โจวหลิวอิงปล่อยให้หลี่อวิ้นเซียนอยากพูดอะไรก็พูดไป ส่วนตัวนางนั่งนึกไปถึงตำราของพวกบุรุษที่เคยแอบหยิบของผู้เป็นพี่ชายมานอนอ่าน ถึงแม้นางจะยังไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ทว่าเท่าที่เคยอ่าน และภาพวาดที่เคยเห็นในตำรา...วิธีลงมือ รวมไปถึงท่วงท่าต่าง ๆ มันก็ดูเหมือนจะไม่ยาก
นางจึงเดินไปหยิบสุราที่แอบซ่อนเอาไว้มานั่งดื่ม เพื่อกดข่มความรู้สึกประหม่า และปลุกความกล้าภายในใจให้ตื่น ระหว่างที่ยกจอกสุราขึ้นดื่ม โจวหลิวอิงก็ค่อย ๆ เรียบเรียงสิ่งที่นางจะลงต้องมือทำไปด้วย
ในขณะที่ดื่มสุรา แม้จะได้ยินเสียงเอ่ยห้ามของบุรุษข้างกาย โจวหลิวอิงก็หาได้สนใจไม่ พอสรุปวิธีลงมือได้...
โจวหลิวอิงวางจอกสุราที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คว้ามือบุรุษที่นางรัก แล้วจูงมืออีกฝ่ายไปนั่งที่ขอบเตียง
นางดันตัวหลี่อวิ้นเซียนให้ลงไปนอนราบ ก่อนจะขยับขึ้นไปน
โจวหลิวอิงปล่อยให้หลี่อวิ้นเซียนอยากพูดอะไรก็พูดไป ส่วนตัวนางนั่งนึกไปถึงตำราของพวกบุรุษที่เคยแอบหยิบของผู้เป็นพี่ชายมานอนอ่าน ถึงแม้นางจะยังไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ทว่าเท่าที่เคยอ่าน และภาพวาดที่เคยเห็นในตำรา...วิธีลงมือ รวมไปถึงท่วงท่าต่าง ๆ มันก็ดูเหมือนจะไม่ยาก นางจึงเดินไปหยิบสุราที่แอบซ่อนเอาไว้มานั่งดื่ม เพื่อกดข่มความรู้สึกประหม่า และปลุกความกล้าภายในใจให้ตื่น ระหว่างที่ยกจอกสุราขึ้นดื่ม โจวหลิวอิงก็ค่อย ๆ เรียบเรียงสิ่งที่นางจะลงต้องมือทำไปด้วย ในขณะที่ดื่มสุรา แม้จะได้ยินเสียงเอ่ยห้ามของบุรุษข้างกาย โจวหลิวอิงก็หาได้สนใจไม่ พอสรุปวิธีลงมือได้... โจวหลิวอิงวางจอกสุราที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คว้ามือบุรุษที่นางรัก แล้วจูงมืออีกฝ่ายไปนั่งที่ขอบเตียง นางดันตัวหลี่อวิ้นเซียนให้ลงไปนอนราบ ก่อนจะขยับขึ้นไปน
ทว่าความรักของพวกเขากลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น เพราะปีศาจเผ่าจิ้งจอกส่วนใหญ่เป็นพวกรักเดียวใจเดียว และโจวหลิวอิงก็ตั้งมั่นที่จะมีชีวิตครอบครัวในภายภาคหน้าแบบนั้นด้วย แต่หลี่อวิ้นเซียนเป็นองค์ชายที่สืบสายเลือดจากราชาปีศาจ เมื่อเขาอายุครบสิบห้าหนาวจะต้องเข้าพิธีมงคลสมรสรับพระชายาเข้าตำหนักพร้อมกันจำนวนเจ็ดพระองค์ เพื่อที่จะได้พาพระชายาเข้าร่วมพิธีอาบแสงจันทร์ด้วยกันคืนละพระองค์ แต่ด้วยความรัก และอยากใช้ชีวิตร่วมกันในภายภาคหน้า หลี่อวิ้นเซียนกับโจวหลิวอิงจึงช่วยกันรวบรวมข้อมูล เพื่อหาทางออกให้กับความรักของพวกเขา แล้วเมื่อได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ และน่าจะนำไปอ้างอิงได้ หลี่อวิ้นเซียนจึงนำข้อมูลเหล่านั้นไปพูดคุยกับบิดาของเขาทันที ซึ่งเพียงแค่หลี่อวิ้นเซียนเอ่ยว่า อยากมีพระชายาเพียงพระองค์เดียว เขาก็โดนผู้เป็นบิดาต่อว่าอย่างหนัก จากนั้นก็ถูกไล่ให้ไปสำนึกตนที่ตำหนักของตัวเองเป็นเวลาเจ็ดวัน
หลี่อวิ้นกุยคิดไปถึงเรื่องที่จิ่นโซวแอบมาเล่าให้ฟัง แล้วหลุดขำออกมา แต่เมื่อเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความสงสัยของฝ่ายตรงข้าม เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องราชาปีศาจถูกท่านอาหญิงโจฟันแล้วทิ้งให้เมิ่งเจียวซินฟัง... ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันนั้นในโลกที่คนทั้งสองจากมา....ผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าอย่างหลี่อวิ้นเซียนกำลังยืนอยู่บนกิ่งไม้ฝั่งตรงข้ามหน้าต่างห้องพักของโจวหลิวอิง หลี่อวิ้นเซียนย้อนนึกถึงการจากไปของโอรสคนที่สาม... วันนั้นสายตาที่แสดงออกถึงความเจ็บปวด แหลกสลาย และไร้ชีวิตของเจ้าสาม มันทำให้เขาได้แต่ยินยอมให้อีกฝ่ายทำตามความต้องการ หลังการจากไปของเจ้าสามกับคุณหนูเมิ่ง เขาได้ฝังร่างของคนทั้งคู่ไว้ที่ภูเขาเงียบสงบลูกหนึ่ง ซึ่งเขากับโจวหลิวอิงได้ทำตามคำขอสุดท้ายของเจ
เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงตอนที่โจวหลิวอิงยอมปล่อยหลี่อวิ้นกุยออกมาจากสนามทดสอบจิตใจ เวลานั้นเธอถูกบุรุษหนุ่มตรงหน้าดึงเข้าไปกอด พอคิดจะผลักอีกฝ่ายออก เธอก็รับรู้ได้ถึงความสั่นเทาของอ้อมแขน เธอจึงเปลี่ยนจากมือที่จะผลัก... เป็นการตบลงไปเบา ๆ ที่บริเวณแผ่นหลัง แม้ตอนนั้นเมิ่งเจียวซินจะไม่รู้ว่า หลี่อวิ้นกุยไปพบเจอสิ่งใดมา แต่ดูท่า...สิ่งที่เจอคงจะหนักหนาสาหัสไม่น้อยเลย จึงทำให้เจ้าตัวเสียอาการได้ถึงขนาดนั้น “กุยกุย ดูเหมือนว่า...เจ้าจะยังไม่เคยเล่าเรื่องในสนามทดสอบจิตใจของเผ่าปีศาจจิ้งจอกให้ข้าฟัง” “ใช่! เพราะยามนั้น...ข้าไม่กล้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในนั้นให้เจ้าฟังจริง ๆ แต่ยามนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง... ก่อนถูกส่งเข้าไปทดสอบ...ข้าเคยได้ยินมาว่า สนามทดสอบจิตใจของเผ่าปีศาจจิ้งจอก คือ สถานที่ทดสอบความอยากได้ อยากมี อยากเป็น และค
หลี่อวิ้นกุยเหลือบมองเข็มนาฬิกาด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เหตุใดมันจึงเดินช้านักนะ? จากนั้นเขาก็ดึงสายตาของตัวเองกลับมา แล้วก้มมองโทรศัพท์มือถือ เมื่อครู่เมิ่งเจียวซินขอวางสายจากเขา เพราะนางต้องลงไปทานข้าวกับคุณยายใบบัว โดยอีกฝ่ายบอกว่า น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยพูดคุยกับเมิ่งเจียวซินด้วยการวีดีโอคอลผ่านโทรศัพท์มือถือมาแล้วเกือบห้าชั่วโมง โดยในระหว่างที่วีดีโอคอล...หลี่อวิ้นกุยได้เล่าเรื่องราวของตนเองทั้งหมด ไม่ว่า...จะเรื่องราวในโลกใบนี้ หรือเรื่องราวที่ดวงวิญญาณของเขาได้ทะลุเข้าไปใช้ชีวิตในโลกนิยายให้เมิ่งเจียวซินฟังแบบละเอียดหมดแล้ว ซึ่งเมิ่งเจียวซินเองก็ยอมเล่าเรื่องราวของนางทั้งหมดให้เขาฟังแบบละเอียดเช่นกัน ตอนที่หลี่อวิ้นกุยได้ยินว่า เมิ่งเจียวซินได้เห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เขาทำ...หลังจากที่นางจ
หลี่อวิ้นกุยเมื่อเห็นสายตาของเมิ่งเจียวซิน เขาจึงรีบส่งยิ้มให้ หลังจากนั้นคุณปู่หลี่อวิ้นเจียงก็ทั้งพูดทั้งถาม แล้วก็สอนเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษให้กับเขา ซึ่งเอาเข้าจริงหลี่อวิ้นกุยฟัง และแปลสิ่งที่คุณปู่พูดไม่ค่อยทัน แต่เขาก็พอจะจับใจความสำคัญในคำพูดเหล่านั้นได้ เนื่องจากในช่วงที่ร่างนี้นอนหลับไปเกือบสามเดือน ดวงวิญญาณของเขาได้ทะลุเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกนิยายมาแล้วเกือบแปดปี! ในช่วงสองวันที่ผ่านมา หลี่อวิ้นกุยจึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองให้เข้ากับโลกใบนี้ และเขาก็ต้องพยายามรื้อความทรงจำต่าง ๆ ที่เคยมีให้ฟื้นคืนกลับมาด้วย! หลี่อวิ้นกุยจำได้ราง ๆ ว่า ในวัยเด็ก...ตอนเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบิดามารดาในบ้านหลังเล็ก ช่วงเวลาเหล่านั้นเหมือนเขาจะมีความสุขมาก แต่พอสูญเสียมารดา ผู้เป็นบิดาก็พาเขาเข้ามาใช้ชีวิต