เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้
ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน
กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน”
เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง
ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก”
บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก! ว่านฟู่เฉิงอดบ่นในใจมิได้ พอคิดอย่างนั้นจึงอยากรู้ว่าคนทึ่มทื่อผู้นี้มีหน้าตาอย่างไรเลยก้มหน้าลงไปมองคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่าตน จังหวะนั้นก็พบว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายคือบุรุษรูปงามคนที่ตนเจอในตลาด เขาพลันชะงักไปชั่วขณะ
ทำไมคนผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ยังว่ากลิ่นกายช่างคุ้นเคยนัก เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าหากมองตามใครมากเกินไป คนผู้นั้นมักจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสมอ
“ตามหมอดีไหมขอรับ แต่ช่วงนี้ทางการสั่งห้ามออกจากบ้านหลังยามซวี เกรงว่าหากจะเรียกหมอคงต้องเป็นพรุ่งนี้แทน”
ว่านฟู่เฉิงสังเกตคนที่ก้มหน้าใช้ความคิดอยู่ข้างรถเข็นของตนเอง ไร้ความดูแคลนในสายตา ไร้ความเห็นใจหรือเวทนา ใบหน้าของบ่าวคนนี้ทั้งเฉยเมยและเย็นชายิ่งนัก แต่แววตาที่เฉยชากลับทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยแทน เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ค่อยให้อาเซียวไปเชิญหมอมาเถิด อากาศเย็นมากแล้วพาข้าเข้าห้องที”
กู่ซิงอีพลันเงยหน้ามองคนบนรถเข็นทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนหน้าที่บ่าวชายจะเตือนเขา ท่านน้าคนครัวก็เคยเล่าให้ฟังว่าปกติคุณชายดื้อรั้นชอบทำอะไรด้วยตนเอง ไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย ดังนั้นก่อนหน้านี้พอเขาอุ้มคุณชายว่านขึ้นมาจึงพยายามไม่วุ่นวายกับอีกฝ่าย พาขึ้นมานั่งได้ตามเดิมก็คิดจากไป
ยามนี้พอถูกอีกฝ่ายบอกให้ช่วยพากลับห้องกู่ซิงอีจึงคิดไปแล้วว่าคุณชายว่านอาจจะเจ็บหนักเพราะรถล้มเมื่อครู่ถึงขั้นขยับเองไม่ไหว มิเช่นนั้นคงไม่เอ่ยปากใช้เขา กู่ซิงอีจึงรีบถามด้วยความตื่นตระหนก “คุณชายไม่ได้บาดเจ็บแค่เข่าหรือไม่ เจ็บแขนด้วยหรือเปล่าขอรับ” สีหน้าที่เฉยชาซึ่งพยายามรักษาไว้ก็ถูกทำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว
“บอกเจ้าไปตอนนี้เจ้าจะรักษาได้หรือ” ว่านฟู่เฉิงใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับไม่สบอารมณ์ เขาหันมองไปทางอื่นตอนกล่าวประโยคนั้นออกมา
กู่ซิงอีได้เห็นท่าทางของคุณชายว่านก็เข้าใจแล้วที่น้าแม่ครัวบอกมาล้วนเป็นเรื่องจริง เขาเลยไม่พูดอะไรต่อ หยัดกายขึ้นพร้อมกับโคมไฟในมือแล้วเดินไปหลังเก้าอี้รถเข็นออกแรงพาคุณชายว่านกลับห้องไป
‘คนผู้นี้หน้าตาก็ดีแต่ชอบขมวดคิ้วยิ่งนัก น้ำเสียงเองก็นุ่มทุ้มน่าฟังแต่คำพูดคำจาที่เอ่ยออกมาล้วนประชดประชันไม่สนผู้ใดอยู่ในสายตา’ กู่ซิงอีบ่นพึมพำในใจพลางคิดว่าต้องพยายามทำให้สหายของตนไม่ต้องแต่งงานกับคุณชายว่านให้จงได้ คนผู้นี้ดูท่าแล้วหากแต่งงานไปอยู่ด้วยกันคงไม่น่าจะมีความสุขเลยสักนิด!
กู่ซิงอีไม่ค่อยอยากพูดคุยกับคุณชายว่านเท่าไรนัก แต่ครั้งนี้พอเข้ามาถึงในห้องแล้วจะไม่ถามก็ไม่ได้อีก
“คุณชายอยาก...คุณชายมีสิ่งใดต้องการเพิ่มเติมหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีเปลี่ยนจาก ‘อยากให้บ่าวช่วย’ เป็น ‘ต้องการ’ แทน เพื่อไม่ให้ว่านฟู่เฉิงอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม
อีกฝ่ายไม่ตอบทำเพียงยกมือให้เขาจากไปได้ กู่ซิงอีจึงกลับไปเดินตรวจตราอีกครั้ง
ในช่วงเย็นวันต่อมาฉีหย่าก็มาถึงจวนพอดี กู่ซิงอีที่รออยู่แล้วรีบมาเปิดประตูพาเข้าไป ไม่รู้ว่าเพราะโชคเข้าข้างหรืออย่างไร ปกติวันนี้คุณชายต้องไปที่ร้านว่านแต่กลับหยุดอยู่บ้านแทน แล้ววันนี้เป็นวันที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมที่ฉีหย่าทำงานอยู่ต้องส่งบัญชีมาให้คุณชายว่านตรวจสอบ ฉีหย่าจึงอาสานำมาส่งให้แทน และเพราะช่วงเช้าโรงเตี๊ยมก็ดันมีคนเข้ามามากกว่าปกติจำต้องให้นางอยู่ช่วยก่อน นางเลยได้โอกาสมาส่งของช้าจนเย็นย่ำขนาดนี้ได้พอดี
กู่ซิงอีส่งฉีหย่าให้หลี่เซียวต่อ จากนั้นไปวางแผนให้ท่านน้าแม่ครัวมาเรียกใช้งานฉีหย่า เพราะก่อนหน้านี้กู่ซิงอีเพิ่งไปวางยาถ่ายผู้ช่วยแม่ครัวอีกคนไว้ไม่ให้ลุกมาทำงานได้ไหว สุดท้ายฉีหย่าจึงรั้งอยู่ที่จวนได้สำเร็จเพราะเลยเวลาที่จะสามารถออกจากจวนได้แล้ว
น้าแม่ครัวเองก็ชอบฉีหย่าที่พูดเก่งแถมหน้าตาดี นางช่วยจัดหาที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย
ด้านหลี่เซียวพอได้รู้ว่าฉีหย่ากลับออกไปไม่ทันก็ไปแจ้งเรื่องนี้ให้คุณชายของตนทราบด้วย
ว่านฟู่เฉิงเพียงพยักหน้ารับ อาจด้วยเพราะเรื่องราวดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเขาจึงปล่อยผ่านไปโดยไม่เสียเวลาไปสนใจ
แต่เขากลับพบว่าตัวเองคิดผิด
ในตอนที่นั่งเล่นอยู่ด้านนอกอย่างที่ชอบทำเป็นประจำในช่วงหัวค่ำ ก็มีสตรีคนหนึ่งโผล่มาอยู่ตรงหน้าเขา
สตรีผู้นี้ถือว่าค่อนข้างงดงาม ท่าทางก็ดูน่ามอง เดินบิดตัวทีก็เห็นสะโพกและทรวดทรงอย่างชัดเจน
ว่านฟู่เฉิงย่อมรู้ได้ทันทีว่านางคือใคร เพราะบ่าวในจวนที่เป็นสตรีเขารู้จักทั้งหมดแถมยังไม่เคยรับคนที่อยู่ในวัยนี้เข้าจวนมาก่อน ดังนั้นจึงมีเพียงแค่สตรีนางนั้นที่มาส่งบัญชีของโรงเตี๊ยมให้เขาแล้วกลับไม่ทัน
และว่านฟู่เฉิงก็ยังไม่ลืมที่หลี่เซียวรายงานว่านางคือคนเดียวกันกับที่ถูกรถม้าของเขาชนในวันนั้น ถ้าหากหลี่เซียวไม่รายงานให้ฟังเขายอมรับว่าเขาคงจำนางไม่ได้ เพราะวันนั้นเขาแทบไม่ได้สังเกตใบหน้าของนางเลย
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่