จางฮูหยินช่วยจางอวิ๋นซีแต่งตัวให้งดงามที่สุด เพื่อร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพของหานไทเฮาในค่ำคืนนี้ ชุดพระราชทานที่ไทเฮาทรงพระราชทานมาให้นั้น เนื้อผ้าถูกตัดเย็บอย่างดีจากช่างฝีมือเลื่องชื่อของอินเดีย เป็นผ้าไหมที่เนื้อดีและนิ่มที่สุดที่เคยได้รับพระราชทานมา อีกทั้งปิ่นหยกสลักลวดลายบุปผางดงามวิจิตรยิ่งนัก
ทรงผมของจางอวิ๋นซีถูกรวบครึ่งศีรษะ เรือนผมส่วนบนนั้นถูกรวบขึ้นเป็นมวยสูงประดับด้วยหวีเสียบผมรูปดอกบัวสีชมพู ส่วนเรือนผมส่วนล่างนั้นถูกปล่อยยาวสยายลงมาระกับชุดฮั่นฝูสีชมพูพระราชทาน แค่เพียงเท่านั้นกลับทำให้จางอวิ๋นซีงดงามอย่างยิ่ง งดงามดั่งจะหาสตรีใดเทียบ แม้แต่หรูหรงก็ยังอดชมเจ้านายของตนเองไม่ได้
“คุณหนูงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ ยิ่งสวมชุดพระราชทานจากไทเฮาด้วยแล้ว คุณหนูยิ่งงดงามนัก” หรูหรงกล่าวชมขณะกำลังแต้มชาดให้กับอีกฝ่าย จางฮูหยินคลี่ยิ้มหวานอย่างพึงพอใจ
“ไปร่วมงานคราวนี้ เจ้าต้องทำตนให้เรียบร้อยอย่าได้ทำตนเยี่ยงที่พวกชาวบ้านเขาลือกันล่ะลูก ไม่เช่นนั้นพ่อของเจ้าอาจทำโทษเจ้าได้” จางฮูหยินลูบหัวบุตรสาวด้วยความเอ็นดู จางอวิ๋นซียิ้มรับคำของมารดา หญิงสาวกุมมือของผู้เป็น
มารดาแทนการรับปาก
“ท่านแม่ ท่านก็ทราบดี...นับตั้งแต่ข้าฟื้นจากไข้คราวนั้นข้าก็เปลี่ยนไปราวกับมิใช่คนเดิมที่ท่านรู้จัก แต่ไม่ว่าจะเป็นข้าในอดีตหรือตอนนี้ ข้าก็ยังเป็นลูกของท่านแม่เหมือนเดิม และจะไม่ยอมให้ใครมารังแกท่านแม่อีกแล้ว” จางฮูหยินซาบซึ้งในคำกล่าวของบุตรสาวยิ่งนัก นางรู้ดีว่าบุตรสาวในยามนี้แข็งแกร่งเพียงใด แม่หญิงที่วาจาหาญกล้าต่อปากต่อคำกับพวกฝรั่งแขนลายนั้นก็คือจางอวิ๋นซี หากแต่คราวนั้นโชคดีได้หานอ๋องไท่หยางช่วยเอาไว้ มิเช่นนั้นชื่อเสียงของบุตรสาวนางคงได้ป่นปี้และจางเยี่ยนกับฮูหยินรองอาจหาทางรังแกจางอวิ๋นซีไม่มีที่สิ้นสุด
“แม่รู้จ้ะ แต่แม่ก็เป็นห่วงเจ้ามากกว่า แม่ไม่อยากให้เจ้ามาเดือดร้อนเพราะแม่”จางฮูหยินเอ่ย
จางอวิ๋นซีนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน “ท่านแม่เจ้าคะ ถ้าหากเรื่องที่เขาลือกันว่าไทเฮากับฝ่าบาทจะคัดเลือกพระชายาให้ท่านอ๋องแต่ละองค์ หากสตรีคนนั้นเป็นข้าข้าควรทำเช่นไรดี”
หรูหรงกับจางฮูหยินมองหน้ากัน แววตาและสีหน้าของพวกนางแสดงความกังวลอย่างฉายชัด จางฮูหยินถามบุตรสาวเสียงอ่อน
“เจ้าไม่อยากแต่งงานหรือ?”
จางอวิ๋นซีพยักหน้าให้มารดาแทนคำตอบ
จางฮูหยินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางกล่าว
“หากเป็นสมรสพระราชทาน เจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ด้วยอาจมีโทษเป็นกบฏ แต่หากเจ้าไม่อยากแต่งแม่ก็อยากให้เจ้าตัดสินใจให้ดี”
จางอวิ๋นซีคอตก หญิงสาวไม่อยากคาดคิดหากฮ่องเต้หรือไทเฮาหรือแม้แต่ฮองเฮามอบสมรสพระราชทานให้ นางจะทำเช่นไรเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงาน การที่นางข้ามภพมาในยุคนี้ก็เพื่อสืบหาคนร้ายตัวจริงที่ฆ่าจางอวิ๋นซีคนก่อน ไม่ใช่มาแต่งงานเพื่อการเมืองอะไรแบบนี้
จางฮูหยินลูบใบหน้าของบุตรสาว ใบหน้าของฮูหยินเอกแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานงดงาม
“แต่แม่อยากให้เจ้าลองตัดสินใจอีกที ทว่าตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำคือรีบไปขึ้นเกี้ยวเข้าวังเถิด อีกไม่กี่เค่องานก็จะเริ่มแล้ว และอย่าลืมเสียล่ะว่ามารยาทที่แม่สอนเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์เชื้อพระวงศ์นั้นสำคัญอย่างไร” จางฮูหยินกำชับบุตรสาวอีกครั้ง
“เจ้าค่ะท่านแม่” จางอวิ๋นซียิ้มตอบ
พ้นร่างของจางฮูหยินไปแล้ว จางอวิ๋นซีหยิบปิ่นปักผมพระราชทานจากไทเฮาส่งให้หรูหรง นางเตรียมแผนการเอาไว้ในใจที่จะฉีกหน้าจางเซียวหรูเรียบร้อยแล้ว
“หรูหรง เจ้าไปจัดการตามที่ข้าสั่ง...” จางอวิ๋นซีกระซิบแผนการบางอย่างกับหรูหรง ทั้งสองนายบ่าวยิ้มให้แก่กันอย่างรู้ใจ
เกี้ยวของจวนสกุลจางมาถึงบริเวณพระราชวังหลวงแคว้นหานภายในเวลาไม่นาน ไท่ฮูหยินเดินลงจากเกี้ยวมาพร้อมกับจางอวิ๋นซีและจางเซียวหรู ส่วนใต้เท้าจางเยี่ยนนั้นเดินลงมาพร้อมจางฮูหยินซึ่งเป็นฮูหยินเอกและฮูหยิน รองหลี่
“น้องพี่!”หลิวฮองเฮาเดินออกมาต้อนรับจางฮูหยินและสมาชิกในครอบครัวอย่างอบอุ่น
“ถวายพระพรไทเฮา ฮองเฮา” ทั้งหมดถวายพระพรหลิวฮองเฮาและหานไทเฮากันอย่างงดงาม
“ตามสบายเถิดๆ” หานไทเฮายิ้มให้อย่างเป็นกันเอง พระนางทรงทอดพระเนตรจางอวิ๋นซีซึ่งวันนี้แต่งกายงดงามยิ่งนัก ทรงเดินเข้ามาจับมือของอีกฝ่ายด้วยความสนิทสนม จนจางอวิ๋นซีทำตนไม่ถูกนัก
“ถ...ถวายพระพรเพคะฮองเฮา ไทเฮา” จางอวิ๋นซีฉีกยิ้มอ่อนหวานให้กับทั้งสองพระองค์ สายพระเนตรที่ทั้งสองพระองค์มองมายังนางนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเมตตาอย่างชัดเจน นางรู้สึกได้ถึงพระเมตตาจากทั้งสองพระองค์จริงๆ
“ไทเฮา หม่อมฉันจางอวิ๋นซีขอถวายพระพร ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
มีพระพลานามัยแข็งแรงเพคะ” จางอวิ๋นซีประสานมือก้มศีรษะถวายพระพรให้กับผู้อาวุโสสูงสุดแห่งราชสำนัก ทั้งหานไทเฮาและหลิวฮองเฮาหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ
“เอาเถิดๆ จ้ะ สำหรับข้าแล้วเจ้าก็มิใช่คนอื่นคนไกล เป็นลูกเป็นหลานของข้าทั้งนั้น” หานไทเฮาทรงยิ้ม จางอวิ๋นซียืนก้มหน้ายิ้มรับอ่อนๆ
จางเซียวหรูยืนกอดอกอย่างไม่ชอบใจ นางบุ้ยหน้าหันไปทางอื่น แต่ทว่าจางอวิ๋นซีกลับไม่ได้ให้ความสนใจนัก จางเซียวหรูจึงถูกมารดาอย่างหลี่ฮูหยินเอ็ดเบาๆ นางจึงยอมยืนสงบนิ่งเรียบร้อยตามที่ถูกอบรมมา
“จะอะไรกันนักหนานะเจ้าคะท่านแม่” จางเซียวหรูกระซิบกับหลี่
ฮูหยินกันเพียงสองคน นางมองจางอวิ๋นซีด้วยความริษยาก่อนที่สายตาของนางจะเห็นหานอี้หรืออ๋องใหญ่เดินออกมาต้อนรับอีกผู้หนึ่ง
จางเซียวหรูเดินเข้าไปทักทายหานอี้อย่างรวดเร็ว
“ถวายพระพรท่านอ๋องใหญ่เพคะ” จางเซียวหรูเดินเข้าไปย่อกายถวายพระพรหานอี้อย่างรวดเร็ว
หานอี้ที่สายตาจับจ้องแต่จางอวิ๋นซี หาได้หันมามองจางเซียวหรูที่ตั้งใจแต่งกายงดงามเพื่อเขาเลยแม้แต่น้อย
“ตามสบายเถิด...” หานอี้กล่าวเพียงสั้นๆ อ๋องหนุ่มปลีกตัวจากจางเซียวหรูเดินมาหาจางอวิ๋นซีและไท่ฮูหยิน
“ถวายพระพรฮองเฮา เสด็จย่า...” องค์ชายใหญ่หรือหานอ๋องประสานมือโค้งคำนับต่อเชื้อพระวงศ์ทั้งสองพระองค์ ก่อนจะหันไปคำนับไท่ฮูหยินหนึ่งครั้ง
“ถวายพระพรเพคะท่านอ๋องใหญ่” จางอวิ๋นซีเรียกสรรพนามของอีกฝ่ายตามจางเซียวหรู ใบหน้าของนางแสดงความเก้อเขินเมื่อเจอกับหานอี้ซึ่งส่งรอยยิ้มชวนละลายใจมาให้นาง
แม้ว่าหานอี้จะไม่หล่อคมเข้มแบบหานไท่หยาง แต่กลับดูสำอางค์และดูแลตนเองยิ่งนัก ใบหน้านั้นหล่อเหลาละมุนชวนน่ามองรับกับรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ รอยยิ้มที่สามารถพิฆาตนารีและชวนให้สตรีเพศทั้งหลายต่างหลงใหลในความหล่อเหลาชวนละมุนนี้ได้
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาถึงเร็วเพียงนี้ เชิญเข้ามาก่อนเถิด”
หลิวฮองเฮาทรงกุมมือของจางอวิ๋นซีต่อหน้าหานอี้
“เดี๋ยวนางจะเข้างานไปพร้อมกับข้าและไทเฮา เจ้าไปดูแลความเรียบร้อยเถิดอ๋องใหญ่” หลิวฮองเฮายิ้มอย่างมีเลศนัยบางอย่าง
จางเซียวหรูเห็นเป็นโอกาสของตนเอง จึงถือโอกาสเดินเข้ามาคล้องแขนของหานอี้อย่างสนิทสนม
“ไปกันเถิดเพคะท่านอ๋องใหญ่ หม่อมฉันอยากเข้าเฝ้าหยางเต๋อเฟยเพคะ” จางเซียวหรูแสร้งฉีกยิ้มหวานสดใสให้กับหานอี้ นางกึ่งลากกึ่งเดินพาหานอี้เข้าวังอย่างรวดเร็ว การกระทำเช่นนี้ทำให้หลิวฮองเฮาทรงคิดถูกนักที่ไม่อยากให้นางมาเป็นพระชายาเอกของหานไท่หยาง เพราะหากนางมาเป็นพระชายาเอกของบุตรชาย วังของหานไท่หยางคงไม่มีวันสงบสุขเป็นแน่
จางอวิ๋นซีนึกไม่ถึงว่ายามนี้จางเซียวหรูจะทำตนไม่มีมารยาทยิ่งนัก แต่นั่นก็ยิ่งดีสำหรับหญิงสาว การให้จางเซียวหรูแสดงพฤติกรรมที่ไร้มารยาทเช่นนี้ต่อเบื้องพระพักตร์ จะเป็นการทำให้คะแนนนิยมในสายตาของหลิวฮองเฮาและหานไทเฮาดูยิ่งแย่ไปอีก
ในขณะที่จางอวิ๋นซีพยายามซ่อนนิสัยอย่างม้าดีดกะโหลกเอาไว้ แต่จางเซียวหรูกลับจงใจเปิดเผยนิสัยออกมาต่อหน้าสาธารณชน
“เราเข้าไปด้านในกันเถิด...” หานไทเฮาทรงกล่าวชวนแล้วเดินนำเข้างานไป
งานเลี้ยงวันพระราชสมภพของไทเฮาเริ่มต้นขึ้น ดอกบัวหลากสีสันถูกจัดเรืองแสงอยู่ในสระบัวหลวง ส่องประกายงดงามยามค่ำคืน ก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มอย่างจริงจัง เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์และองค์ชายแต่ละองค์ซึ่งถูกพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นอ๋อง ต่างประทับที่นั่งประจำตำแหน่งของตนเอง
“ท่านแม่ นั่นท่านอ๋องหานไท่หยางนี่เจ้าคะ” จางเซียวหรูมองหานไท่หยางที่เดินผ่านไปด้วยความตื่นเต้น
“แรด...” จางอวิ๋นซีจงใจสบถออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน จางเซียวหรูหันมา
มองน้องสาวต่างมารดาตาขวาง
“เจ้าจงใจว่าข้าหรือ?” จางเซียวหรูจับไหล่ของจางอวิ๋นซีให้มาเผชิญหน้ากับนาง ตอนนี้ใบหน้าและแววตาของจางอวิ๋นซีมีแต่ความไม่กลัวเกรงผู้ใดทั้งสิ้น
จางอวิ๋นซียักคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มที่มองดูแล้วกำลังกวนประสาทนัก “ข้าแค่พูดของข้า พี่หญิงใหญ่ไม่เห็นต้องเดือดร้อนเลยนี่เจ้าคะ อีกอย่างคำว่าแรดเนี่ยไม่ใช่คำด่านะเจ้าคะ แต่เป็นคำที่เอาไว้เรียกสัตว์กันต่างหากล่ะ”
หญิงสาวยักคิ้วหนึ่งข้างอย่างผู้อยู่เหนือกว่าพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากเป็นเชิงเยาะเย้ย
จางเซียวหรูกำลังจะตอบโต้จางอวิ๋นซี แต่จางเยี่ยนผู้เป็นบิดาได้มองปรามเอาไว้ก่อน นางจึงยอมสงบลงและเก็บทุกความแค้นเอาไว้ในใจ หากวันใดนางได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท จางอวิ๋นซีเป็นคนแรกที่นางจะคิดบัญชีแค้นให้สาสม!
หานไท่หยางและอ๋ององค์อื่นๆ ถวายความเคารพต่อหานไทเฮา หานฮ่องเต้และหลิวฮองเฮา รวมถึงพระสนมเอกองค์อื่นๆ แห่งวังหลังด้วยความเคารพก่อนจะแยกย้ายกันนั่งประจำที่นั่งของตนเอง แม้ว่าที่ประทับตำแหน่งรัชทายาทจะยังว่างอยู่ แต่ทว่าตอนนี้ฮองเฮามีโอรสองค์เดียวคือหานไท่หยางที่มีสิทธิ์นั่งที่ประทับของตำแหน่งรัชทายาทได้ ส่วนอ๋ององค์อื่นๆ นั้นนั่งตามที่นั่งลำดับของมารดาตนเอง
เนื่องด้วยพระสนมยศสูงสุดในฝ่ายในขณะนี้คือหยางเต๋อเฟย หานอี้จึงสามารถนั่งที่นั่งลำดับถัดมาจากหานไท่หยางได้อย่างไม่ต้องกังวลสิ่งใด
หานไท่หยางรินสุราใส่จอก ก่อนจะยืนขึ้นและยกจอกสุราหันไปทางหานไทเฮา ทั้งขุนนางและทุกคนที่มาร่วมงานเองก็เช่นกัน
“เนื่องในวันพระราชสมภพของเสด็จย่า กระหม่อมขอเป็นตัวแทนเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ ขอถวายพระพรให้เสด็จย่าทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง มีพระชนมายุยืนยาวพะยะค่ะ” หานไท่หยางกล่าวถวายพระพรเสียงดัง หานไทเฮาทรงยกจอกสุราดื่มพร้อมกับทุกคนเพื่อความเป็นสิริมงคล
หานฮ่องเต้ทรงไม่สบายพระทัยนัก ยามเห็นพระพักตร์ของบุตรชายคนรองซึ่งมองข้ามพระองค์อย่างชัดเจน ทรงไม่คิดโกรธเคืองหานไท่หยาง แต่ทว่าทรงเสียพระทัยที่ไม่อาจชดเชยช่วงเวลาของบุตรชายที่เสียไป ทรงหันไปมองใบหน้านิ่งขรึมและแววตาแฝงไปด้วยความอำมหิตของหานไท่หยางด้วยความรู้สึกเสียใจ
หลิวฮองเฮาทรงเข้าพระทัยดีว่าพระสวามีทรงคิดอ่านเช่นไร ทรงกล่าวปลอบ “ฝ่าบาทเพคะ ให้เวลาลูกสักหน่อยเถิด ลูกกลับมาอยู่เมืองหลวงคราวนี้ฝ่าบาทจะได้ใช้เวลาอธิบายทุกอย่างให้ลูกฟัง”
“แต่ว่าข้า...”
หลิวฮองเฮาทรงยิ้มพลางเอ่ยขัด “วันนี้วันมงคลของเสด็จแม่ เราหยุดพูดเรื่องนี้กันเถิดเพคะ”
จู่ๆ หลิวฮองเฮาทรงกล่าวขึ้นมา
“เนื่องในวันนี้เป็นวันพระราชสมภพของเสด็จแม่ ข้าได้ยินมาว่า
หลานสาวข้าจางอวิ๋นซี นางได้เตรียมการร่ายรำมาถวาย จึงอยากให้นางได้ออกมายืนแสดงการร่ายรำต่อเบื้องพระพักตร์เถิด” หลิวฮองเฮาทรงทอดพระเนตรจางอวิ๋นซีที่นิ่งอึ้ง!
รำบ้าบออะไรกัน? ไม่เห็นมีใครบอกฉันสักนิด!...จางอวิ๋นซีคิดในใจ เมื่อสักครู่นางเกือบสำลักสุราจอกที่ดื่มเข้าไป
“ไม่กล้ากระมังเพคะ...” จางเซียวหรูจงใจเอ่ยเสียงดังให้น้องสาวต่างมารดาอับอายด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
นางหันไปกระซิบกับหรูหรง “ต้องรำแบบไหน?”
“ทุกๆ ปี คุณหนูจะเตรียมการร่ายรำมาถวายเองเลยเจ้าค่ะ” หรูหรงตอบ
จางอวิ๋นซีเอามือกุมหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม หากรู้ว่าจะต้องมีการแสดงมหรสพรื่นเริงแบบนี้ นางจะรีบเตรียมการแสดงมาล่วงหน้าเลย ไม่ต้องมานั่งคิดสดแบบนี้แน่ ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มใจ!
“ออกไปสิ!” จางเยี่ยนกล่าวกับบุตรสาวด้วยสีหน้าแกมตำหนิ จาง อวิ๋นซีไม่มีทางเลือก นางจึงยอมออกไปยืนเก้ๆ กังๆ อยู่บริเวณลานหินอ่อน ที่กำลังจะใช้เป็นเวทีสำหรับนางรำหลวง แต่สำหรับการร่ายรำของนางนั้นถือเป็นการร่ายรำชุด
พิเศษที่หรูหรงบอกว่านางมักรำถวายไทเฮาทุกปี
สายตาคมปลาบของหานไท่หยางมองจางอวิ๋นซีไม่วางตา อาภรณ์อันงดงามที่นางสวมใส่ในวันนี้ ทำให้นางที่ปกติงดงามเป็นนิจอยู่แล้วกลับงดงามมากขึ้นไปอีก จากปกติที่เขามองนางเป็นเพียงสตรีธรรมดา ใบหน้าเศร้าหม่น แต่วันนี้เขากลับได้มองนางใหม่อีกครั้ง เป็นนางที่งดงามสะกดยิ่งนัก
จางอวิ๋นซียืนด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่บริเวณลานหินอ่อนเบื้องพระพักตร์เชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย มีหานอี้ที่ส่งสายตาและรอยยิ้มหวานมีเสน่ห์มาให้ ก่อนที่นางจะเห็นสายตาดุของหานไท่หยางที่มองนางไม่วางตาเช่นกัน หญิงสาวรู้สึกประหม่ายิ่งนักยามต้องอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ แล้ววันนี้เธอจะต้องมายืนเต้นรำในงานนี้อีก แทบจะบ้าตาย! เธอจับแต่มีด เจอแต่น้ำหนองและเลือดเนื้อ เคยแสดงในงานรื่นเริงแบบนี้ที่ไหนกัน!
“ท่านพ่อ หรือว่าน้องหญิงจะป่วยดั่งคำร่ำลือจริงๆ เจ้าคะ” จางเซียวหรูแสร้งเอ่ยเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน หานฮ่องเต้ทรงถามจางเยี่ยน
“นางป่วยหรือใต้เท้าจาง” หานฮ่องเต้ทรงถามขุนนางอาวุโส
จางเยี่ยนลุกขึ้น ประสานมือกราบทูลด้วยท่าทีตื่นตระหนก “พะยะค่ะ นับตั้งแต่วันที่บุตรสาวคนเล็กหายตัวไปจากบ้าน นางก็...”
จางอวิ๋นซีที่ยืนอยู่ลานหินอ่อนตรงกลาง นางมองจางเซียวหรูที่ลอบยิ้มกับมารดาด้วยความสะใจ พวกนางคงสะใจมากที่เห็นผู้คนมากมายที่เห็นเหล่าเชื้อพระวงศ์เริ่มมีคำถามกับตัวนางมากมาย
มาดูถูกแม่แบบนี้ เดี๋ยวแม่จะเอาให้อึ้งกันทั้งตำบลเลยคอยดูสิ!
จางอวิ๋นซีกล่าวแทรกแทนบิดากับหานฮ่องเต้
“ทูลฝ่าบาท ที่ท่านพ่อกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันถูกเล่ห์กลของคนชั่วหลอกลวงไปหวังทำร้าย...” จางอวิ๋นซีกล่าว นางมองสองแม่ลูกหลี่ฮูหยินกับจางเซียวหรูชั่วขณะหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก จางเซียวหรูเริ่มตัวสั่นด้วยเกรงว่าจางอวิ๋นซีจะรู้ความจริง
อันที่จริงเรื่องการทำร้ายจางอวิ๋นซีคนเก่านั้นเดาได้ไม่ยากเลย แต่เธอต้องการหาหลักฐานที่จะกระชากสองแม่ลูกนั้นให้ดิ้นไม่หลุด!
“ใครกันที่ลอบทำร้ายเจ้า บอกเรามาเราจะสั่งให้สืบสวนเรื่องนี้ถึงที่สุด!” หานไทเฮาทรงกล่าวเสียงดัง เข้าทางจางอวิ๋นซีนัก
“ทูลไทเฮา ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาเพคะ หม่อมฉันกับมารดาเป็นผู้น้อย แม้มารดาจะเป็นฮูหยินเอกแต่บิดาก็มิใคร่ไยดีหม่อมฉันกับมารดานัก หม่อมฉันกับมารดาอยู่มาได้ เพราะน้ำพระทัยอันเมตตาของฮองเฮาและไทเฮา...” จางอวิ๋นซีแสร้งทำตนให้น่าสงสารท่ามกลางเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย
หานไท่หยางวางจอกสุราลงแล้วฟังเรื่องที่นางเล่าด้วยความสนใจ
“เจ้าว่ากระไรนะ ที่เจ้าหายไปจนผู้คนร่ำลือกันเพราะใต้เท้าจางอย่างนั้นหรือ” หลิวฮองเฮาทรงมองจางเยี่ยนตาขวาง
จางอวิ๋นซียังคงตีหน้าเศร้าต่อไป “เพคะ หม่อมฉันไม่อาจมีอะไรเทียบพี่หญิงใหญ่ได้เลย บิดาจึงไม่ใคร่โปรดปรานนัก หม่อมฉันกับมารดาถูกรังแกบิดาก็ไม่ใคร่สนใจ บิดาคงคิดว่ามารดาของหม่อมฉันแต่งงานโดยสมรสพระราชทาน จึง...”
จางอวิ๋นซีรู้เรื่องการแต่งงานของจางฮูหยินกับจางเยี่ยนดี ด้วยหรูหรงเคยเล่าต่อนางเอาไว้ว่าทั้งสองนั้นแต่งงานกันเพราะสมรสพระราชทานของอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อน เนื่องจากหลิวฮองเฮาผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องได้อภิเษกเป็นพระชายาเอกของรัชทายาทหานเหวินชิง และหลังจากอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ หานเหวินชิงจึงขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป จางฮูหยินจึงมีสถานะเป็นฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกันใต้เท้าจาง มิใช่เพราะท่านละเลยต่อหน้าที่ความเป็นบิดา จึงทำให้บุตรสาวประสบอันตรายหรอก
หรือ?” หลิวฮองเฮาทรงไม่พอพระทัยนัก
จางฮูหยินกับไท่ฮูหยินนึกประหวั่นพรั่นพรึงในใจ นางกลัวว่าจาง อวิ๋นซีอาจต้องโทษ หากกล่าววาจาเช่นนี้
“อะ เอ่อ คือว่า...” จางเซียวหรูกำลังจะกล่าวแย้ง แต่ทว่าหลี่ฮูหยินปรามบุตรสาวเอาไว้
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!” หานฮ่องเต้ทรงกล่าวเสียงดัง ทุกคนจึงนิ่งสงบตั้งใจฟัง
“เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่นัก ถ้านับตามลำดับศักดิ์ของเจ้าแล้วเจ้าก็มีสถานะเป็นท่านหญิงของราชวงศ์ การคิดปองร้ายต่อเจ้านั้นย่อมต้องมีโทษสถานหนักทีเดียว” หานฮ่องเต้ทรงกล่าว
“หม่อมฉันเกรงว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะเพคะ...” จางเซียวหรูตื่นตระหนก นางเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ถ้าเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เจ้ากล่าวมาสิจางเซียวหรู” หลิวฮองเฮาทรงตรัสถามด้วยสายพระเนตรเย็นชา
จางเซียวหรูที่เผลอตัวกล่าวออกมา นางจำเป็นต้องมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้
อยากจะฉีกหน้าฉัน รอไปอีกแสนล้านปีเถอะ จางอวิ๋นซีคิด
จางเซียวหรูอ้ำอึ้ง เพลานี้นางราวกับคนน้ำท่วมปาก หากนางกล่าวผิดแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ หลี่ฮูหยินก็จนปัญญาจะกล่าว
“ไทเฮาทรงพระเจริญ หม่อมฉันไม่ทราบว่าควรหรือไม่ที่จะกราบทูลเรื่องบางอย่าง” จางอวิ๋นซียังสวมบทตีหน้าเศร้าเช่นเดิม หานไท่หยางเห็นแล้วอยากจะกระชากหน้ากากที่แสนน่าสงสารนั้นออกนัก
สตรีมากเล่ห์ร้อยมารยาเช่นนี้ หากใครได้แต่งเป็นภรรยาคงมีแต่ทุกข์สถานเดียว!
“เจ้าว่ามา...หรือเจ้าจะรู้เรื่องที่ใครลอบทำร้ายเจ้า เจ้าเป็นหลานสาวของฮองเฮาก็เหมือนกับเป็นลูกหลานข้าด้วย ไม่ว่าเรื่องอันใดข้าย่อมช่วยเจ้าได้” หานไทเฮาทรงเอ่ยพระสุรเสียงจริงจัง
จางอวิ๋นซีย่อกายเพียงนิด “ขอบพระทัยที่ทรงพระเมตตา แต่เมื่อสองสามวันก่อน หลังจากที่หม่อมฉันหายตัวไป มีของสำคัญบางอย่างเพคะที่หายไปเช่นกัน และอาจเป็นเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุมตัวคนร้าย”
“เจ้าว่ามา หลานข้า” หลิวฮองเฮาทรงถาม
“หลังจากที่หม่อมฉันฟื้นขึ้น ก็พบว่ามีของสำคัญที่ไทเฮาทรงพระราชทานให้หม่อมฉันหายไปเพคะ หม่อมฉันใช้เวลาเกือบหนึ่งวันจนกระทั่งวันนี้พึ่งหาเจอเพคะ เป็นปิ่นปักผมทองที่ทรงเคยพระราชทานให้หม่อมฉัน...” จางอวิ๋นซีหันไป
มองหรูหรงซึ่งเตรียมพร้อมตามแผนการนานแล้ว
“ปิ่นปักผมนั้นเป็นของสำคัญที่ข้ามอบให้เจ้า ผู้ใดลักขโมยไปนั้นก็มีความผิดยิ่งนัก...เจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด” หานไทเฮาทรงถาม
จางอวิ๋นซีชี้นิ้วไปที่จางเซียวหรู อีกฝ่ายตกใจตัวสั่น
“เจ้ามาชี้นิ้วใส่ร้ายข้าได้อย่างไร?!” จางเซียวหรูโวยวายขึ้นมา
“ที่นี่คือวังหลวง หาใช่ตลาดสดที่เจ้าจะทำพฤติกรรมเยี่ยงนี้!”
หานไทเฮาทรงตวาดใส่จางเซียวหรู
จางเซียวหรูนางไม่นึกฝัน ว่าวันนี้นางจะต้องโดนจางอวิ๋นซีชี้นิ้วใส่ร้าย “ทรงต้องให้ความเป็นธรรมนะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้เรื่อง!”
“ซีเอ๋อร์ เจ้ากล่าวสิ่งใดออกมา รู้ตัวหรือไม่?!” จางเยี่ยนชี้นิ้ว ยืนตัวสั่นเทิ้มใส่บุตรสาวคนเล็กพลางตวาดเสียงดัง
“หม่อมฉันพิสูจน์ได้เพคะ เมื่อวันก่อนสาวใช้ของหม่อมฉันเล่าว่านางเห็นพี่หญิงใหญ่นำปิ่นปักผมของหม่อมฉันไป ระหว่างที่หม่อมฉันหายตัวไปเพคะ หรูหรง...” หรูหรงก้าวเดินออกมายืนตรงหน้าข้างๆ จางอวิ๋นซี นางหยิบปิ่นปักผมที่อยู่บนห่อผ้าเช็ดหน้าต่อหน้าทุกคน
“แต่ปิ่นปักผมตอนนี้อยู่กับเจ้า แล้วเจ้ามีวิธีอันใดพิสูจน์ว่าพี่สาวเจ้าเป็นคนทำ หากเจ้ากล่าวให้ร้ายนางเจ้าจะมีความผิดสถานหนักเช่นกัน” หยางเต๋อเฟยกล่าวแย้งขึ้นมา
จางเซียวหรูยกยิ้มเล็กน้อย อย่างน้อยหยางเต๋อเฟยก็ยังมองนางแสนดีเช่นเดิม
จางอวิ๋นซียกยิ้ม “พระสนมหยางไม่ต้องกังวลพระทัยไปเพคะ หม่อมฉันมีวิธีพิสูจน์ลายนิ้วมือแฝง ปิ่นนี้มีแค่หม่อมฉันที่เป็นเจ้าของกับหรูหรงที่สัมผัสตอนปักผมของหม่อมฉันเท่านั้น หากมีรอยนิ้วมืออื่นแฝงมารอยนิ้วมือนั้นจะเป็นของคนร้ายเพคะ...”
ได้เวลากรรมตามสนองเธอแล้วนะ จางเซียวหรู...
สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ