“หม่อมฉันขอถ่านหินหนึ่งก้อนและค้อนกับตะแกรงร่อนเพคะ” หานฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ทหารผู้หนึ่งไปจัดเตรียมสิ่งที่จางอวิ๋นซีต้องการมาให้ครบ ทั้งถ่านหินแบบก้อนและค้อนที่นางต้องการถูกนำมาวางบนโต๊ะตรงหน้าแล้ว
หญิงสาวหยิบก้อนถ่านหินขึ้นมาตรวจสอบดูสักครู่หนึ่ง ก่อนจะลงมือใช้ค้อนทุบจนแหลกละเอียดกลายเป็นฝุ่นผงแล้วนำไปร่อนใส่ตะแกรงอีกรอบหนึ่ง เป็นที่น่าสนใจของบรรดาแขกเหรื่อและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายนัก จางอวิ๋นซีจัดการทุบก้อนถ่านหินเหล่านั้นให้กลายเป็นผงละเอียด
“ถ่านหินที่ถูกบดเป็นผงนี้ จะช่วยพิสูจน์ความยุติธรรมของหม่อมฉันได้ ตามตำราโบราณแล้วนั้น การตรวจสอบลายนิ้วมือมักใช้ฝุ่นผงจากถ่านหินเพื่อหารอยนิ้วมือแฝง ถูกต้องหรือไม่เจ้ากรมอาญา” จางอวิ๋นซีหันหน้าไปถามเสนาบดีแห่งกรมอาญา
เสนาบดีแห่งกรมอาญาตอบหานฮ่องเต้ “พะยะค่ะฝ่าบาท กรมอาญาใช้วิธีการนี้ เพื่อตรวจหารอยนิ้วมือแฝงตามเนื้อตัวและสิ่งของต่างๆ พะยะค่ะ”
จางอวิ๋นซีลอบยิ้มชอบใจกับคำตอบของเจ้ากรมอาญานัก
“หากพี่สาวหม่อมฉันเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ ก็ขอให้นางก้าวออกมาเพื่อ
พิสูจน์ความจริงด้วยเถิด หากนางไม่ผิดข้าจะขออภัยต่อนางด้วยการโขกศีรษะ แต่
ว่าหากหม่อมฉันถูกกระทำ การแย่งของพระราชทานไปนั้นเป็นความผิดใหญ่หลวงยิ่ง เท่ากับเป็นการหมิ่นพระเกียรติยศของไทเฮายิ่งนัก”
หานไทเฮากล่าว “เป็นดั่งเช่นนั้นจริง เจ้าก็พิสูจน์ตนเองเถิด หากพี่สาวเจ้าทำเช่นนั้นจริง การลักทรัพย์สิ่งของพระราชทานย่อมได้รับโทษสถานหนักนัก”
เธอใส่ร้ายน้องสาวเธอว่าขโมยอาภรณ์พระราชทานของหยางเต๋อเฟยไป วันนี้ฉันจะให้สิ่งที่เธอมอบกับน้องสาวเธอ สนองคืนเธออย่างสาสมจางเซียวหรู หลี่ฮูหยิน นี่เป็นเพียงเริ่มต้นเท่านั้น จางอวิ๋นซีคิดในใจ
นอกจากนี้จางอวิ๋นซียังได้ขอกระจกใสสำหรับการพิมพ์เพื่อหารอยนิ้วมือ โดยหญิงสาวใช้น้ำจำนวนหนึ่งมาผสมกับผงถ่านจนพอจะขึ้นรูปได้ แล้วนำมาทาบนกระจกใสให้จางเซียวหรูทาบฝ่ามือทั้งห้าเพื่อพิมพ์รอยนิ้วมือไป จางเซียวหรูที่มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเองจึงทำตามอย่างว่าง่าย
จากนั้นจางอวิ๋นซีจึงนำปิ่นปักผมมาวางต่อหน้าทุกคน นางใช้ผงถ่านจำนวนหนึ่งที่มิได้ชุบน้ำจนเปียกและทาน้ำมันเล็กน้อยบนปิ่นปักผม สำหรับการตรวจหารอยนิ้วมือเท่านั้น และพิมพ์รอยนิ้วมือของตนเองกับ
หรูหรงลงบนกระจกเช่นเดียวกับจางเซียวหรู
กระจกบานเล็กทั้งสามบานแทนด้วยลายนิ้วมือของสตรีทั้งสาม ต่อเบื้องพระพักตร์ของหานฮ่องเต้ การพิสูจน์ความจริงและคืนความบริสุทธิ์นั้นเป็นสิ่งสำคัญนัก จางอวิ๋นซีเตรียมการทุกอย่างมาพร้อมแล้ว นางพร้อมที่จะให้บทเรียนอันมีค่ากับจางเซียวหรูและมารดาแล้ว
“เท่านี้หรือ?” หยางเต๋อเฟยถามแทรกขึ้นมา ใบหน้าของนางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เจ้ากรมอาญาจึงไขข้อข้องใจของพระสนมเอกแทน
“วิธีที่คุณหนูรองจางใช้ เป็นวิธีที่ทางกรมอาญาใช้ตรวจหารอยนิ้วมือแฝงพะยะค่ะพระสนม” จางอวิ๋นซียิ้มชอบใจอีกครั้งกับคำพูดของเจ้ากรมอาญา นางหันมามองจางเซียวหรูที่ยืนตัวสั่น สองมือของอีกฝ่ายประสานกันอย่างตื่นตระหนก
“อีกไม่กี่อึดใจเพคะ เราก็จะรู้กันแล้วว่าพี่สาวของหม่อมฉันบริสุทธิ์ใจหรือไม่” จางอวิ๋นซียิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เคลือบไปด้วยยาพิษร้าย
จางอวิ๋นซีใช้แปรงปัดเศษผงถ่านที่ติดอยู่กับปิ่นปักผมออกเบาๆ เหลือเพียงแค่เศษผงถ่านที่เกาะติดจนเป็นรอยนิ้วมือชัดเจนเท่านั้น ขันทีประจำพระองค์ของหานฮ่องเต้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ สายตาทั้งสองคอยพิจารณารอยนิ้วมือบนปิ่นปักผมและบนกระจกใสอย่างถี่ถ้วน จนได้คำตอบที่ชัดเจน
“ทูลฝ่าบาท รอยนิ้วมือส่วนใหญ่เป็นของคุณหนูรองจางกับสาวใช้พะยะค่ะ แต่ทว่ามีรอยนิ้วมือแฝงของคุณหนูใหญ่จางเซียวหรูแทรกมาแทนที่ เป็นรอยนิ้วมือเมื่อไม่นานมานี้พะยะค่ะ” ขันทีประจำพระองค์กราบทูล เขากับทหารช่วยกันนำหลักฐานทั้งหมดไปยื่นต่อเบื้องพระพักตร์ให้หานฮ่องเต้ทรงพิจารณาอีกครั้ง
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วยจางเซียวหรู ที่บังอาจลักขโมยสิ่งของพระราชทานเช่นนี้ไป จิตใจร้ายกาจยิ่งนัก!” หลิวฮองเฮาทรงตบโต๊ะเสียงดัง สายพระเนตรดุจ้องมาที่จางเซียวหรูราวกับต้องการประหารยิ่งนัก
จางเซียวหรูปฏิเสธพัลวัน “มะ หม่อมฉันไม่ได้ทำนะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ!”
หลี่ฮูหยินกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมา นางคุกเข่าวิงวอนต่อหานไทเฮาและฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่นอน ขอทรงตรวจสอบอีกครั้งด้วยเถิดเพคะ!”
จางอวิ๋นซีคิดแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นนางจึงเตรียมแผนสำรองเอาไว้จัดการด้วยอย่างไรล่ะ
“ข้าคิดแล้วเชียวว่าท่านแม่รองจะต้องพูดเช่นนี้ พี่หญิงใหญ่กับท่านแม่รองรู้เห็นเป็นใจกันลักขโมยของสำคัญของข้า ข้าจึงมีเรื่องบางเรื่องที่จะกราบทูลให้ทั้งสามพระองค์ทรงพิจารณาอีก” จางอวิ๋นซีแสร้งเอ่ยด้วยใบหน้าน่าสงสารยิ่งนัก
หานไทเฮาทรงพิจารณาปิ่นปักผมนั้นอย่างละเอียด จึงพบว่ามีบางสิ่งที่หายไปจากปิ่นนั้น!
“ไข่มุกราตรีที่ข้าประดับไว้บนปิ่นนี้หายไป!” หานไทเฮาทรงกล่าวเสียงดัง จางอวิ๋นซีลอบยิ้มนางเอ่ยขึ้นมาว่า
“แค่เพียงพิสูจน์รอยนิ้วมือก็ยังไม่อาจเป็นหลักฐานได้ ไข่มุกราตรีที่หายไปจะต้องอยู่กับคนร้ายที่ขโมยไปแน่นอนเพคะ” จางอวิ๋นซีเอ่ย
หลิวฮองเฮาทรงหันมารับสั่งกับนางกำนัลคนสนิท “หวังกูกู เจ้าไปค้นตัวพวกนางทั้งสาม หากไข่มุกราตรีจากปิ่นพระราชทานนั้นอยู่บนตัวผู้ใด ผู้นั้นคือคนที่กล้าหมิ่นเบื้องสูง ลักขโมยสิ่งของพระราชทานของหลานสาวข้าไป!”
“เพคะ” หวังกูกูน้อมรับพระเสาวนีย์ของหลิวฮองเฮา นางกำนัลอาวุโสเดินมาหยุดตรงหน้าสตรีทั้งสาม พร้อมด้วยนางกำนัลอีกสามนาง พวกนางช่วยกันตรวจค้นร่างกายของสตรีทั้งสามอย่างละเอียด จนกระทั่ง...
“เจอแล้วเจ้าค่ะท่านกูกู” นางกำนัลที่ค้นตัวจางเซียวหรู หยิบไข่มุกราตรีออกมาจากอกเสื้อของอีกฝ่าย จางเซียวหรูร้องลั่น
“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ นะเพคะไทเฮา ฝ่าบาท หม่อมฉันโดนปรักปรำเพคะ!” จางเซียวหรูร้องตะโกนเสียงดัง นางหันมามองจางอวิ๋นซีน้องสาวต่างมารดาตาขวาง นางชี้นิ้วด่าทอจางอวิ๋นซีต่อหน้าทุกคน
“เจ้ามันนางมาร! เจ้าอิจฉาที่ข้าดีกว่าเจ้า เจ้าเลยคิดกำจัดข้าอย่างนั้นรึ! นังสารเลว!” ถ้อยคำก่นด่าของจางเซียวหรู ทำให้ภาพสะท้อนของจางอวิ๋นซีคนเก่าที่ถูกทำร้ายเช่นนี้ลอยเข้ามาในหัวจางอวิ๋นซีราวกับภาพดลใจ
ภาพนั้นจางอวิ๋นซีคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่จางเซียวหรูใส่ร้ายว่าจางอวิ๋นซีคนเก่าขโมยอาภรณ์พระราชทานจากหยางเต๋อเฟยไป จนทำให้อีกฝ่ายต้องคุกเข่าโขกศีรษะอย่างน่าเวทนา ไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ วันนี้สิ่งที่จางเซียวหรูทำเอาไว้จะต้องได้รับการสนองคืนอย่างสาสม
จางอวิ๋นซี เธอนอนหลับให้สบายเถิด คนพวกนี้ฉันจะจัดการแทนเธอเอง จางอวิ๋นซีคิด
“หลักฐานคาตาขนาดนี้ เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกหรือ? หวังกูกู!” หลิวฮองเฮาทรงพระพักตร์มาทางจางกูกูที่พร้อมรอรับพระเสาวนีย์ หวังกูกูเดินเข้ามาประชิดตัวจางเซียวหรู ตรึงแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ไม่ว่าจางเซียวหรูพยายามดิ้นอย่างไรก็ไม่อาจดิ้นหลุดได้
“เจ้าโกหก และยังคิดปฏิเสธความผิด มีโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง เจ้าไม่ละอายแก่ใจหรืออย่างไร?” หานฮ่องเต้ทรงกล่าวเสียงดังกับจางเซียวหรู จางเยี่ยนผู้เป็นบิดา ไม่อาจทนเห็นบุตรสาวคนโตผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจจากสตรีที่ตนรักต้อง
ทนรับความอับอายได้ จึงก้มลงคุกเข่าขอพระราชทานอภัยโทษจากหานไทเฮา
“ไทเฮา บุตรสาวกระหม่อมกระทำเรื่องที่ขลาดเขลา แต่ขอให้ทรงพระราชทานอภัยให้แก่นางเถิดพะยะค่ะ กระหม่อมในฐานะบิดาจะยอมรับการลงโทษแทนนางเอง” ไท่ฮูหยินเมื่อได้ยินบุตรชายกล่าวเช่นนั้น จึงกล่าวกับหานไทเฮา
“ไทเฮาเพคะ เรื่องนี้หาได้เกี่ยวกับจางเยี่ยน อย่างไรเสียขอทรงพระราชทานอภัยให้กับหลานสาวคนนี้เถิด” ไท่ฮูหยินไม่ต้องการให้เรื่องเลยเถิดจนสร้างความอับอายมากไปกว่านี้ นางต้องการจบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
หานไทเฮาทรงหันมากล่าวกับจางอวิ๋นซี “ซีเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าคือผู้เสียหาย ให้เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด ข้ายอมรับทุกการตัดสินใจของเจ้า”
จางอวิ๋นซีหันมายิ้มกับหรูหรง
“ขอบพระทัยเพคะไทเฮา หม่อมฉันเห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้อง จึงไม่คิดติดใจเอาความพี่สาวเพคะ แต่ว่าสิ่งที่พี่สาวทำต่อหม่อมฉันนั้นถือเป็นการหลู่เกียรติของหม่อมฉันและฮองเฮาผู้เป็นเสด็จป้า ถ้าหากพี่หญิงยอมคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นและกล่าวขออภัย หม่อมฉันก็ไม่ติดใจเอาความเพคะ” จางเซียวหรูนางมองจางอวิ๋นซีด้วยแววตาอาฆาต
จางอวิ๋นซีรีบปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เข้าข้างตนทันที
“เดิมที หม่อมฉันก็ไม่คิดทำเช่นนี้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่สาวเคยกล่าวร้ายต่อหม่อมฉัน หาว่าหม่อมฉันขโมยของพระราชทานไป นางบังคับให้หม่อมฉันทำเรื่องน่าอายคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยต่อนาง หากนางยอมทำเช่นนี้กับหม่อมฉันต่อหน้าทุกคนและกล่าวขออภัย หม่อมฉันจะไม่ติดใจเอาความนางกับเรื่องที่ผ่านมา”
“ได้ยินหรือไม่จางเยี่ยน!” หลิวฮองเฮาตวาดใส่จางเยี่ยนเสียงดัง
จางเยี่ยนจำเหตุการณ์ที่จางอวิ๋นซีถูกกล่าวหาว่าขโมยอาภรณ์พระราชทานจากหยางเต๋อเฟยได้ดี เป็นภาพนั้นที่บุตรสาวคนรองต้องคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยต่อจางเซียวหรู แต่เขาผู้เป็นบิดากลับเอาแต่นิ่งเฉย มิได้สนใจไยดีต่อบุตรสาวคนรองนัก บุตรสาวคนรองที่อยู่นอกสายตา
“ไม่เอานะเจ้าคะท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทำ!” จางเซียวหรูไม่มีวันยอมคุกเข่า
ให้กับจางอวิ๋นซีเป็นแน่ นางยืนกำหมัดแน่น
“เจ้าเอะอะโวยวายเสียงดังเช่นนี้ มีโทษถึงประหารนัก! ทหารนำตัวนางออกไป!” หานไทเฮาทรงรับสั่งกับทหารองครักษ์เสียงดัง วันนี้เป็นวันมงคลของพระนาง แต่ไฉนเลยต้องมีกลิ่นไออัปมงคลเกิดขึ้นในวังเพลานี้ด้วยนะ!
จางเซียวหรูตัวสั่น นางนั่งคุกเข่าต่อหน้าจางอวิ๋นซีและคุกเข่าโขกศีรษะพร้อมกับกล่าวขออภัยต่ออีกฝ่ายหลายครั้ง เหล่าทหารที่จะมารุมล้อมจับนางจึงแยกย้ายกันไป
“ข้าขออภัยต่อเจ้า ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก!” จางเซียวหรูคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นหินอ่อนถึงสามครั้ง นางทั้งอายทั้งเจ็บแค้นใจยิ่งนัก!
จางอวิ๋นซีกับหรูหรง รวมถึงจางฮูหยินและไท่ฮูหยินลอบยิ้มสะใจเล็กๆ จางอวิ๋นซีนับตั้งแต่หายตัวไปคราวนั้นนางก็เปลี่ยนไป แข็งแกร่งขึ้นและดุดันขึ้นยิ่งนัก แม้แต่หานไทเฮาและหลิวฮองเฮาก็ยังอดตะลึงกับนางผู้เป็นคนใหม่และความสามารถไม่ได้
หลิวฮองเฮาลอบยิ้มกับจางกูกูเช่นเดียวกับหานไทเฮา ใช่ว่าเรื่องที่จางเซียวหรูกับหลี่ฮูหยินรังแกจางอวิ๋นซีตลอดเวลาจะไม่มีทางรับรู้ ทั้งสองพระองค์รับรู้อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่คิดว่าวันนี้จางอวิ๋นซีจะหาญกล้าถึงขนาดฉีกหน้าอีกฝ่ายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
เสียงซุบซิบนินทาจากบรรดาฮูหยินของเหล่าขุนนางและคุณหนูแต่ละตระกูลดังกระฉ่อนเป็นระยะ พวกนางเหล่านั้นมองจางเซียวหรูพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน สร้างความเจ็บแค้นใจให้กับจางเซียวหรูยิ่งนัก ครั้นนางหันหน้าไปทางหยางเต๋อเฟยและหานอี้ แต่กลับได้รับเพียงความเมินเฉยกลับมาเท่านั้น
หลังจากคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยตามที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว จางเซียวหรูไม่สนใจผู้ใดทั้งนั้น นางเดินดุ่มๆ กลับไปนั่งดังเดิม ใจของนางโกรธแค้นเคืองยิ่งนัก ต้องมีสักวันที่นางจะเหยียบย่ำจางอวิ๋นซีได้ ทุกความอัปยศที่นางได้รับจางอวิ๋นซีจะได้รับคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี!
“เอาล่ะ หลังจากเรื่องร้ายๆ เพิ่งผ่านพ้นไป คราวนี้ข้าเองก็อยากประกาศข่าวดีต่อหน้าพวกเจ้าทุกคน ให้พวกเจ้าทุกคนรับทราบทั่วกัน” หานไทเฮาทรง
กล่าวเสียงดังกังวานใส ต่างจากพระสุรเสียงยามตวาดใส่จางเซียวหรูยิ่งนัก
หานไท่หยางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นเรื่องบังเอิญ สตรีนั้นมากเล่ห์ร้อยมารยา นางอาจใช้มารยาจนทำให้ทุกคนหลงเชื่อว่าตัวนางเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ได้
“พวกเจ้าทุกคนก็ทราบกันดี ว่าเรากับหลิวฮองเฮาและจางฮูหยินนั้นมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน อีกทั้งบรรดาหลานชายของเราต่างก็ไร้ซึ่งพระชายาเคียงกาย พระชายาที่จะคอยดูแลพวกเขา ตอนนี้หลานชายของข้าแต่ละคนต่างก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว ข้าจึงตัดสินใจจัดสมรสพระราชทานให้กับหานไท่หยาง หลานชายของข้าซึ่งเป็นโอรสจากฮองเฮาและจางอวิ๋นซี บุตรสาวคนรองใต้เท้าจาง” กล่าวจบ หานไทเฮาทรงหันมามองหานไท่หยางที่นั่งนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ แต่ทว่าแววตาของหานไท่หยางนั้นจับจ้องจางอวิ๋นซีที่เผลอทำจอกชาหล่นลงพื้น
เพล้ง!
จางอวิ๋นซีเผลอทำจอกชาหล่นลง น้ำชาหกกระเซ็นเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนาง แต่ทว่านางหาได้ให้ความสนใจนัก ตอนนี้เรื่องที่น่าตกตะลึงสำหรับนางคือการมอบสมรสพระราชทาน!
และไม่ใช่ใคร แต่เป็นหานไท่หยางเจ้าอ๋องหน้าตายนั่น!
“เสด็จแม่สายพระเนตรเฉียบคมนักพะยะค่ะ บุตรสาวคนรองใต้เท้าจางนั้นฉลาดและมีความสามารถ อีกทั้งเป็นบุตรีฮูหยินเอก ส่วนไท่หยางนั้นเป็นอ๋องมีความสามารถ หากมอบสมรสให้พวกเขาเห็นจะเป็นการดีนัก” หานฮ่องเต้ทรงเห็นด้วยกับพระมารดาเช่นเดียวกับหลิวฮองเฮา
จางอวิ๋นซีลุกขึ้นยืน นางประสานมือโค้งศีรษะเล็กน้อย
“อะ เอ่อไทเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ!” จางอวิ๋นซีโพล่งขึ้นมาเสียงดัง จะให้นางมาแต่งงานกับคนแบบนี้หรือ? ฝันไปเถิด หากเป็นอ๋องใหญ่อย่างหานอี้ก็ว่าไปอย่าง
“ทำไมล่ะ” หานไทเฮาทรงร้อนใจ
“หม่อมฉันยังไม่พร้อมเพคะ อีกอย่างท่านอ๋องไท่หยางก็ไม่เต็มใจอภิเษกกับหม่อมฉันอยู่แล้ว ขอทรงโปรดพิจารณาอีกครั้งเถิดเพคะ” จางอวิ๋นซีคุกเข่า
วิงวอน นางประหม่ายิ่งนักหากต้องมาแบกรับสมรสพระราชทานนี้
จางเยี่ยนไม่พอใจจางอวิ๋นซีนัก นางรู้หรือไม่ว่าการแต่งงานกับหานไท่หยางนั้นหมายความว่าในอนาคตนางอาจกลายเป็นพระชายารัชทายาทและฮองเฮาแคว้นหาน! ไม่รู้ว่านางฉลาดเกินไปหรือป่วยจนโง่ลืมนึกถึงความสำคัญของครอบครัวไปแล้ว!
“ขออภัยไทเฮา บุตรสาวของกระหม่อมไม่รู้ความ...”จางเยี่ยนก้มหน้าเอ่ยด้วยความหวาดกลัว พลางมองบุตรสาวคนรองอย่างตำหนิ ตั้งแต่เกิดมานางก็ไม่เคยได้ดั่งใจผู้เป็นบิดาอย่างบุตรสาวคนโตทุกอย่าง เพลานี้ยังคิดตัดสินใจดั่งคนโง่ด้วยการปฏิเสธการแต่งงานกับหานไท่หยางอีก!
“เจ้าคิดอย่างไรกันอาหยาง” หานไทเฮาทรงถามหลานชาย
หานไท่หยางมองจางอวิ๋นซีที่นั่งคุกเข่าตัวสั่น นัยน์ตาปรากฏ
ประกายเจ้าเล่ห์ไหววูบขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง หานไท่หยางกล่าวตอบเสด็จย่าของตน
“ขอบพระทัยเสด็จย่าพะยะค่ะ อันที่จริงหลานเองก็เห็นซีเอ๋อร์มาตั้งแต่นางยังเด็ก รักชอบพอนางพอสมควร หลานยินดีน้อมรับสมรสพระราชทานครั้งนี้พะยะค่ะ” หานไท่หยางประสานมือน้อมรับพระบัญชา
อีตาอ๋องบ้า! จางอวิ๋นซีโวยวายในใจ นางมองหานไท่หยางพลางแยกเขี้ยวขู่ กล้าดีอย่างไรมาคิดแต่งงานกับนาง กล้าดีอย่างไร!
“แต่หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ! หม่อมฉันกับท่านอ๋องเพิ่งจะเจอกันไม่นาน จะให้แต่งงานกันเลยได้อย่างไร?” จางอวิ๋นซีแย้ง
ไท่ฮูหยินเดินเข้าหาหลานสาว นางกระซิบบอกอีกฝ่ายเบาๆ
“การปฏิเสธสมรสพระราชทาน อาจทำให้ตระกูลเดือดร้อนได้ หลานย่าเจ้าตรองดูหน่อยเถิด”
“เจ้ารังเกียจข้าหรือ?” หานไท่หยางหันหน้ามาถามนาง
ยังมีหน้ามาถามอีกนะ! ใครเขาอยากแต่งงานกับผู้ชายหน้าตายกัน!
การปฏิเสธสมรสพระราชทานเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแน่ หรูหรงจึงเข้ามากระซิบข้างใบหูของจางอวิ๋นซี
“คุณหนูเจ้าคะ หากคุณหนูตอบตกลงแต่งงานกับท่านอ๋อง มารดาของ
ท่านก็จะไม่ถูกคนพวกนั้นรังแกง่ายๆ อีก ท่านกับฮูหยินใหญ่ก็ไม่ต้องทนให้ใต้เท้าจางโขกสับรังแกแบบนี้ด้วย ท่านคิดให้ดีนะเจ้าคะ” หรูหรงเตือนในฐานะที่นางอยู่รับใช้จางอวิ๋นซีมาตั้งแต่ยังเด็ก นางทนไม่ได้ที่จะเห็นจางอวิ๋นซีกับจางฮูหยินต้องตกอยู่ใต้อำนาจของจางเยี่ยนและฮูหยินรองหลี่อีกต่อไป หากเจ้านายของนางได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกผ่านสมรสพระราชทาน ต่อไปก็จะไม่มีใครมารังแกพวกนางได้อีก
จางอวิ๋นซีคิดตามหรูหรงทุกประโยค หากนางเป็นพระชายาเอกของหานไท่หยาง อย่างน้อยก็อยู่แบบต่างคนต่างอยู่ นางกับมารดาก็สุขสบายบนอำนาจกองเงินกองทอง ไม่ต้องมาทนให้คนอื่นโขกสับรังแกแบบนี้ อีกทั้งนางอาจจะได้ทำความปรารถนาให้เป็นจริงตามที่ต้องการ
ความปรารถนาที่จะก่อตั้งโรงพยาบาลในยุคนี้!
จางอวิ๋นซีตอบรับสมรสพระราชทานนี้ “สมรสพระราชทานไม่อาจปฏิเสธได้ หม่อมฉันโง่เขลาเองเพคะที่ไม่ไตร่ตรองก่อนพูด หม่อมฉันน้อมรับการสมรสพระราชทานครั้งนี้เพคะ”
หานไท่หยางดูอีกฝ่ายก็รู้ว่านางฝืนใจรับสมรสพระราชทานครั้งนี้ นางไม่ยินดีตอบรับเป็นแน่หากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่นางต้องการ ถือว่าเขากับนางต่างได้ประโยชน์ทั้งคู่ ตัวเขาเองก็จะได้ไม่ต้องมีหญิงอื่นจากต่างบ้านต่างเมืองมาวุ่นวายให้ลำบากใจ ส่วนนางเขาก็จะจับสังเกตพฤติกรรมได้ง่ายดายมากขึ้นว่าเหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ