หลี่อวิ้นกุยออกมานั่งพูดคุยกับท่านหมอซางเรื่องอาการบาดเจ็บของจิ่นตั้งในห้องโถง อีกฝ่ายแจ้งว่า บาดแผลตามร่างกายไม่สาหัสมาก ใช้เวลารักษา และฟื้นฟูสักสองอาทิตย์ จิ่นตั้งก็น่าจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
เขากล่าวขอบคุณบุรุษตรงหน้าจากใจจริง เพราะคืนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่หลี่อวิ้นกุยส่งคนไปเชิญตัวอีกฝ่ายมา
หลี่อวิ้นกุยนั่งพุดคุยกับท่านหมอซางเรื่องยาของจิ่นตั้งต่ออีกสักพัก ก่อนจะให้ขันทีในตำหนักเดินตามออกไปส่งอีกฝ่าย หลี่อวิ้นกุยตั้งใจจะแวะเข้าไปดูจิ่นตั้งในห้องพักก่อน แล้วค่อยกลับไปสะสางงานต่อ
แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้ลุกจากเก้าอี้ เขาก็เห็นจิ่นโซวเดินเข้ามาในห้องโถง
หลี่อวิ้นกุยมองจิ่นโซวก้มทำความเคารพ ตอนนี้อารมณ์ของเขายังไม่คงที่ บุรุษตรงหน้ากับผู้เป็นบิดา คือ สองคนที่เขาไม่อยากพูดคุยด้วยมากที่สุดในยามนี้ แต่ก็เอาเถิด..
หลี่อวิ้นกุยเรียกหัวหน้าของเหล่าองครักษ์กลุ่มที่สองเข้ามาสั่งการเพิ่ม “อาต้า ที่จริงข้าวางแผนเอาไว้ว่า จะให้พวกเจ้าลงมือสังหารเจ้าสารเลวหลี่อวิ้นหยางกับพวกของมันด้วยยาพิษกลืนกินกายา เพราะยาพิษตัวนี้มีฤทธิ์กร่อนทำลายเนื้อเยื่อและกระดูก ไม่มียาถอนพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะรู้สึกค่อย ๆ ตายภายในระยะเวลาเจ็ดวัน แต่ข้าคิดว่า...ระยะเวลาเจ็ดวันของการเฝ้ารอความตาย เจ้าสารเลวนั่นกับพวกของมันอาจจะสั่งการ หรือลงมือทำเรื่องชั่วช้าอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ ยามนี้ข้าจึงสั่งให้ผู้ปรุงยาอี้ปรับสูตรย่นระยะเวลาการกร่อนทำลายเนื้อเยื่อและกระดูกให้เหลือเพียงสองชั่วยาม หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ดังนั้นก่อนที่ยาพิษกลืนกินกายาจะปรับสูตรสำเร็จ ข้าคงต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งกลุ่มให้ช่วยออกแรงกันเสียหน่อย แล้วถ้ายาพิษพร้อมใช้งานเมื่อไร ข้าจะส่งคนนำมันไปมอบให้กับพวกเจ้าทันที อาต้า ฟั
หลี่อวิ้นกุยจับมือทั้งสองของเมิ่งเจียวซินมากุมเอาไว้ จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องที่ตนคิดจะมอบบทลงโทษให้กับหลี่อวิ้นหยางกับพวกของมัน เพียงแต่ไม่ได้เล่าว่า บทลงโทษนั้นมีอย่างไรบ้าง จากนั้นเขาก็ข้ามไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ายทหารส่วนกลาง ระหว่างนั้นฝูกงกงก็ยกถ้วยยาเดินเข้ามาหา เขาหันไปรับยามาป้อนให้สตรีตรงหน้า โดยบังคับให้เมิ่งเจียวซินต้องกินยาให้หมดก่อน เขาถึงจะยอมเล่าต่อ พอยาหมดถ้วย หลี่อวิ้นกุยจึงกลั้นใจเล่าว่า...มีผู้ใดจากไปในการต่อสู้ครั้งนี้บ้าง ซึ่งยามนี้ร่างของผู้ที่จากลาได้ถูกส่งกลับไปหาคนในครอบครัวแล้ว หลี่อวิ้นกุยยื่นมือไปซับน้ำตาให้สตรีตรงหน้า น้ำตาของนางค่อย ๆ รินไหลออกจากดวงตาคู่งาม ตั้งแต่เขาเอ่ยรายนามของผู้ที่จากไป ยิ่งเขาซับเท่าใด...น้ำตาของนางก็ยิ่งรินไหล เสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ของเมิ่งเจียวซิน มันบีบคั้นจนใจของเขาเจ็บร้าวไปทั้งดวง
หลี่อวิ้นกุยออกมานั่งพูดคุยกับท่านหมอซางเรื่องอาการบาดเจ็บของจิ่นตั้งในห้องโถง อีกฝ่ายแจ้งว่า บาดแผลตามร่างกายไม่สาหัสมาก ใช้เวลารักษา และฟื้นฟูสักสองอาทิตย์ จิ่นตั้งก็น่าจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม เขากล่าวขอบคุณบุรุษตรงหน้าจากใจจริง เพราะคืนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่หลี่อวิ้นกุยส่งคนไปเชิญตัวอีกฝ่ายมา หลี่อวิ้นกุยนั่งพุดคุยกับท่านหมอซางเรื่องยาของจิ่นตั้งต่ออีกสักพัก ก่อนจะให้ขันทีในตำหนักเดินตามออกไปส่งอีกฝ่าย หลี่อวิ้นกุยตั้งใจจะแวะเข้าไปดูจิ่นตั้งในห้องพักก่อน แล้วค่อยกลับไปสะสางงานต่อ แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้ลุกจากเก้าอี้ เขาก็เห็นจิ่นโซวเดินเข้ามาในห้องโถง หลี่อวิ้นกุยมองจิ่นโซวก้มทำความเคารพ ตอนนี้อารมณ์ของเขายังไม่คงที่ บุรุษตรงหน้ากับผู้เป็นบิดา คือ สองคนที่เขาไม่อยากพูดคุยด้วยมากที่สุดในยามนี้ แต่ก็เอาเถิด..
ยังไม่ทันที่หลี่อวิ้นกุยจะได้เอ่ยถาม หรือเรียกเหล่าขันทีให้ไปตามท่านหมอซาง จิ่นตั้งก็เริ่มรายงานว่า...แม่ทัพผู้ดูแลค่ายส่วนกลางกับเหล่าทหารหกในสิบส่วนแปรพักตร์ แล้วยังช่วยเปิดทางให้คนชุดดำกลุ่มใหญ่เข้าไปชิงตัวหลี่อวิ้นหยาง หลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงคนที่พวกเขาเพิ่งจับกุมมาได้ทั้งหมดหลบหนีออกจากคุก ตอนที่จิ่นตั้งกับองครักษ์อีกสองคนไปถึง...ก็เห็นจิ่นสือ ซีไถ องครักษ์สตรีทั้งสอง องค์รักษ์เงาทั้งสี่ของเมิ่งเจียวซิน เหล่าองครักษ์และเหล่าทหารที่พักรักษาตัวอยู่ในค่ายจับอาวุธช่วยรองแม่ทัพกับเหล่าทหารในค่ายส่วนที่เหลือต่อสู้กับคนพวกนั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นจิ่นตั้งจึงคิดจะส่งองครักษ์ที่ติดตามไปด้วยหนึ่งในสองกลับมาแจ้งข่าว และตามคนมาช่วย แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัว คนชุดดำก็พุ่งเข้ามาโอบล้อมโจมตีพวกเขาทั้งสามคนอย่างหนัก คนชุดดำกลุ่มนั้นมีทั้งวรยุทธ และพล
เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่เอาแต่เงียบ ไม่ยอมตอบคำถาม หรืออธิบายอะไรออกมา บุรุษตรงหน้าทำเพียงแค่ลดมือ จากนั้นก็วางช้อนใส่กลับลงไปในถ้วยยา ระหว่างที่มอง...เมิ่งเจียวซินก็นึกไปถึงเรื่องที่นางเคยสงสัย ไม่ว่า...จะเรื่องที่ทั้งก่อน และหลังขอแต่งงาน หลี่อวิ้นกุยไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องลูกกับนางเลยสักครั้ง เรื่องจำนวนเรือนขนาดกลางในจวนหลังใหม่ของพวกนางอีก แล้วไหนจะเรื่องยาที่เจ้าตัวกินทันทีหลังรับสำรับเช้าทุกวัน ผ่านไปครู่หนึ่ง บุรุษข้างกายก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับนาง ความสั่นไหวในแววตาคู่คม...ทำเอาเมิ่งเจียวซินเกิดรู้สึกหวาดกลัวในคำตอบที่กำลังจะได้รับกลับมา แต่ถึงจะหวาดกลัว เมิ่งเจียวซินก็เลือกเผชิญหน้ากับปัญหา “กุยกุย ตอบข้ามา...” “ใช่! ข้าไม่อยากมีบุตร ข้าไม่อยากให้เจ้าตั้งครรภ์ แล้วที่ข้าบอกว่า หลังจากน
“หิวแล้วใช่หรือไม่?” หลี่อวิ้นกุยมองเมิ่งเจียวซินที่หันไปให้ความสนใจสำรับอาหารแทนเขา “ใช่ ข้าหิวแล้ว และข้าก็หิวมาก ๆ เลยด้วย” เมิ่งเจียวซินขอให้หลี่อวิ้นกุยช่วยประคองตัวนางขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เมื่อเห็นสำรับอาหารที่น่าจะจัดมาให้นางคนเดียว “กุยกุย รับสำรับคนเดียวข้ารู้สึกแปลก ๆ เจ้าช่วยรับสำรับพร้อมข้าได้หรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเห็นบุรุษข้างกายแสดงสีหน้าคล้ายกับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนาง แล้วในขณะที่อีกฝ่ายอ้าปากเตรียมจะกล่าวสิ่งใดออกมา นางก็ชิงพูดทันทีว่า “กุยกุยคนดี รับสำรับพร้อมข้าเถิดนะ เจ้าตักข้าวป้อนข้าหนึ่งคำ แล้วในระหว่างที่ข้ากำลังเคี้ยว เจ้าก็ตักสำรับของตัวเองกินหนึ่งคำ เช่นนี้จะได้ไม่เสียเวลา” “ได้” หลี่อวิ้นกุยหันไปตะโกนเรียกฝูกงกงให้รีบจัดสำรับในส่วนของเขาเข้ามา หลี่อวิ้นกุ