บทที่ 38/1 เผชิญกับความตกต่ำ “อาเหลียง หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าจะมาลงไม้ลงมือกับลูกเมียเพราะอนุคนเดียวไม่ได้! พวกเจ้าสองคน มาแก้มัดให้ฮูหยินน้อยแล้วพาไปที่เรือนข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าก้าวมายืนขวาง จ้องหน้าบุตรชายเขม็ง ก่อนหันไปบอกสาวใช้ให้แก้มัดเหวินไป๋เหลียน และพาตัวไปยังเรือนฟาหยาง หากหวังเหลียงคิดลงมือกับภรรยาจริง ก็ต้องข้ามศพมารดาอย่างนางไปก่อน หวังเหลียงกัดฟันกรอด ลดมือของตนลง ฝืนข่มกลั้นโทสะไม่ให้ปะทุขณะเอ่ยกับมารดา “ท่านแม่ เหวินไป๋เหลียนฝ่าฝืนคำสั่งข้า กลับลงมาจากวัดโดยพละการ ท่านดูสภาพของนางสิขอรับ ดูได้ที่ไหน” ฮูหยินเฒ่ามองลูกสะใภ้ด้วยสายตาเวทนา เพียงแค่ไม่กี่วันที่ถูกส่งออกไปจากจวน เหวินไป๋เหลียนถึงกับมีสภาพมิต่างจากคนเสียสติ “ก็เพราะสภาพของอาเหลียนเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า ข้าถึงต้องพานางกลับเรือนของข้า และข้าจะไม่ยอมให้เจ้าส่งนางกลับไปอยู่ที่วัดอีก เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องมาห้าม! แล้วนี่ผู่หมัวมัวหายหัวไปอยู่เสียที่ใด ถึงได้ปล่อยให้เจ้านายอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงขนาดนี้!” หญิงชราหาได้สนใจสีหน้าของบุตรชายแม้แต่น้อย ยังคงยืนกรานความคิดของตน หวังลู่เสียนร
บทที่ 38/2 เผชิญความตกต่ำ มหาเทพหวงหลงมีสีหน้าปลดปลงยามได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด “เฮ้อ! นี่แหละหนา ที่เรียกว่าเวรกรรม ใครใช้ให้หวังลู่เสียนมีนิสัยหยิ่งยโส แถมปากเสียชอบดูถูกดูแคลนผู้อื่นกัน ฝ่ายชายก็ไม่น้อยหน้า มีนิสัยเสเพลแถมเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นทุนเดิม หากนางรู้ว่าคืนนั้นได้เสียพรหมจรรย์ให้ใคร มีหวังได้อกแตกตายแน่” ”ข้าว่าทั้งคู่เหมาะสมกันออก ผีเน่ากับโลงผุ นรกสร้างสรรค์มาคู่กันโดยแท้” มหาเทพชิงหลงลอยหน้าลอยตาเอ่ยชื่นชม ซึ่งฟังดูแล้วทะแม่งชอบกล “…” มหาเทพหวงหลงและมหาเทวีเฟิ่งหนี่ว์ ชิงหลงเจ้าปากร้ายมาก! หากกล่าวว่าวันนี้ ถือเป็นวันวิปโยคของตระกูลหวังก็คงไม่ผิดนัก บรรยากาศภายในจวนกดดันอึมครึม ประหนึ่งพายุลูกใหญ่กำลังตั้งเค้าเตรียมถล่มใส่จวน หมอจี๋เค่อช่วยปฐมพยาบาลหวังเหลียงจนฟื้นคืนสติ จากนั้นก็จากไป ปล่อยให้หวังเหลียงอยู่คนเดียวตามคำขอ …เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆดำ บดบังแสงตะวันจนมิอาจเล็ดลอด ส่งผลให้จิตใจของหลายคนหม่นหมองซึมเศร้า หวังเหลียงยืนอยู่ริมสระบัว เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ทอดถอนใจให้กับโชคชะตา เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ
บทที่ 39/1 เบื้องหน้าเบื้องหลัง คฤหาสน์หลังงามตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบ ในทิศทางตรงกันข้ามกับตำหนักรับรองของฮ่องเต้ หญิงสาวสองนางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างตั่งใหญ่ของราชันย์หมาป่าพระจันทร์เงิน ฮั่วเฮ่อฉียื่นขวดโอสถทิพย์สำหรับรักษาแผลและยาคืนโฉมให้ลูกน้องทั้งสอง “ลำบากพวกเจ้าแล้วนะ ขอบใจมากที่ยอมเสียสละตนเองในแผนการครั้งนี้” เสี่ยวลู่เงยมองนายเหนือหัวของตน ด้วยสีหน้าและแววตาภักดีเต็มเปี่ยม “พวกหม่อมฉันยินดีรับใช้องค์ไท่จื่อด้วยชีวิตเพคะ หากไม่มีพระองค์ หมู่บ้านของพวกหม่อมฉันคงหายไปจากแผนที่นานแล้ว” เจ็ดปีก่อน ฮั่วเฮ่อฉีนำกองกำลังเข้ากวาดล้างโจรภูเขากลุ่มใหญ่ ที่มักปล้นชิงชาวบ้านในเขตป่าตะวันฉาย ติดกับชายแดนของอาณาจักรตงหลง ช่วยเหลือชาวบ้านหลายหมู่บ้านตามแนวชายป่า ให้รอดพ้นการจากการถูกเข่นฆ่ายกหมู่บ้านเพื่อแย่งชิงทรัพยากร เสี่ยวหลีและเสี่ยวลู่ยอบกายขอบคุณนายเหนือหัว บาดแผลจากการถูกโบยหายไปในไม่กี่อึดใจ รูปโฉมแท้จริงของทั้งสองกลับคืนมา ส่วนเสี่ยวหลีและเสี่ยวลู่ตัวจริง เดินทางถึงแดนทักษิณได้หลายวันแล้ว พวกนางกลับไปอยู่กับครอบครัว พร้อมเงินก้อนใหญ่ที่ฮั่วเฮ่อฉีมอบให้
บทที่ 39/2 เบื้องหน้าเบื้องหลัง วังหลวง ราชองครักษ์ส่วนพระองค์เร่งมารายงานมหาขันที เรื่องที่มีคนสำคัญมาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เกากงกงรีบไปทูลรายงาน ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นวางฎีกาที่กำลังอ่านลงทันที “คนผู้นั้นมาเองเลยรึ ไม่ใช่แค่ส่งสาส์นมาเหมือนทุกครั้ง?” “มาด้วยตนเองเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท แค่ได้เห็นใกล้ๆ ก็ทำกระหม่อมแทบหยุดหายใจเลยพะย่ะค่ะ” เกากงกงท่าทางปลื้มปริ่ม เอ่ยรายงานด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า เขาเคยพบคนผู้นี้นานมาแล้ว ครั้นได้พบพานอีกครั้งจึงอดตกตะลึงไม่ได้ โอรสสวรรค์สาวเท้าออกจากห้องทรงงาน ตรงไปยังห้องรับรองอาคันตุกะอย่างเร่งรีบ ตัวเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้เกากงกง “ฝ่าบาทเสด็จจจจ” เสียงแหลมสูงของขันทีหน้าห้องรับรองพิเศษดังขึ้น บอกกล่าวคนด้านในให้เตรียมตัวต้อนรับ วรกายสูงสง่าในเสื้อคลุมมังกรผ้าแพรไหมสีดำ ปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บน่าเกรงขาม ทว่ากลับมิอาจสร้างความหวั่นไหวให้กับอาคันตุกะคนสำคัญที่มาเยี่ยมเยือน “องค์ไท่จื่อฮั่วเฮ่อฉี! ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที ครั้งสุดท้ายที่พบกันคือเมื่อหกปีที่แล้วสินะ ดีจริงๆ ที่ท่านยอมมาพบข้าจนได้ ดูท่านซิ ยิ่งโตยิ่งรูปงาม ช่างอันตรายต่
บทที่ 40/1 การกลับมาของหวังลี่ถิง เวลานี้หน้าจวนตระกูลหวัง ปรากฏหญิงสาวสองนางแต่งกายธรรมดายืนอยู่ คนหนึ่งสวมผ้าคาดปิดหน้า บนใบหน้าด้านซ้ายที่โผล่พ้นผ้าขึ้น มีปานสีชาดพาดผ่านดวงตาไปถึงขมับ ร่างบางก้าวไปเคาะห่วงทองเหลืองหน้าประตู ผ่านไปไม่นานนักประตูใหญ่หน้าจวนก็เปิดออก ผู้ที่มาเปิดคือพ่อบ้านถัง เขามองสำรวจหญิงสาวทั้งสองก่อนเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าแม่นางทั้งสองมีธุระใดที่นี่อย่างนั้นหรือ หากจะมาขอบริจาค คงไม่มีให้หรอกนะ” รวี่เยว่เหยียดปากภายใต้ผ้าคาดปิดหน้า ไพล่คิดในใจว่า ถึงจะผ่านไปหลายปี พ่อบ้านถังยังคงแล้งน้ำใจไม่เปลี่ยน นายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดวงตาคู่งามฉายประกายดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง เปล่งเสียงดังให้ชาวบ้านที่หม่าลั่วจ้างมาได้ยินกันถ้วนหน้า “ข้าไม่ได้มาขอบริจาคเงิน แต่มาทวงสินเดิมของมารดาข้าคืนต่างหาก รบกวนพ่อบ้านถังช่วยไปบอกใต้เท้าหวังด้วย ว่าข้า เยว่ลี่ถิง มาขอสินเดิมของมารดา รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ ที่ใต้เท้าหวังยักยอกไว้กลับคืน!” ชุนอิ่งรอจังหวะอยู่แล้ว รีบก้าวมาข้างหน้า เอ่ยกับพ่อบ้านถังเสียงดังฟังชัดด้วยอีกคน “พ่อบ้านถัง ท่านคงจำข้าได้กระมัง หลายปีที่ผ่านม
บทที่ 40/2 การกลับมาของหวังลี่ถิง ทั้งรวี่เยว่และชุนอิ่งหันกลับมา จ้องหน้าจูหมัวมัวด้วยสายตายากคาดเดา ครั้นจูหมัวมัวเห็นหน้าชุนอิ่งก็ชะงักค้าง แม้ไม่ได้พบมาหลายปี แต่นางยังจำหน้าอีกฝ่ายได้แม่นยำ หากนี่คือชุนอิ่ง เช่นนั้นอีกคนก็ต้องเป็น… รวี่เยว่ปลดผ้าคาดปิดหน้าออก ใบหน้าที่ดูละม้ายรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ถึงเจ็ดแปดส่วน เผยต่อสายตาของจูหมัวมัว ร่างบางเยื้องย่างเข้าไปหาช้าๆ กล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเย็นเยียบ “จูหมัวมัว ท่านจำพวกข้าไม่ได้จริงๆ หรือว่าเสแสร้งว่าจำไม่ได้ตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า หืมม?” จูหมัวมัวหนาวเยือกเข้าในไปกระดูก ร่างกายสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับกำลังถูกแรงกดดันของนักพรตตบะสูงกดข่ม หญิงสูงวัยเข่าทรุดลงบนไปกองอยู่บนพื้น รีบเอ่ยสั่งบ่าวชายอีกสามคน ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาสมทบเสียงตะกุกตะกัก “พะ..พวกนาง เป็นแค่คนแอบอ้าง เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ หาใช่บุตรีของรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ รีบๆไล่พวกนางไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ มัวรออะไรอยู่!” “ใครว่าพวกนางแอบอ้าง! ข้าคนนี้สามารถเป็นพยานให้ได้ ว่านางคือบุตรีของรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จริง!” เสียงของอนุเสิ่นดังขึ้นจากด้านใน นางเดินมาพร้อมกับห
บทที่ 41 ทวงสินเดิมของมารดา ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่า รีบใช้ประตูด้านข้างออกจากจวนทันที หลังจากจูหมัวมัวกลับรายงานว่าหวังลี่ถิงยังชีวิตอยู่จริง นางต้องรีบไปรายงานคนผู้นั้นให้ทราบเรื่อง รวี่เยว่ยังคงไม่ขยับ เพียงแค่ยืนนิ่งๆ เหมือนกำลังรอบางสิ่งให้มาถึง อนุเสิ่นเองก็ตีมึนหันไปเสวนากับชุนอิ่ง ถามไถ่ถึงแม่นมชุนอย่างตั้งใจ ทางด้านหวังซีซวนทำเพียงยืนนิ่งๆข้างพี่สาว เพ่งพิศปานสีชาดบนใบหน้าของนาง คล้ายสังเกตเห็นความผิดปกติ ทว่ามิได้เอ่ยออกมา หากแต่มีบางสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มข้องใจ… ‘หากข้าจำไม่ผิด เมื่อก่อนสีหน้าและแววตาของพี่สาวไม่ได้เย็นชาแบบนี้ แล้วกลิ่นอายสูงส่งน่าเกรงขามเช่นนี้คือสิ่งใดกัน นางไร้พลังธาตุฝึกบำเพ็ญไม่ได้ แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกหวาดหวั่น จนแทบอยากลงไปคุกเข่าให้นางกันนะ’ ในเสี้ยวลมหายใจต่อมา การรอคอยของรวี่เยว่ก็สิ้นสุดลง รถม้าของผู้ช่วยรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ จอดเทียบหน้าจวนตระกูลหวัง การปรากฏตัวของเขา สร้างความตกตะลึงให้กับหวังเหลียงและจูหมัวมัว ดูท่าว่าเรื่องราวกำลังจะบานปลายใหญ่โต หากทางการยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว รวี่เยว่รีบเดินเข้าไปกล่าวทักทายผู้ช่วยรองหัวหน้าศาลต้า
บทที่ 41/2 ทวงสินเดิมของมารดา “เจ้า!” หวังเหลียงหน้าแดงก่ำ ในอกเต็มด้วยความคับแค้นใจ “ข้าทำไมเจ้าคะ ก่อนที่ใต้เท้าหวังจะนำเงินทองที่ไม่ใช่ของตนไปใช้ ไยไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อน ว่าวันหนึ่งเจ้าของตัวจริงจะกลับมาทวงคืน ถึงจะโวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้คืน รีบทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกันดีกว่า สัญญาปากเปล่าข้าไม่เชื่อถือ” รวี่เยว่ร่างหนังสือสัญญา กำหนดระยะเวลาชดใช้หนี้ของหวังเหลียง รวมถึงระบุรายละเอียดทุกอย่าง โดยมีชางฮวน พ่อบ้านถัง และชุนอิ่งลงชื่อและประทับลายมือเป็นพยาน จากนั้นใต้เท้าชางและพวกนางจึงกลับออกมาจากจวนตระกูลหวัง พร้อมสินเดิมที่ยังคงหลงเหลือ… ส่วนเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีคำสั่งให้เผยคังสังหารนาง เรื่องนี้นางค่อยเก็บไปคิดบัญชีกับยัยแก่นั่นทีหลัง! ครั้นพ่อบ้านกลับมารายงานว่า ชางฮวนและหญิงสาวทั้งสอง ออกจากจวนไปแล้ว หวังเหลียงจึงเลิกข่มกลั้นโทสะ คำรามเสียงดังลั่น กวาดชุดน้ำชาบนโต๊ะตกแตกกระจาย ภายในอกร้อนรุ่มเหมือนมีไฟผลาญ กระอักเลือดออกมาในที่สุด ราวหนึ่งชั่วยามถัดมา หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว หวังเหลียงจึงขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปจวนสกุลจิ่ว เขา
บทที่ 57/2 ข้าขอเป็นคนเลวสักครั้งในชีวิตเถิด เหวินไป๋เหลียนคนรักของเขาที่งดงามสดใสราวดอกทานตะวัน เทียบไม่ได้เลยกับความงามสง่าโดดเด่น ประหนึ่งดอกหมู่ตานตรงหน้า จากที่คิดว่าจะออกไปจากห้องหอทันทีหลังเปิดผ้าคลุมหน้าสาว หวังเหลียงกลับเปลี่ยนใจ เดินไปรินสุรามงคลมายื่นให้เยว่หนิงลี่แทน และใช้เวลาอยู่กับนางทั้งคืน ทว่าหลังจากนั้นเพียงเจ็ดวัน หวังเหลียงก็พาเหวินไป๋เหลียนเข้าจวน นับเป็นการหยามเกียรติฮูหยินเอกเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเยว่หนิงลี่กล้บไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นางสงบนิ่งเยือกเย็นราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับตน กลับเป็นชุนหมัวมัวและหลานสาวนามชุนอิ่งที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ครึ่งปีต่อมาหวังเหลียงก็พาอนุอีกคนเข้าจวน เหวินไป๋เหลียนแล่นมาหาเยว่หนิงลี่ให้จัดการเรื่องนี้ ทว่าเยว่หนิงลี่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้หกเดือนกลับนิ่งเฉยไม่สนใจ ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกนั่นแหละ เหวินไป๋เหลียนที่กำลังตั้งครรภ์เช่นกันยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม เพราะไม่สามารถยุแยงให้อีกฝ่ายออกโรงได้ “นางเป็นก้อนหินหรืออย่างไรกัน ถึงได้เย็นชาไร้อารมณ์เยี่ยงนี้ น่าโมโหที่สุด! หวังเหลียงนะหวังเหลียง!” เกือบสี่เดือนห
บทที่ 57 1 ข้าขอเป็นคนเลวสักครั้งในชีวิตเถิด @เรื่องราวบางส่วนในบทนี้ค่อนข้างอ่อนไหว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ สิบหกปีก่อน เมืองเทียนหวง อาณาจักรอู๋ซาง นับตั้งแต่บอกลากับอวี้เหวินเทียนเหิง เยว่หนิงลี่กลายเป็นคนเงียบขรึม ทั้งที่ปกติหญิงสาวเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวาราวลูกกวางน้อยวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า แม้แต่ต้าอ๋องยังรู้สึกประหลาดใจ ครั้นถามไถ่หญิงสาวเพียงคลี่ยิ้มบาง และกล่าวว่าอาจเป็นเพราะต้องจากพี่น้องทหารร่วมรบไปอยู่เมืองหลวงจึงรู้สึกใจหาย หนึ่งเดือนก่อนงานแต่ง ค่ำคืนนี้เยว่หนิงลี่ออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่กับชุนหมัวมัวเพราะนอนไม่หล้บ ครั้นมองเห็นหอสุราที่ตนเคยมากับอวี้เหวินเทียนเหิง หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปด้านในอย่างไม่รู้ตัวราวต้องมนตร์ จากนั้นจึงถามหาห้องส่วนตัวที่เคยมา เสี่ยวเอ้อร์เดินนำขึ้นบันไดไป ทว่าระหว่างเดินผ่านห้องส่วนตัวอีกห้อง เสียงสนทนาของบุรุษกลุ่มหนึ่งดังลอดออกมา “นี่ หวังเหลียง เรื่องที่เจ้ากำลังจะแต่งงานกับรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากแดนใต้ผู้นั้น ไม่ทำให้แม่นางเหวินไป๋เหลียนยอดดวงใจของเจ้าเสียใจแย่รึ” เสียงของบุรุษคนหนึ่งเอ่ยถามบุรุษอีกคนที่ชื่อ หวังเหลียง “นั่น
บทที่ 56/2 รักแรกของอวี้เหวินเทียนเหิง อวี้เหวินเทียนหยาได้แต่ทอดถอนใจ หันไปถามความเห็นของเยว่หนิงลี่ ด้วยความที่หญิงสาวเติบโตมากับบุรุษ จึงทำให้นางมีนิสัยใจกว้างและจริงใจเป็นทุนเดิม เมื่อเห็นว่าคนตำหนักเทวาอนธการ มีใจอยากชื่นชมความมีชีวิตชีวาของเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ จึงตบปากรับคำอย่างเต็มใจ เพราะอย่างไรเสีย นางก็ชอบออกมาเดินเล่นเพื่อสอดส่องความปลอดภัยของชาวเมืองยามค่ำคืนเป็นปกติอยู่แล้ว ผูกมิตรไว้ดีกว่าเป็นศัตรู นั้นคือคำที่ต้าอ๋องผู้เฒ่าสั่งสอนนางมาตั้งแต่เด็ก “ได้เจ้าค่ะ ข้ายินดีช่วยพาพี่ชายองครักษ์เที่ยวชมเมืองหลวงยามค่ำคืน” เสียงสดใสจริงใจสะท้อนไปถึงจิตใจขององค์ราชาหนุ่ม จนก้อนเนื้อในอกเต้นแรงไม่เป็นระส่ำ “ถิงซี เรียกข้าว่าถิงซีเถิด” อวี้เหวินเทียนเหิงบอกชื่อกลางของตน ที่ปกติมีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้นที่เอ่ยเรียกนามนี้ แค่กก!! ผู้เป็นน้องสำลักน้ำลายรอบที่สอง นับจากคืนนั้น ถิงซี ก็จะมารอพบเยว่หนิงลี่ที่สะพานหิน ซึ่งอยู่ห่างจากร้านอาหารทะเลไปราวครึ่งลี้ทุกคืน แม้ฝนจะตกเขาก็จะกางร่มมายืนรอนางไม่เคยขาด หลังจากผ่านไปสองอาทิตย์ ในที่สุดชายหนุ่มก็มีความกล้า เอ่ยปากชวนนางออกมาเที่ย
บทที่ 56 รักแรกของอวี้เหวินเทียนเหิง ตำหนักเทวาอนธการ องค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงวางสาส์นที่น้องชายส่งมาถึงลงบนโต๊ะหลังจากอ่านจบ ร่างสูงสง่าใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มมองออกไปไกล ดวงตาเรียวยาวคู่คมเจือความเศร้าอยู่หลายส่วน “หนิงลี่ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องหรือทำร้ายลูกสาวของพวกเราได้อีกแล้ว…ไยเจ้าถึงไม่บอกว่าตั้งครรภ์กับข้า ก่อนที่จะแต่งให้เจ้าสารเลวชั้นต่ำหวังเหลียงคนนั้น!” เพียงแค่รู้สึกขุ่นเคืองใจ ของตกแต่งภายในห้องทรงอักษรทั้งหมดก็แตกละเอียด ดวงตาสีเทาทรงอำนาจคมกริบปิดลง ความทรงจำเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนหวนกลับมา เมืองเทียนหวง อาณาจักรอู๋ซาง ในพิธีเปิดงานประลองของอาณาจจักร อวี้เหวินเทียนเหิงปลอมตัวเป็นองครักษ์ของน้องชาย เพื่อออกมาท่องเที่ยวดูโลกภายนอกในรอบสิบปี องค์ราชาหนุ่มในวัยยี่สิบแปดเดินทางลงจากภูผาหยินซาน หลังจากพระบิดาเดินเข้าแดนบำเพ็ญแห่งเทวา เพื่อกักตัวระยะยาวอย่างไม่มีกำหนด ชายหนุ่มสวมหน้ากากโลหะสีดำปกปิดใบหน้าเหมือนองครักษ์คนอื่นๆ เพียงแต่มิอาจปกปิดรัศมีสูงส่งรอบกาย จึงทำให้หลายคนรู้สึกยำเกรงองครักษ์ของชินอ๋องผู้นี้มากกว่าคนอื่นๆ ค่ำคืนหลังจบพิธีเปิดงาน อวี้เหวินเที
บทที่ 55/2 หารือ หลังจากปล่อยให้ฮั่วเมิ่งเหยา ทำความรู้จักมักจี่กับรวี่เยว่พอสมควร ครู่ต่อมาฮั่วเฮ่อฉีจึงสั่งให้ฟ่านจื่อพาน้องสาวไปส่งยังที่พัก ท่าทางผ่อนคลายของฮั่วเฮ่อฉีก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาขออนุญาตรวี่เยว่ ก่อนกางม่านพลังป้องกันไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป จากนั้นจึงเอ่ยเรื่องสำคัญ “รวี่เยว่ข้ามีเรื่องสำคัญต้องบอกเจ้า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรง ข้าเองไม่แน่ใจ ว่าเจ้าเคยรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคำพยากรณ์สำคัญ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือไม่” “หากเป็นเรื่องนี้ข้าพอรู้อยู่บ้างเจ้าค่ะ” รวี่เยว่ไม่คิดปิดบัง ในเมื่อชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาก่อนแบบนี้ แสดงว่าเขาต้องรู้หรือได้ยินอะไรมา ทั้งคู่หารือกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงออกไปพบชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยาด้วยกัน …ตำหนักรับรองริมทะเลสาบ โถงรับรองส่วนตัวในเรือนพักชินอ๋อง คำพยากรณ์ซึ่งเกี่ยวพันกับรวี่เยว่ ถูกถ่ายทอดให้อวี้เหวินเทียนหยาฟังจากปากของฮั่วเฮ่อฉี อีกทั้งเรื่องนี้โยงใยไปถึงความขัดแย้งระหว่างสองอาณาจักร หากสำนักกระบี่สวรรค์คิดทรยศอาณาจักรอู๋ซาง ไปเข้าฝ่ายอาณาจักรหวงซาอย่างที่คาดไว้จริง เช่นนั้นก็มิอาจนิ่งเฉย เพ
บทที่ 55/1 หารือ เรือนกายสูงสง่าของฮั่วเฮ่อฉีก้าวเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยลูกสุนัขสีขาวเจ้าประจำ มันตรงดิ่งไปหาแมวสีเข้มที่ย้ายตัวเอง ไปนอนเอกเขนกอยู่บนตั่งอย่างคุ้นเคย “รวี่เยว่ของข้า สบายดีหรือไม่ ช่วงนี้พี่ชายถูกพวกตัวยุ่งจากตำหนักเทพอนันต์รั้งตัวไว้ เลยปลีกตัวมาหาไม่ได้ คิดถึงเจ้าใจแทบขาด” มาถึงปุ๊บก็รีบเอ่ยวาจาออดอ้อนสาวเจ้าปั๊บ ทำคนฟังเขินอายจนแก้มเนียนใสซับสีระเรื่อ ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังถือวิสาสะ เดินมากอบกุมมือเล็กขึ้นมาแนบอก สบตานางในดวงใจตาหวานซึ้ง คงเพราะเห็นว่าผู้ปกครองของหญิงสาว ไม่ได้มีท่าทีกีดกันเขาอีกต่อไป ฮั่วเฮ่อฉีเลยเดินหน้าเต็มกำลัง เพื่อพิชิตหัวใจของรวี่เยว่อย่างเปิดเผยมากขึ้น “พี่ชาย ท่านทำข้าใจสั่นไปหมดแล้วเจ้าค่ะ” รวี่เยว่ยังคงใสซื่อเรื่องความรักไม่ปลี่ยน รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น จนอีกคนที่ยืนอยู่หลังประตู ยกมือขึ้นมาประกบแก้มหัวเราะคิกอยู่ในใจ ‘ข้าชอบนางยิ่งนัก นางน่ารักเหลือเกิน’ ถ้อยคำอันใสซื่อของรวี่เยว่ ประดุจน้ำทิพย์ชโลมหัวใจของชายหนุ่ม เขายินดีเป็นล้นพ้นยามได้ยินว่านางใจสั่น ‘นางเริ่มมีใจให้ข้าแล้ว!’ ฮั่วเฮ่อฉีหัวใจลิงโลด อยากจะ
บทที่ 54/2 อย่าทำให้ข้าโมโห จากนั้นก็ลงมือทุบตีจิกข่วน จนใบหน้าของวั่งเฉาบวมเป่งกลายเป็นหัวหมู ผ่านไปครู่หนึ่งโส่วจินจึงลากร่างอันบอบช้ำของ ของเล่นชิ้นใหม่ เอ้ย นักโทษคนใหม่ ไปแยกขังไว้ในห้องข้างๆ ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น หวังเหลียงเดินกระสับกระส่าย วนไปวนมาอยู่หน้าจวนแม่ทัพปราบทักษิณ มารดาของเขากับจูหมัวมัวออกมาพบต้าอ๋องตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย จนถึงบัดนี้ทั้งคู่ยังไม่กลับจวน ทหารที่เฝ้าประตูกลับออกมาพร้อมพ่อบ้าน กล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าและจูหมัวมัว ออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวานแล้ว ซึ่งถือเป็นความจริงไม่ได้โกหกเลยสักนิดเดียว หญิงชราถูกส่งไปหอโอสถเยว่เสียง ส่วนร่างไร้วิญญาณของจูหมัวมัวถูกพาไปทิ้งยังป่าอสูรในเวลาเดียวกัน ส่วนคนขับรถม้าอย่างฝานจื่อหรือหม่าฝาน ก็กลับมายังคฤหาสน์ตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า นางบอกให้เขากลับมารอรับหวังเหลียงตอนเลิกงานเหมือนทุกวัน นางกับจูหมัวมัวจะหารถม้ากลับคฤหาสน์เอง เพราะต้องใช้เวลาในการสนทนากับต้าอ๋องค่อนข้างนาน หวังเหลียงเดินกลับขึ้นรถม้า ในอกเต็มด้วยความวิตกกังวล มารดาของเขาหายตัวไป หลังมาขอพบต้าอ๋อง เรื่องนี้ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ อยากจะถามไถ่มาก
บทที่ 54 อย่าทำให้ข้าโมโห วั่งเฉาละล่ำละลักเอ่ยวาจา เตรียมปลดปล่อยพลังธาตุ…ทว่ากลับไร้ปฏิกิริยาใดๆ พลังธาตุวารีระดับเจี๋ยตันขั้นสมบูรณ์ปลายยอดระดับคอขวด ถูกกดข่มไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่งบางอย่าง ชายวัยกลางคนตื่นตระหนกจนแทบจิตหลุด มองหญิงสาวราวเห็นภูตผี ใบหน้าของเขาซีดขาวมิต่างจากกระดาษ ในแววตาเต็มไปด้วยความสับสนระคนหวาดกลัว ในมหาพิภพทงเทียนเหอ สิ่งที่สามารถกดข่มพลังธาตุของนักพรตคนอื่นๆได้ในบัดดล มีเพียงสองประการ ประการแรกคือ เขตแดนแห่งแสงพิสุทธิ์ของผู้ครอบครองธาตุแสงระดับหยวนอิงขึ้นไป และประการที่สอง พลังที่อยู่เหนือมวลมนุษย์ทั้งปวง ทวยเทพ! ถึงแม้หญิงสาวเบื้องหน้าจะมีตบะระดับหยวนอิง หากแต่นางหาใช่เผ่ามนุษย์สายเลือดสัตว์เทพเหมือนเช่นเชื้อพระวงศ์ของตำหนักเทพอนันต์ จะมีเขตแดนแห่งแสงพิสุทธิ์ได้อย่างไร เรื่องที่นางมีธาตุมืดนั่นก็น่าเหลือเชื่อจนทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว “เจ้าเป็นใครกันแน่! เจ้าไม่ใช่หวังลี่ถิง แต่เป็นตัวปลอมใช่หรือไม่!” วั่งเฉาตกอยู่ในความหวาดผวาโพล่งวาจาออกมาขณะก้าวถอยหลัง “ถามมากเสียจริง หนวกหู” เสียงหวานดังขึ้นคล้ายรำคาญก่อนที่จะ… ครืนนน!! ปึ้ก!! แร
บทที่ 53/2 ช่วงเวลาแห่งความสนุก กระต่ายน้อยพองขนขู่ฟ่ออีกรอบ หันมาแหวใส่อีกฝ่ายทันควัน กล่าวว่าตนไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ปีหน้าก็จะปักปิ่นแล้ว ถึงเวลานั้นจะกลับมาท้าเขาแข่งดื่มสุรา ใครแพ้ต้องยอมเรียกอีกฝ่ายว่า ลูกพี่ “ตกลง แล้วข้าจะรอแข่งร่ำสุรากับเจ้า! เตรียมล้างคอไว้ได้เลยอวี้เหวินอิงเอ๋อร์” “ท่านต่างหากที่ต้องเตรียมล้างคอไว้รอ หวงฝู่ฮ่าวอวี่” หลังจากปะทะคารมกันจบ ก็กลับมานั่งกินข้าวกันต่อ ทั้งคู่วางความแค้นลงชั่วคราว แต่กลับมาประลองฝีมือด้วยการแย่งชิงอาหารกันบนโต๊ะแทน รวี่เยว่ถึงกับส่ายหน้าให้กับความซุกซนของทั้งคู่ คืนนั้นองค์ชายใหญ่เสด็จกลับวังด้วยอารมณ์เบิกบานใจอย่างถึงที่สุด เขาไม่ได้สนุกเช่นนี้มานานแล้ว กงกงประจำตำหนักรีบไปรายงานจ้าวกุ้ยเฟยเป็นการเร่งด่วน องค์ชายใหญ่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทางด้านรวี่เยว่หลังจากส่งกระต่ายน้อยพุงโตถึงเรือน นางก็แวะไปดูสภาพของเล่นใหม่ที่ต้าอ๋องส่งมาให้ตามคำขอ ภายในคุกใต้ดินเวลานี้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง บนร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยรอยตะปบ จากกรงเล็บของเสี่ยวเฮยมาว หญิงชรานั่งขดตัวกลม ยกมือปิดหน้าร้องไห้คร่ำครวญขอชีวิตปานขาดใจ ทว่าเสียงที่เ