“คนผู้นั้นชอบเจ้าหรือไม่” พอกู่ซิงอีถามมาถึงตรงนี้ เซี่ยลู่หลินก็พยักหน้าเพียงนิด กู่ซิงอีจึงเดาเรื่องราวได้ทั้งหมดว่าทำไมสหายยังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับตนสักที “เพราะฐานะของเขา?”
“...” เซี่ยลู่หลินคราวนี้พยักหน้าอย่างแรง หยาดน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม นางรีบยกมือปาดออกอย่างรวดเร็ว
กู่ซิงอีพอเข้าใจแล้วก็ไม่คาดคั้นเรื่องคนรักของสหายอีก แต่ปัญหาตอนนี้คือเรื่องการแต่งงานมากกว่า
เซี่ยหลี่จวินบิดาของเซี่ยลู่หลินเป็นพ่อค้าที่เห็นเงินทองมาเป็นอันดับแรกสุด ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของเขาคือผลกำไร ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ เซี่ยหลี่จวินเป็นแบบนี้มานานแล้วกู่ซิงอีรู้จักเป็นอย่างดี
สมัยก่อนนายท่านเซี่ยยังชอบสั่งห้ามให้เซี่ยลู่หลินไม่มาเล่นกับตนเพราะเขาเป็นเด็กที่กำพร้าและยากจน แถมเป็นบุรุษอีกด้วย คงกลัวว่าเซี่ยลู่หลินจะมาชอบพอกับเขาเข้าแล้วหนีตามกันไป
แต่เซี่ยลู่หลินแม้จะเกรงกลัวบิดามากขนาดไหนทว่าก็ยังแอบมาหาเขาตลอด และเพราะบิดาของเซี่ยลู่หลินเข้มงวดจนเกินไปขนาดคนที่มีฐานะใกล้เคียงกันยังแทบไม่อยากให้เซี่ยลู่หลินไปพบปะ ดังนั้นทั้งคู่จึงเป็นสหายสนิทที่มีกันแค่สองคนจริง ๆ
ช่วงหลังที่กู่ซิงอีเริ่มตั้งตัวได้ พอมีเงินอยู่บ้างอีกฝ่ายจึงไม่ห้ามมากนักแค่ปรามอยู่สองสามครั้งก็ไม่สนใจอีก แต่ความจริงแล้วกู่ซิงอีก็ไม่แน่ใจว่านายท่านเซี่ยยอมรับพวกเขาแล้วหรือเพราะไม่ว่างกันแน่ถึงปล่อยผ่านพวกเขาไป
เรื่องการแต่งงานในครั้งนี้กู่ซิงอีจึงแน่ใจว่าจะต้องมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องถึงแปดส่วน เช่นนั้นแล้วบิดาของเซี่ยลู่หลินคงไม่ยอมตัดใจยกเลิกโดยง่ายเพียงเพราะว่าบุตรสาวของตนมีคนที่ต้องตาต้องใจแล้ว แถมบุรุษผู้นั้นก็ฐานะไม่ดีอีกต่างหาก
“ก่อนจะแต่งจำต้องหมั้นก่อน ฝ่ายนั้นแจ้งหรือไม่ว่าจะจัดงานหมั้นวันไหน” กู่ซิงอีกล่าว
“อีกสิบวันต่อจากนี้” เซี่ยลู่หลินสูดจมูกเสียงเบา
คราวนี้พอได้ฟังระยะเวลาแล้ว กู่ซิงอีก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา “เร็วถึงเพียงนี้...แล้ววันแต่งเล่า”
“ยังไม่กำหนด”
กู่ซิงอีพยักหน้าเข้าใจ
สำหรับตระกูลพ่อค้ามีหลายครั้งที่ทำการหมั้นหมายเพื่อบังหน้า เหมือนเป็นสัญญาของผู้ทำการค้าด้วยกัน และเมื่อได้ผลประโยชน์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะยกเลิกทันทีโดนไม่สนใจว่าฝ่ายสตรีหากโดนถอนหมั้นจะถูกคำครหาอย่างไร
หลายปีก่อนก็เคยมีเรื่องเช่นนี้ในราชวงค์ออกมาเหมือนกันในตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นหนึ่งทำการหมั้นหมายองค์หญิงมาที่แคว้นเหว่ย ต่อมาก็ยกเลิกแล้วไปหมั้นกับอีกแคว้น ทำเช่นนี้อยู่หลายรอบจนองค์หญิงแทบจะเลยวัยที่ควรได้ออกเรือนไปแล้วด้วยซ้ำ ทำให้เรื่องในทำนองนี้ถูกทำตามไปทั่วในกลุ่มตระกูลที่ค่อนข้างมีฐานะ
กู่ซิงอีจึงคิดว่านายท่านเซี่ยและคุณชายว่านอาจทำแบบนั้นด้วยก็ได้ หากเป็นดังที่ว่าสหายของตนยังพอมีหวังอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้เสี่ยวลู่โดนถอนหมั้นเพราะความจริงแล้วก็ไม่ควรหมั้นตั้งแต่แรกเลยต่างหาก
“เสี่ยวลู่เจ้าไม่ต้องกังวล ทุกอย่างมีทางออกเสมอ” กู่ซิงอีอายุมากกว่าเสี่ยวลู่หลินหนึ่งปีดังนั้นจึงเห็นนางเป็นทั้งสหายทั้งน้องสาว มือยังคงลูบหัวของเซี่ยลู่หลินเพื่อปลอบโยนนางไม่ห่าง
เซี่ยลู่หลินใจเย็นลงมากนัก ด้วยรู้ว่าแม้อาอีจะกำพร้าตั้งแต่เด็ก มีเพียงผู้เฒ่าเว่ยเลี้ยงดูมาและไม่ได้รับการร่ำเรียนมามากแบบนาง แต่กลับฉลาดหลักแหลมหัวไว ข้อเสียอย่างเดียวคือชอบอยู่สันโดษ ใครก็เข้าถึงได้ยากแถมยังใจแข็ง หากตอนที่เจอกันครั้งแรกตนไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยไว้คงไม่ได้สนิทกับกู่ซิงอีแน่ ๆ
แต่ความสันโดษนั้นก็ไม่ได้ทำให้การพูดการจาของกู่ซิงอีจืดชืดลงไป เวลาไปต่อรองของในตลาดมักได้ราคาดีเสมอ แถมยังเถียงพ่อค้าแม่ค้าชักแม่น้ำทั้งห้าสายมาพูดจนผู้คนต้องยอมศิโรราบให้ จึงรู้ว่ากู่ซิงอีต้องมีทางช่วยตนแน่
กู่ซิงอีเมื่อปลอบใจเซี่ยลู่หลินจนนางดีขึ้นแล้วก็พานางไปส่งกลับจวน ตัวเขาไม่ได้ร่ำรวยมากและไม่ได้เดินทางบ่อย จึงมีแค่ลาตัวเดียวเท่านั้น และรถของเขาไม่ใช่รถม้าสำหรับนั่งแบบตระกูลสูงศักดิ์แต่เป็นรถขนของที่ด้านหลังมีพื้นที่จำนวนหนึ่งเอาไว้สำหรับขนไหสุราไปส่ง ทว่าเสี่ยวลู่ก็ไม่เคยนึกรังเกียจ ทั้งคู่มักเอารถไปเที่ยวด้วยกันที่แถบชานเมืองบ่อยครั้ง
เสี่ยวลู่ปกติจะนั่งด้านข้างเสมอและคุยด้วยกันตลอดทาง แต่วันนี้เองกลับเป็นกู่ซิงอีที่กล่าวมากความกว่าเดิมเพื่อทำให้สหายไร้กังวล
กู่ซิงอีแม้รู้ว่าเสี่ยวลู่ไม่เคยอายที่ต้องนั่งรถขนสุรากับตนแต่เขาก็มักจะเลือกใช้ทางเลี่ยงและไปโผล่ที่ประตูหลังของจวนตระกูลเซี่ยแทน
เมื่อส่งเสี่ยวลู่จากไปแล้วเขาก็ไปนั่งจิบน้ำชาที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งโดยจอดรถขนของไว้ไกลจากตัวตลาดเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา
อีกฟากฝั่งของร้านน้ำชาคือร้านใหญ่ที่เขียนด้านบนว่า ‘ว่าน’ ร้านแห่งนี้ไม่ได้ทำการค้าขายอะไร แต่เป็นที่ซึ่งรอให้คนดูแลร้านแต่ละร้านของตระกูลว่านคอยมาส่งสมุดรายรับรายจ่ายในแต่ละรอบ หรือก็ไว้ใช้พบปะพูดคุยกันเวลาต้องเรียกคนมาประชุม
และที่กู่ซิงอีได้รู้มาอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าคุณชายว่านที่เป็นผู้ดูแลกิจการทั้งหมดในตอนนี้จะมาที่นี่วันเว้นวัน ส่วนอีกวันที่ไม่ได้มาคุณชายว่านจะทำงานอยู่ที่จวนตระกูลว่านแทน
“นี่ ได้ยินข่าวเรื่องการสู่ขอของตระกูลว่านที่ส่งไปยังตระกูลเซี่ยหรือยัง” คนในร้านน้ำชาด้านในเริ่มพูดคุยถึงข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยินกันมา
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่