หลี่อวิ้นกุยแอบมองดวงหน้าของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้เขารู้ตัวแล้วว่าตนเองคิดเช่นไรกับนาง แต่ก็ดูเหมือนว่า นางหาได้คิดเช่นเดียวกันกับเขาไม่ ในสายตาของนาง...เขาก็คงไม่ต่างอันใดกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านเข้ามาให้นางช่วยรักษา แล้วอีกไม่นานก็เดินหายออกไปจากชีวิตของนางเท่านั้น
หลี่อวิ้นกุยหลุบตาลงไปมองเศษสมุนไพรบนพื้น ก่อนจะคิดไปถึงทุกเหตุการณ์ และทุก ๆ การกระทำที่ผ่านมาระหว่างเขากับเมิ่งเจียงซิน แล้วเมื่อเขานึกไปถึงรอยยิ้ม คำพูด การดูแลเอาใจใส่ ความรู้สึกอบอุ่น และสัมผัสอันอ่อนโยนที่เขาได้รับมันมาจากนาง ถึงแม้ว่ายามนี้เขาจะได้เป็นเพียงแค่ผู้ป่วยคนหนึ่งในสายตาของนาง แต่เขาก็เป็นบุรุษคนแรกที่ได้ใกล้ชิดกับนางขนาดนี้มิใช่หรือ?
แต่ทว่า...พอหลี่อวิ้นกุยคิดได้ว่า หลังจากนี้ก็อาจจะมีบุรุษอื่นเข้ามาใกล้ชิดกับนาง จับมือนาง โอบกอดนาง ได้รับรอยยิ้ม รวมไปถึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเมิ่งเจียวซินแทนเขา!
 
หลี่อวิ้นกุยเมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ‘หากข้าโคจรลมปราณทะลวงผ่านจุดตันเถียน ตอนที่ซินซินเข้ามาตรวจสภาพร่างกายของข้า นางก็จะรับรู้ทันทีว่า...ยามนี้ร่างกายของข้าดีขึ้นมาก จนเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้วน่ะสิ แต่จะว่าไป...เมื่อครู่นางก็ดูเหมือนจะรู้’หลี่อวิ้นกุยก้มลงไปมองที่เตียงนอน ทุกค่ำคืนที่ผ่านมา เขากับเมิ่งเจียวซินล้วนนอนอยู่บนเตียงหลังนี้ร่วมกัน แต่ทว่า...คืนนี้! หลี่อวิ้นกุยดึงพลังออกมาสร้างเป็นลูกไฟมารบนฝ่ามือข้างขวา เมื่อได้ขนาดลูกไฟตามที่ต้องการ เขาก็ซัดฝ่ามือข้างนั้นเข้ามาที่บริเวณหน้าท้องของตนเองทันที “อึก! อ๊อก!!” หลี่อวิ้นกุยรีบหันหน้าไปทางหน้าต่าง เมื่อรับรู้ได้ถึงการพุ่งตัวเข้ามาขององครักษ์มารตนหนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดลอดไรฟันว่า “อย่าเข้ามา!!”
เมิ่งเจียวซินเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน นางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งว่า “คุณหนู คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ นี่บ่าวนะเจ้าคะ ซุนเย่ผิงเองเจ้าค่ะ” “ข้าได้ยินแล้ว รอสักครู่นะ” แม้จะรู้สึกแปลกใจที่ซุนเย่ผิงกลับเรือนในเวลานี้ แล้วไหนจะการที่อีกฝ่ายเลือกเข้าเรือนจากทางประตูหน้าเช่นนี้อีก แต่เมิ่งเจียวซินก็ยอมดึงล็อคออก แล้วเปิดประตูให้กับอีกฝ่าย เมื่อบานประตูเปิดออกนอกจากซุนเย่ผิงแล้ว ยังมีสตรีอีกหนึ่งนาง สตรีนางนี้มีใบหน้าที่ถือว่างดงาม ชุดที่นางสวมใส่ก็ค่อยข้างที่จะหรูหรา “คุณหนูเจ้าคะ สตรีนางนี้มีนามว่า เจินจางลี่หรูเจ้าค่ะ นางเป็นสหายของบ่าว คือ พวกบ่าวได้ยินมาว่า...” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินนามของสตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างซุนเย
เมื่อเดินเข้าไปในห้องพักของซุนเย่ผิง เมิ่งเจียวซินก็ได้สั่งให้เจ้าของห้องออกไปรอที่ห้องโถงก่อน แล้วหลังจากนั้นนางก็สั่งให้เจินจางลี่หรูนอนลงบนเตียง แต่ทว่า...อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ คือ...คุณหนูเมิ่งอย่าเล่าเรื่องของข้าให้อาซุนฟังได้หรือไม่เจ้าคะ?” “ได้ ข้ารับปาก” “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้กล่าวอันใดต่อ สตรีตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นนางก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายจนหมดสิ้น “เหตุใดเจ้า...” เมิ่งเจียวซินมองรอยฟกช้ำ รอยขบกัด รอยนิ้วมือเป็นจ้ำ ๆ บนผิวหนังของร่างอรชรตรงหน้า แล้วไหนจะร่อยเขียวคล้ำเป็นแถบยาวราวกับโดนอะไรฟาดใส่มา ซึ่งมันปรากฎอยู่บนแผ่นหลังบอบบางของนางไม่ต่ำไปกว่าห้ารอย เมื่อเจินจางลี่หรูน
หลี่อวิ้นกุยขมวดคิ้วมองเมิ่งเจียวซินเดินออกจากห้องพักไป เมื่อครู่ตอนที่นางเปิดประตูเข้ามาหยิบของในห้อง เขาได้กลิ่นสาบของพวกปีศาจลอยตามนางเข้ามาด้วย ดูท่า...ปีศาจตนนี้ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรคงยังน้อย หรือไม่ก็คงจะได้รับบาดเจ็บ จนไม่อาจดึงพลังมาใช้กลบกลิ่นสาบของตนลงได้ ‘หึ! ถึงขั้นพาพวกปีศาจกลับมาเรือนของผู้เป็นนายเลยหรือนี่’ ยามนี้ไม่เพียงแค่ความรู้สึกไม่พอใจ แต่หลี่อวิ้นกุยเริ่มคิดแล้วว่า เขาควรไว้ชีวิตบ่าวสตรีนางนี้ให้อยู่รับใช้เมิ่งเจียวซินต่อดีหรือไม่? หลังจากนั้นหลี่อวิ้นกุยจึงคอยรับฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากภายนอกห้องต่ออีกสักพักแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งเจียวซินพูดคุยกับผู้ป่วย... เหมือนนางจะรู้แล้วว่า สตรีที่ตนเองกำลังให้การรักษาเป็นพวกปีศาจ แต่นางก็ยัง... ‘ซินซินเจ้าจะใจดีเกินไปแล้ว!’
หลี่อวิ้นกุยหันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาในห้องพัก “จิ่นสือ เดี๋ยวเจ้าจัดคนของเราสะกดรอยตามบ่าวสตรีกับสตรีปีศาจที่มาพร้อมกับนาง ข้าอยากรู้ว่าพวกนางกำลังทำอะไร และคิดที่จะทำอะไร?” “พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วเรื่องที่ข้าสั่งให้ไปทำ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหน?” “เรื่องสืบหาเบื้องหลังผู้ที่ลอบวางยาพิษพระองค์ แน่ชัดว่า...ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ องค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่แต่เรื่องที่พระองค์สงสัยเกี่ยวกับที่มาของความคิดนี้กับที่มาของยาพิษ ยามนี้พี่ใหญ่ช่วยตามสืบจากคนในตำหนักขององค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่ให้อยู่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องยาพิษ...กระหม่อมให้คนออกไปรวบรวมสมุนไพรพิษ ที่ต้องใช้สำหรับปรุงยาพิษค่ำคืนเหมันต์มาได้เกือบครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนผู้ที่จะลงมือปรุงยาพิษให้กับเรา ทางพี่รองก็หาได้แล
“กุยกุย คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร?” เมิ่งเจียวซินเอ่ยถามพร้อมกับสังเกตสีหน้าของเจ้าลูกกระรอกไปด้วย “ก็หมายถึงผู้ที่สืบสายเลือดเดียวกันอย่างเช่น ผู้เป็นบิดา มารดา บุตร และญาติพี่น้อง หรือไม่ก็คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกัน” “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ” จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เดินไปหยิบกระดาษเปล่าสามแผ่น พร้อมกับพูกันสองด้าม หมึก และแท่นฝนหมึกกลับมาวางลงบนโต๊ะยาวกลางห้องเก็บสมุนไพร ซึ่งสิ่งที่เมิ่งเจียวซินกำลังจะวาด และจะเขียนให้เจ้าลูกกระรอกดูก็คือ แนวคิดที่นางได้ยินมาจากรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งคำพูดและแนวคิดของดีเจท่านนั้น นางได้นำมาปรับใช้จนสามารถปลดล็อคความหมายของคำว่า‘คนในครอบครัว’ กับ‘คนสำคัญในชีวิต’ ให้กับนางได้ แล้วหลังจากที่นางได้รับการปลดล็อค นางก็รู้สึกว่าการมองโลกและการใช้ชีวิตของนางเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีข
“กุยกุยข้าไม่รู้หรอกนะว่า ครอบครัวของเจ้าเป็นเช่นไร แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้จักครอบครัวในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ครอบครัวตามความรู้สึก” พอนางพูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็เห็นเมิ่งเจียวซินนำกระดาษแผ่นใหม่มาวาดวงกลมโดยไล่ระดับจากวงเล็กไปหาวงใหญ่ จำนวนสามวง โดยทั้งสามวงได้เรียงซ้อนกันอยู่ แล้วนางก็เขียนนามของตนเองลงไปตรงกลางของวงกลมวงเล็กด้านในสุด จากนั้นนางก็นำกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาวาดวงกลมที่เหมือนกับกระดาษแผ่นที่สอง แต่นางไม่ได้เขียนนามของตนเองลงไป กระดาษแผ่นที่สามจึงมีเพียงวงกลมที่ว่างเปล่า จำนวนสามวง หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็นำกระดาษแผ่นที่สามมาวางลงตรงหน้าเขา พร้อมกับพูกัน “ข้าเคยได้ยินแนวคิดเรื่องวงกลมคนสำคัญมาจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งข้าได้นำมาปรับใช้กับคำว่า‘ครอบครัว’ ของตนเอง จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ข้าเคยเห็นบางคนพยายามทำดีทุกอย่าง เพื่อไขว้คว้าความรักจากคนในครอบครัว แต่สุดท้า
เมิ่งเจียวซินเห็นเจ้าลูกกระรอกหันกลับมามองภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของนาง ก่อนจะเงยใบหน้าที่คล้ายกับจะยังรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจ้องหน้านาง จากนั้นเจ้าตัวก็อ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็สะบัดใบหน้ากลับไปจ้องภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของเจ้าตัวอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินก็นึกไปถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “กุยกุย ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้าเคยวาดวงกลมแบบนี้ให้กับเด็กสิบสองหนาวคนหนึ่ง... เด็กคนนั้นสูญเสียมารดาไปได้ไม่ถึงปี ผู้เป็นบิดาก็หนีไปแต่งงานสร้างครอบครัวกับสตรีคนใหม่ โดยทิ้งให้เด็กคนนั้นอยู่กับลูกแมวน้อยหนึ่งตัวในเรือนหลังเก่า นาน ๆ ครั้งผู้เป็นบิดาถึงจะนำเงิน และของกินของใช้เข้ามาให้ เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้เป็นบิดาและมารดา ซึ่งญาติคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะฝั่งมารดาหรือบิดา หลังจากจ
เมิ่งเจียวซินจ้องหน้าหลี่อวิ้นกุย คำพูดของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย ยามนี้เมิ่งเจียวซินไม่รู้แล้วว่า ระหว่างฝีปาก ความเจ้าเล่ห์ หรือความไร้ยางอาย สิ่งไหนบุรุษตรงหน้ามีมากกว่ากัน แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเห็นดวงตาคู่คมที่ฉาบไปด้วยความปรารถนา มันกำลังหลอกล่อ และเชิญชวนนางให้รีบเข้าหา ไม่ผิดเลยกับคำพูดที่เขาบอกต่อกันมาว่า ‘ปีศาจมักล่อลวงมนุษย์!’ แต่ทว่าบุรุษตรงหน้าเป็นมนุษย์ครึ่งมาร แล้วครึ่งมารคนนี้ก็กำลังใช้รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใบหน้ารูปงาม ดวงตาคู่คมที่เปล่งประกาย แต่ทว่ากลับดูลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด แล้วไหนจะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ไม่ว่าจะจับ หรือจะมองส่วนไหน มันก็ช่าง...ช่างน่าหลงใหลไปเสียหมดทุกส่วน สรุปโดยรวมเลยก็คือ หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้ร่างกายของตัวเองหลอกล่อนาง ไม่สิ! คืนนี้นางต้องเป็นฝ่ายหลอกล่อ ไม่ใช่! คืนนี้นางจะต้องเป็นฝ่ายศึกษาร่างก
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก