เมิ่งเจียวซินมองลูกกระรอกที่กลับลงไปซบใบหน้ากับบ่าของนาง เจ้าตัวเล็กทำให้นางนึกไปถึงเรื่องตัวตนของพวกปีศาจในนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้... พวกปีศาจหากถือกำเนิดมาจากการบำเพ็ญเพียร ก็จะมีทั้งพวกที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แบบสมบูรณ์ กับพวกที่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้แบบยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรของปีศาจตนนั้น ๆ แต่หากปีศาจตนใดถือกำเนิดมาจากบิดามารดาที่เป็นปีศาจอยู่แล้ว ก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์แบบสมบูรณ์ได้เลยตั้งแต่ในวัยหนึ่งหนาว แล้วปีศาจกระรอกที่แนบชิดอยู่กับบ่าของนางในยามนี้ล่ะ ถือกำเนิดมาแบบไหน? มีอายุเท่าใด? แล้วเจ้าตัวสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้หรือไม่? เมิ่งเจียวซินคิดไปถึงซีรีส์จีนที่นางเคยดูมา... พวกปีศาจยามกลายร่างเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ก็มักจะปรากฏกายในรูปร่างของบุรุษหนุ่มหรือไม่ก็สตรีที่พร้อมจะออกเรือนได้แล้ว แต่พอกลับไปอยู่ในร่างตั้งต้นของตัวเอง ปีศาจบางตนก็เป็นเพียงแค่ลูกสัตว์ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วในซีรีส์บางเรื่องพวกปีศาจถึงกับสามารถทั้งเพิ่มทั้งลดขนาดตัวหรือแม้แต่อายุของร่างตั้งต้นได้อีกด้วย ส่วนเรื่องของอายุที่แท
เมิ่งเจียวซินหลังจากกล่อมให้ลูกกระรอกหลับลงไปอีกครั้งได้แล้ว นางก็ขยับเอาเจ้าตัวเล็กลงไปนอนบนเตียงในจุดที่นางเพิ่งจะเอาตัวเองลุกออกมา เพราะที่ตรงนั้นยังคงมีไออุ่นจากร่างกายของนางอยู่ จากนั้นนางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องพัก เพื่อไปบอกให้ซุนเย่ผิงต้มข้าวผสมเหอเถาหนึ่งหม้อเล็ก และทำอาหารอ่อน ๆ อีกหนึ่งอย่างใส่เพิ่มลงในสำรับทุกมื้อหลังจากนี้ให้นางด้วย โดยหลังจากที่เมิ่งเจียวซินสั่งงานจบ นางก็เห็นสีหน้าที่แสดงออกให้รู้ว่า ซุนเย่ผิงกำลังรู้สึกสงสัย ซึ่งนางก็ได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว แต่ซุนเย่ผิงไม่ได้ถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้าตอบรับคำสั่งของนางเท่านั้น เมิ่งเจียวซินจึงหันหลังแล้วเดินกลับเข้าห้องพัก เพื่อไปจัดการดูแลตัวเองหลังฉากกั้นทันที หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็คิดจะเข้าไปดูลูกกระรอกบนเตียง แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เดินเข้าไป เจ้าตัวเล็กก็ลุกขึ้นยืนหันข้างแล้วมองมาที่นางเสียก่อน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินลงไปนั่งที่เตียงแล้วยื่นมือเข้าไปลูบหัวอีกฝ่ายทันที แต่ก็ลูบได้เพียงแค่สองครั้ง เพราะเจ้าลูกกระรอกรีบขยับเอาหัวเล็ก ๆ นั้นหนีออกไปจากมือของน
หลังจากได้ของใช้ และชุดบุรุษบิดาเจ้าของร่างนี้ที่พอจะนำไปให้เจ้าลูกกระรอกหยิบยืมเอาไปใช้ได้ชั่วคราวแล้ว เมิ่งเจียวซินก็เดินกลับไปยังห้องพักของตนเอง แล้วนำของทั้งหมดเข้าไปวางไว้ที่โต๊ะกลมกลางห้อง ก่อนจะกลับออกมา แล้วเดินไปลากเก้าอี้ในห้องโถงมาใช้นั่งรอที่บริเวณหน้าห้องพักของนาง จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก เมิ่งเจียวซินก็ได้ยินเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม “ข้าแต่งกายเสร็จแล้ว” “เช่นนั้นข้าขอเข้าไปนะ” ไม่มีเสียงตอบรับ เมิ่งเจียวซินจึงตัดสินใจเปิดประตูแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้อง พร้อมกับคิดในใจว่า... ‘เหตุใดข้าจึงเริ่มรู้สึกว่าห้องพักห้องนี้ มันไม่ใช่ห้องของข้าอีกต่อไปแล้วล่ะ!’ เมิ่งเจียวซินเมื่อกลับเข้าไปในห้อง นางก็เห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้อง นางจึงเดินตรงเข้าไปหยิบตำราพร้อมกับสมุดบันทึกที่นางเตรียมเอาไว้พูดคุยกับอีกฝ่ายบนโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นนางก็หอบเอาของทั้งหมดเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมา นางก็เห็นเด็กหนุ่มกำลังจ้องมองมาที่นางอยู่ก่อนแล้ว โดยสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองมานั้นมันช่างดูดุดันยิ่งกว่าตอนที่เจ
เมื่อได้ยินสิ่งที่สตรีตรงหน้าพูด แล้วได้เห็นสายตาของอีกฝ่ายความรู้สึกเป็นกังวลที่หลี่อวิ้นกุยมีเมื่อครู่ ก็ดูเหมือนจะหายไปในทันที แล้วอีกอย่างถ้าหากยามนี้เขาเลือกที่จะปฏิเสธนาง เพื่อออกเดินทางไปหาหมอมนุษย์ที่อยู่ในเผ่าจิ้งจอก ด้วยเงื่อนไขของระยะเวลารวมไปถึงระยะทาง ไม่แน่ว่า...สุดท้ายเขาก็อาจจะถอนพิษชนิดนี้ออกจากร่างกายได้ไม่ทันการ เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่อวิ้นกุยจึงรีบตอบกลับไปว่า “ได้ เช่นนั้นจากนี้ข้าขอฝากชีวิตของข้าไว้กับซินซินด้วยนะ” “อืม...ได้!” เมิ่งเจียวซินดีใจที่เจ้าลูกกระรอกยอมให้นางช่วยเหลือ นางจึงส่งยิ้มจริงใจกลับไปให้อีกฝ่ายทันที หลี่อวิ้นกุยเมื่อได้เห็นรอยยิ้มครั้งนี้ของสตรีประหลาดก็เกิดอาการใจกระตุก เขาจึงรีบยกมือข้างขวาขึ้นมาทาบที่อกข้างซ้าย ‘หรือว่าพิษจะกำเริบอีกแล้ว แต่เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกหนาวเย็นล่ะ!’ หลี่อวิ้นกุยจึงรีบปรับลมหายใจของตนเอง เพียงไม่นานหัวใจของเขาก็กลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายตกลงให้นางช่วยรักษาแล้ว เมิ่งเจียวซินก็นึกขึ้นได้ว่า นางต้องบอกเรื่องที่อยู่ในบันทึกให้เด็กหนุ่มรับรู้ด้วย “กุยกุย ในตำราเล่มนั้นได้บ
เมิ่งเจียวซินมองสีหน้าของเด็กหนุ่มก็ให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ นางจึงรีบกล่าวต่อ “เออ...คือแบบนี้นะกุยกุย เจ้าเคยล่าสัตว์หรือไม่?” “เคย” “แล้วสัตว์ทุกตัวที่เจ้าล่าได้ ก็ถือว่าเป็นสมบัติของเจ้าใช่หรือไม่?” “ใช่ แล้วมัน...หรือที่เจ้าต้องการจะบอกกับข้าก็คือ คนผู้นั้นล่าตัวข้าได้!” เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นว่ายามนี้ทั้งสีหน้าและบรรยากาศรอบตัวของเจ้าลูกกระรอกดูแย่ลงกว่าเดิม นางจึงพยายามปรับเสียงของตนเองให้อ่อนลง ก่อนจะพูด “ก็อะไรเทือก ๆ นั้น แต่กุยกุยเจ้าลองคิดดูนะ หากว่าไม่มีคนผู้นั้นเจ้าก็จะไม่ได้เจอกับสตรีที่มีจิตใจดีแบบข้า แล้วพิษในร่างกายของเจ้าก็อาจจะไม่ได้รับการรักษา ดังนั้น...เออ...เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับคนผู้นั้น ข้าว่ามันก็น่าจะพอหักล้างกันได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่?” “ซินซินวาจาของเจ้านี่ช่าง...” เมื่อเห็นสายตาและรอยยิ้มของอีกฝ่าย หลี่อวิ้นกุยก็ได้แต่ถอนหายใจเอาความขุ่นเคืองออกมา ก่อนจะกล่าวตอบ “อืม...ก็ได้” เมื่อได้รับคำตอบ แล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกลับลงไปสนใจสมุดบันทึกพร้อมกับรับสำรับต่อ เมิ่งเจียวซินก็กลับมาสนใจสำรับตรงหน้าข
หลังจากที่ปิดประตูเรือนเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินออกมายืนด้านหน้าเรือนโดยมือข้างหนึ่งถือตะกร้า ส่วนมืออีกข้างคอยประคองร่างเล็กที่เกาะอยู่บนบ่าของนาง ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าตัวได้ผล็อยหลับลงไปแล้ว จากนั้นนางจึงหันไปมองทางถนนด้านหน้า แล้วนางก็พบว่าสองคนที่พวกนางกำลังจะไปหา ยามนี้ได้เดินแบกตะกร้าสะพายหลังอยู่ห่างจากพวกนางไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น นางจึงรีบเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที “พี่ชายหมิง หมิงจิว” “เจียวซิน! นี่เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” หมิงลู่กล่าวทักเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาคือผู้ใด “ข้ากำลังจะไปหาพวกท่านที่เรือนเจ้าค่ะ” “เจียวซิน แล้วนั่นใช่ลูกกระรอกตัวเมื่อวานหรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเมื่อตอบคำถามของหมิงลู่เสร็จ ก็หันกลับมาตอบคำถามของหมิงจิวต่อ “ใช่แล้ว” “เอ๊ะ! แต่ข้าจำได้ว่าเมื่อวานมันถูกลูกธนูของพี่ใหญ่ยิงใส่ไม่ใช่หรือ...แล้วเหตุใด?” “โดนแค่เฉียด ๆ น่ะ แต่แค่เลือดของมันออกเยอะเลยดูคล้ายกับว่าโดนเต็ม ๆ พอข้าเช็ดคราบเลือดออกถึงได้รู้ว่า บาดแผลของเจ้าลูกกระรอกเป็นเพียงบาดแผลที่มีขนาดเล็ก แล้วพอข้าจับทำแผลใส่ยามันจึงดีขึ้นมากแบ
“ซินซิน ยามนี้ข้าขอเปลี่ยนไปอยู่ร่างมนุษย์ก่อน แล้วช่วงหัวค่ำข้าค่อยเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างกระรอกอีกครั้งได้หรือไม่?” หลี่อวิ้นกุยเอ่ยถาม เมื่อพวกเขากลับเข้ามาภายในเรือนแล้ว “ได้สิ เช่นนั้นข้าก็ขอเข้าไปเอาของในห้องพักบิดาสักครู่นะ” เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปในห้องพักของตนเอง เพื่อเข้าไปหยิบกุญแจ จากนั้นนางก็เดินกลับออกมา โดยปล่อยให้เจ้าลูกกระรอกอยู่เปลี่ยนร่างในห้องนั้นเพียงลำพัง หลังจากเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ และจัดการแต่งกายจนเรียบร้อย หลี่อวิ้นกุยก็คิดจะออกไปตามหาสตรีประหลาดด้านนอก แล้วเมื่อเขาเปิดประตูห้องพักออกมา เขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังกลิ้งถังน้ำขนาดหนึ่งคนแช่มุ่งหน้าไปยังบริเวณโถงทางเดิน เขาจึงรีบเดินเข้าไปหานางทันที “ซินซิน ข้าช่วย” “เจ้าไหวหรือ?” “ไหวสิ ตอนนี้ข้ายังสามารถใช้พลังกับลมปราณที่มีอยู่ได้ใช่หรือไม่?” “ยังใช้ได้ แต่เจ้า...” เมิ่งเจียวซินกล่าวยังไม่ทันจบ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อคืนเจ้าช่วยแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกับข้า ตัวข้าจึงพอมีแรงขึ้นมาบ้าง แล้วยามนี้ข้
หลี่อวิ้นกุยรับตำราจากสตรีตรงหน้ามาดู แล้วก็ให้รู้สึกเอะใจ เขาจึงพลิกกลับไปดูที่หน้าปก “ตำราพิษ!” “ใช่ แต่พวกข้าพ่อลูกไม่เคยคิดที่จะปรุงยาพิษตามตำราเล่มนี้ขึ้นมาหรอกนะ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ที่พวกข้าต้องมีตำราเล่มนี้ในมือ ก็เพื่อที่จะศึกษาและหาวิธีสร้างยาถอนพิษขึ้นมาเท่านั้น” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินจึงดันตำราสมุนไพรไปตรงหน้าเด็กหนุ่มเพิ่มอีกหนึ่งเล่ม ซึ่งตำราเล่มนี้นางก็ได้ใช้เศษกระดาษคั่นหน้าที่มีสมุนไพรเกี่ยวกับยาพิษค่ำคืนเหมันต์เอาไว้แล้วเช่นกัน จากนั้นนางจึงพูดต่อ “กุยกุย เจ้าลองสังเกตสมุนไพรพิษทุกตัวที่ใช้ทำยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้ดีสิ แล้วเจ้าจะเห็นว่าสมุนไพรทุกตัวต่างมุ่งเน้นไปที่การสร้างความปั่นป่วนให้กับแกนพลัง และจุดตันเถียนของผู้ที่ถูกวางยาพิษโดยตรง ซึ่งหากเจ้าดูสูตรยาบรรเทาอาการจากยาพิษในบันทึกบิดาของข้า สมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้จะเน้นเพียงช่วยขับความหนาวเย็นออกจากร่างกาย โดยต้องกินก่อนที่ยาพิษจะสำแดงอาการครึ่งชั่วยาม แล้วเมื่อผู้ที่ได้รับพิษกินยาบรรเทาอาการจากยาพิษเข้าไป ข้าคิดว่า...ยามที่พิษในร่างกายสำแดงอาการ ผู้ที่ได้รับพิษน่า
เมิ่งเจียวซินจ้องหน้าหลี่อวิ้นกุย คำพูดของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย ยามนี้เมิ่งเจียวซินไม่รู้แล้วว่า ระหว่างฝีปาก ความเจ้าเล่ห์ หรือความไร้ยางอาย สิ่งไหนบุรุษตรงหน้ามีมากกว่ากัน แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเห็นดวงตาคู่คมที่ฉาบไปด้วยความปรารถนา มันกำลังหลอกล่อ และเชิญชวนนางให้รีบเข้าหา ไม่ผิดเลยกับคำพูดที่เขาบอกต่อกันมาว่า ‘ปีศาจมักล่อลวงมนุษย์!’ แต่ทว่าบุรุษตรงหน้าเป็นมนุษย์ครึ่งมาร แล้วครึ่งมารคนนี้ก็กำลังใช้รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใบหน้ารูปงาม ดวงตาคู่คมที่เปล่งประกาย แต่ทว่ากลับดูลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด แล้วไหนจะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ไม่ว่าจะจับ หรือจะมองส่วนไหน มันก็ช่าง...ช่างน่าหลงใหลไปเสียหมดทุกส่วน สรุปโดยรวมเลยก็คือ หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้ร่างกายของตัวเองหลอกล่อนาง ไม่สิ! คืนนี้นางต้องเป็นฝ่ายหลอกล่อ ไม่ใช่! คืนนี้นางจะต้องเป็นฝ่ายศึกษาร่างก
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก