหม่อมตามรับสั่งของฝ่าบาทไม่อาจไปกับไทเฮาได้ในตอนนี้”
เจ้ากรมกวน รีบก้มหน้ากล่าวชี้แจงทันที ทั้งที่ตัวของเขาสั่นไปหมดแล้ว อีกคนก็ฝ่าบาทอีกคนก็ไทเฮา เขาจะไปทางไหนดี
“ธุระอันใดกันถึงไม่อาจรบกวนได้ หรือนางกำนัลผู้นี้ ข้าไม่อาจแตะต้องได้อย่างนั้นหรือ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นความลับไม่สามารถเปิดเผยได้โปรดเห็นใจกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ชายชราโค้งคำนับอยู่อย่างนั้นคงปวดเอวไปหมดแล้วมั้ง หลานเสวี่ยก็สงสารอยู่หรอก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่อยากยุ่งด้วยกับคนพวกนี้ อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะไม่ต้องทนเห็นนางแล้ว
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะจำวันนี้ให้ขึ้นใจ”
พูดจบนางก็เดินผ่านไป แต่ท่าทางคงจะไม่พอใจมากที่ทำอะไรหลานเสวี่ยไม่ได้
“ไปต่อเถอะ ใกล้จะมืดแล้ว”
หลานเสวี่ยรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอีกแล้ว กลัวพวกนั้นจะทำอะไรไม่เข้าท่าอีก โดยเฉพาะหลี่ผิน ที่ร้ายยิ่งกว่าใคร ไหนจะไทเฮาที่อำนาจบาตรใหญ่ในวังหลัง มีแต่ปัญหาวิ่งเข้าใส่จริง ๆ
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ