ดูแล้วเทศกาลล่าสัตว์คราวนี้คงไม่ปลอดภัยเป็นแน่!
หานไท่หยางคิดอย่างระแวดระวัง ในงานนี้เชื้อพระวงศ์มากมายจะถูกเชื้อเชิญเข้ามาร่วมงาน จางอวิ๋นซีก็ต้องเข้าร่วมในฐานะพระชายาเอกของเขาเช่นกัน การให้นางเข้าร่วมงานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การห้ามนางเข้าสู่ลานล่าสัตว์นั้นคงทำได้ยากยิ่ง เพราะดูจากอุปนิสัยที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจของนางแล้ว นางไม่มีทางพลาดเรื่องสนุกสำหรับนางแน่นอน อ๋องหนุ่มคิดในใจระหว่างเดินทางไปตำหนักคังเฉวียนของไทเฮา ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความเป็นห่วงที่มีต่อนางเป็นอย่างยิ่ง เรื่องการประชุมเกี่ยวกับเทศกาลล่าสัตว์ในคราวนี้ ดูราวกับมีเบื้องลึกเบื้องหลังใดแฝงอยู่ อ๋องหนุ่มหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นชายาของตนเองที่กำลังเฝ้าคิดถึง เดินออกมาจากตำหนักคังเฉวียนของไทเฮา นางเดินออกมาพร้อมกับ หยางเต๋อเฟยและจางเซียวหรู “พระชายาทรงโชคดีนัก พระสวามีมารับถึงตำหนักเลย” จางเซียวหรูกล่าวด้วยความริษยาเต็มอก หานไท่หยางรูปโฉมงามสง่า เป็นถึงโอรสฮองเฮา ผู้จะเป็นโอรสสวรรค์องค์ต่อไป แต่กลับชายตาเลือกน้องสาวนางเป็นชายาแทนนางผู้เป็นพี่สาว หากไม่มีหลิวฮองเฮาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง น้องสาวของนางคงไม่ได้เชิดหน้าชูคอแบบนี้แน่ “ประชุมเสร็จแล้วหรือ” นางถาม สังเกตเห็นความกังวลบนใบหน้าของเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ อ๋องหนุ่มตอบสั้นๆ “อืม กลับกันเถอะ” หยางเต๋อเฟยมองตามหลังทั้งสองด้วยสายตามาดร้าย “หากเจ้าอยากโชคดีมีวาสนาเช่นนั้น หานอี้ก็จะทำให้เจ้าเอง เมื่อเจ้าได้แต่งเป็นชายาแล้ว เจ้าต้องแสดงตนเองให้เหนือกว่านางทุกก้าว ให้ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าหานอี้กับเจ้าเหมาะสมจะครองบัลลังก์นี้มากกว่าใคร” หยางเต๋อเฟยกำชับ “เพคะ” จางเซียวหรูรับคำหยางเต๋อเฟยอย่างแสนเสียดาย นางกำลังคิดวางหานอี้เอาไว้เป็นแผนสำรอง หากแผนการยั่วยวนหานไท่หยางไม่สำเร็จ แต่ในเพลานี้นางแทบไม่ต้องทำสิ่งใด ทุกสิ่งทุกอย่างก็มาอยู่ตรงหน้านางหมดแล้ว ตอนนี้หานอี้คงเป็นแผนการที่ดีที่สุดสำหรับนาง แล้วค่อยวางแผนกำจัดจางอวิ๋นซีก็คงไม่สายเกินไประหว่างทางนั่งเกี้ยวกลับวังอ๋อง จางอวิ๋นซีสังเกตเห็นความกังวลของหานไท่หยางตลอดทาง หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่พร้อมจะคุยกับนางหรือไม่ แต่หากเขามีเรื่องทุกข์ใจอันใดนางก็อยากให้เขาระบายออกมา มากกว่าจะเก็บเอาไว้เพียงผู้เดียวเช่นนี้
กระทั่งมาถึงจวน ผู้เป็นสามีก็มิได้เอ่ยคำใดกับผู้เป็นภรรยาสักประโยคเดียว นางเดินตามเขามาถึงตำหนักใหญ่และแจ้งให้หลินกงกงนำขนมที่นางทำเอาไว้เมื่อเช้าออกมารองรับ เผื่อจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ขนมหวานพร้อมกับน้ำชาถูกนำมาถวาย นางจึงปัดมือเบาๆ ให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดออกไป แล้วหย่อนกายนั่งลงข้างๆ เขา พลางถามด้วยความเป็นห่วง “ข้าสังเกตตั้งแต่ออกจากวัง พระองค์มีเรื่องอันใดในพระทัย ทรงเล่าให้ข้าฟังได้นะเพคะ” นางถามพลางสบสายตาคมปลาบอย่างลึกซึ้ง “งานล่าสัตว์ครั้งนี้ ข้าไม่อยากให้เจ้าไป” อ๋องหนุ่มกล่าวตรงๆ “แต่กฎของงานนี้ สตรีที่เป็นภรรยาเอกถูกเชิญให้เข้าร่วมด้วย หากท่านไม่ให้ข้าไป เกรงว่าท่านจะมีปัญหากับฝ่าบาทนะ” นางแย้ง “หรือว่าท่านมีอะไรมากกว่านั้น?” นางถามเขา ถ้าหากไม่มีอะไรมากกว่านี้แอบแฝง เขาคงไม่เอ่ยกับนางเสียงแบบนี้แน่ “ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าแค่ขอสั่งไม่ให้เจ้าไป” อ๋องหนุ่มตอบปัด จะให้เขาตอบตรงๆ หรือว่าเขารู้สึกเช่นไรกับนาง เป็นห่วงนาง อยากเก็บนางเอาไว้ในตำหนัก มิอยากให้ผู้ใดยลโฉมหน้าอันงดงามของนาง และไม่อยากให้นางมีอันตรายหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่พระองค์จะห้ามข้า พาข้าไปด้วยคงไม่ทำให้พระองค์เดือดร้อนกระมังเพคะ” นางถามด้วยความน้อยใจ ทำดีด้วยได้ไม่กี่วัน นี่เขาคิดจะบังคับนางอีกแล้วหรือ “ไม่รู้ล่ะ หากไม่มีคำสั่งของข้าวันงานเจ้าห้ามก้าวออกจากตำหนักแม้แต่ก้าวเดียว!” อ๋องหนุ่มสั่งเสียงดุ เขาตะโกนเรียกหลินกงกงและหรูหรงเข้ามาด้วยเสียงดัง ขันทีและบ่าวรับใช้ทั้งสองรีบกุลีกุจอเดินเข้ามา “นับจากนี้ไป หน้าที่ดูแลพระชายาเป็นของพวกเจ้า จนกว่าจะพ้นเทศกาลล่าสัตว์ ห้ามให้พระชายาออกนอกตำหนักใหญ่เด็ดขาด!” อ๋องหนุ่มสั่งเสียงดังและเด็ดขาด จางอวิ๋นซีถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ นางโต้แย้งขึ้นมาทันควัน “นี่! ข้าเป็นเมียหรือสัตว์เลี้ยงของเจ้ากันแน่! เจ้าถึงคิดจะทำอะไรกับข้าก็ได้น่ะ!” นางโต้ตอบเสียงดัง หลินกงกงกับหรูหรงยืนนิ่งเงียบพลางก้มหน้าลงด้วยกลัวในอารมณ์โกรธของท่านอ๋อง จะพาลมาทำร้ายพระชายา หานไท่หยางบีบปลายคางมนด้วยโทสะ ก่อนจะสงบสติอารมณ์ได้และผ่อนแรงจากฝ่ามือลง “เจ้าเป็นชายาข้า แต่เจ้าของวังและเจ้าของชีวิตเจ้าคือข้า ข้ารับผิดชอบทุกชีวิตที่นี่ และที่นี่ข้าก็คือกฎ ข้าสั่งให้เจ้าทำสิ่งใดเจ้าต้องเชื่อฟัง!” “เชื่อฟังบ้าอะไรกันเล่า!” นางสะบัดหน้าออกจากฝ่ามือหนา “แบบนี้เขาเรียกว่าเผด็จการชัดๆ เจ้าไม่บอกเหตุผลว่าทำไมข้าไม่ควรเข้าร่วมการล่าสัตว์นั่น แต่กลับสั่งคุมขังไม่ให้ข้าออกไปไหน เจ้าเห็นข้าเป็นสิ่งใดกันหานไท่หยาง!” อ๋องหนุ่มมองนางด้วยแววตานิ่งเรียบ เขาไม่กล่าวคำใดกับนาง ปล่อยให้นางกล่าวอยู่แบบนั้น ส่วนจางอวิ๋นซีเองนางก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้กับนาง นางพยายามใจเย็นอย่างมากเพื่อถามเหตุผลที่เขาต้องทำแบบนี้กับนาง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นอ๋องบ้าอำนาจ เผด็จการ ชอบข่มเหงนางอยู่ร่ำไป ในเมื่อเป็นแบบนี้ นางก็ไม่อยากอยู่ร่วมตำหนักกับเขาแล้ว “หรูหรง หยางกูกู! ข้าจะย้ายไปนอนเรือนรับรอง เก็บของให้ข้าด้วย!” นางพูดจบไม่หันมามองผู้เป็นสามีสักนิด ได้แต่เดินจ้ำออกไปอย่างโกรธเคือง หลินกงกงกล่าวกับผู้เป็นเจ้าของวัง “ท่านอ๋อง ทรงอย่าเคืองพระชายาเลยพะยะค่ะ ทรงไปขอโทษพระชายาเถิด” หานไท่หยางมองตามแผ่นหลังนางด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย จนกระทั่งลับร่างของนางไปจากสายตา เขาสะบัดมือไล่หลินกงกงและทุกคนออกไปจากห้อง พระวรกายสูงใหญ่หย่อนสะโพกบนเก้าอี้ไม้ของโต๊ะเครื่องหอม ซึ่งมีเครื่องหอมของนางวางเรียงรายเต็มไปหมด จะให้เขาบอกนางได้อย่างไรว่ามีคนคิดลอบปองร้ายเขาตลอดเวลา หากเขาบอกนางไปเช่นนั้นอาจมีความเป็นไปได้ที่นางจะตีตนห่างออกจากเขา ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี หรือนางอาจจะละทิ้งเขาไปแบบไม่ไยดี ซึ่งเขากลัวอย่างหลังที่สุด เขาไม่อยากเสียนางไป อยากรักษานางเอาไว้ข้างกายให้ดีที่สุด หมอนหนุนที่มีกลิ่นกายของนาง ยังคงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดอยู่อ๋องหนุ่มหยิบหมอนใบนั้นขึ้นมาสูดดมอย่างชื่นใจ พลางหวนคิดสิ่งที่เขากระทำต่อนาง ‘หรือว่าเขาจะบังคับนางเกินไปจริงๆ’ หานไท่หยางเดินไปที่ตู้เก็บอาภรณ์ล้ำค่าของสตรี มีกล่องเครื่องประดับคราวที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้มากมาย และหนึ่งในนั้นมีกำไลหยกของเขาที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดีสองชิ้น ชิ้นหนึ่งหมายจะมอบให้นางเมื่อถึงเวลา ส่วนอีกชิ้นเขาหมายจะเก็บเอาไว้เองเป็นสัญลักษณ์คู่ระหว่างเขากับนาง ชายหนุ่มหยิบกำไลนั้นออกมาจากกล่องไม้แล้วเก็บเข้าที่เดิม แล้วจึงหยิบไข่มุกราตรีของแท้จำนวน หลากหลายเม็ดออกมาจากหีบใบใหญ่ของตน ตัวเขานั้นพอจะรู้วิธีทำเครื่องประดับอยู่บ้าง แต่เรื่องการตัดเย็บอาภรณ์ของสตรีนั้นเขาแทบไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย จึงมีรับสั่งเรียก หยางกูกูมาเข้าเฝ้า หยางกูกูรีบมาเข้าเฝ้าทันทีที่มีรับสั่งพร้อมกับหลินกงกง แต่เมื่อเข้ามาในตำหนักใหญ่ก็ต้องเจออุปกรณ์ตัดเย็บอาภรณ์ของสตรีจำนวนหนึ่ง “ที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ ไม่ได้ให้เจ้ามาตัดเย็บอาภรณ์ แต่ข้าอยากให้เจ้าสอนข้าตัดเย็บอาภรณ์ให้พระชายา” อ๋องหนุ่มสั่ง ตึง! หลินกงกงกับหยางกูกูหูผึ่งแทบไม่เชื่อหูตนเองนัก ท่านอ๋องหานไท่หยางที่เคยจับแต่ศัตราวุธฟาดฟันศัตรู มาเพลานี้จะจับเข็มเย็บอภรณ์สตรีและทำเครื่องประดับให้พระชายาจางด้วยตนเอง คิดแล้วก็อดยิ้มปลื้มปริ่มไม่ได้นัก ท่านอ๋องของพวกเขารักพระชายามากเพียงใด แต่แค่ไม่อาจแสดงออกมาได้เท่านั้น “จะสอนหรือไม่สอน?” อ๋องหนุ่มถามเสียงดุ “สะ สอนเพคะ” หยางกูกูตอบเสียงสั่น แล้วเริ่มลงมือสอนหานไท่หยางตัดเย็บอาภรณ์ ซึ่งเริ่มจากการแนะนำวิธีสนเข็มและด้ายเข้าด้วยกัน รวมถึงการตัดเย็บรูปแบบต่างๆ แม้ว่าจะเป็นงานเรือนของสตรีที่เรียนยากยิ่ง แต่หานไท่หยางทำได้ไม่ย่ำแย่นัก เขาปักลวยลายอาภรณ์เป็นหงส์สีทองงามสง่าตามที่ หยางกูกูถ่ายทอดจนเกิดเป็นอาภรณ์ที่งดงามล้ำค่าของสตรีสูงศักดิ์ แวบหนึ่งหานไท่หยางลอบยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ บริเวณด้านหน้าของอาภรณ์ได้ตัดเย็บรูปพระจันทร์เดือนเพ็ญงดงามสง่า ท่ามกลางหมู่ดาราทั้งมวล อันหมายถึงนางงดงามเจิดจรัสท่ามกลางหมู่ดาราใด ส่วนอาภรณ์ของเขานั้นปักเป็นสีแดงเพลิงเช่นเดียวกับนาง แต่บริเวณด้านหน้าของอาภรณ์นั้นเขาได้ตัดเย็บเป็นพระอาทิตย์ทรงกลดอันสว่างไสว เปรียบดั่งนางเป็นจันทราและเขาเป็นแสงสุริยะที่ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หลังจากตัดเย็บอาภรณ์ในส่วนของตนเองและจางอวิ๋นซีเสร็จ ก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งวัน อ๋องหนุ่มแทบไม่ได้พักผ่อน เขาหยิบกำไลหยกทั้งสองชิ้นมาประดับด้วยไข่มุกราตรีเม็ดงามให้กับนางและตนเอง โดยมีพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวประดับอยู่บนกำไลไข่มุกราตรีหนึ่งชิ้น และอีกชิ้นหนึ่งเป็นรูปพระอาทิตย์ทรงกลด สื่อความหมายเช่นเดียวกับอาภรณ์ของเขาและนาง หลินกงกง หยางกูกูและหรูหรงเห็นความทุ่มเทความพยายามของท่านอ๋องที่มีต่อพระชายาเช่นนี้ ก็อดรู้สึกปลื้มปริ่มใจไม่ได้ ป่านนี้พระชายาจะรู้บ้างหรือไม่ว่ามีบุรุษผู้หนึ่งที่เสียสละทำสิ่งที่ตนไม่ถนัดเพื่อพระชายามากขนาดนี้ นิ้วมือทั้งสิบของหานไท่หยางนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากรอยเข็มที่ทิ่มตำ แต่เขาทำเพียงดูดเลือดปลายนิ้วออกเท่านั้นและบรรจงตัดเย็บอาภรณ์ให้พระชายาต่ออย่างหามรุ่งหามค่ำจางอวิ๋นซีย้ายตัวเองมาพักที่เรือนรับรองได้สองวัน เช้าวันนี้นางลงมือเข้าครัวปรุงอาหารเอง ได้ยินพวกนางกำนัลโจษขานกันเรื่องที่หานไท่หยางอดหลับอดนอนมาเกือบสองวัน เพราะทำของสำคัญชิ้นหนึ่งมัดใจพระชายาอย่างนาง
หญิงสาวเงี่ยหูฟังพวกนางอย่างตั้งใจ นางรู้สึกสะท้อนในอกกับคำพูดที่นางเคยต่อว่าเขาเอาไว้ นางต่อว่าเขาถึงเพียงนั้น แต่เขากลับทำของบางอย่างให้นางจนไม่เป็นอันหลับนอนเลยหรือ นางถอนหายใจออกมาเบาๆ วันนี้ตนเองเป็นผู้นำเหล่าแม่ครัวปรุงพระกระยาหารถวายดังเช่นทุกวัน นางจึงตั้งใจสั่งให้หรูหรงไปจัดเตรียมสมุนไพรและยาสมานแผลมาหนึ่งขนาน แล้วบรรจงทำขนมหวานและอาหารอย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลาตั้งสำรับถวาย นางบอกกับหลินกงกงว่านางจะยกสำรับทั้งหมดถวายหานอ๋องเอง ซึ่งขันทีอาวุโสได้แต่ยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจออกนอกหน้า แล้วเดินนำจางอวิ๋นซีไปที่ตำหนักใหญ่พร้อมกับหรูหรงที่ช่วยนำยาสมานแผลเดินตามมา ก๊อกๆ นางเคาะประตูไม้เรียกอยู่สองที ก่อนจะผลักเข้าไปเบาๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในตำหนักจึงเดินเข้าไป สายตากวาดมองหาหานไท่หยางไปทั่วบริเวณ “เจ้าเข้ามาทำไม” เสียงดุเข้มถามขึ้น อ๋องหนุ่มที่กำลังเปลี่ยนฉลองพระองค์มองนางอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นยาสมุนไพรและอาหารเช้าที่นางเตรียม มาจึงทำใจดุนางไม่ลง “ข้าได้ยินว่าท่านบาดเจ็บที่มือ เลยอยากมาดูอาการท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง” นางตอบเสียงอ่อน ใบหน้างดงามก้มหลบเรือนร่างแข็งแกร่งดุจนักรบของผู้เป็นสามี “ข้ากำลังต้องการผู้ช่วยอยู่พอดี เจ้ามาช่วยข้าแต่งตัว” เขาสั่ง “อะ อ๋อ ได้สิ” นางวางถาดยาและสมุนไพรลง เดินอ้อมตัวไปข้างหลังแล้วช่วยเขาสวมใส่เข็มขัดทองแบบเชื้อพระวงศ์อย่างงกๆ เงิ่นๆ แต่ให้ตายสิ เข็มขัดนี่ใส่ยากเสียจริง! แม้ว่าเข็มขัดนี่จะใส่ยากแค่ไหน แต่สุดท้ายนางก็สามารถใส่ให้เขาจนได้ ชายหนุ่มยื่นหมวกขุนนางมาให้นาง “ใส่หมวกให้ข้า” เขาสั่งอีกรอบ ในใจนึกขำนางยิ่ง ตัวนางเล็กเพียงนี้จะเอาความสามารถใดมาใส่หมวกให้เขาได้กัน หญิงสาวรับหมวกทรงขุนนางนั้นมา นางเขย่งปลายเท้าหมายจะสวมใส่หมวกให้ผู้เป็นสามีที่ตัวสูงกว่า หานไท่หยางจึงแกล้งนางด้วยการเขย่งปลายเท้าของตนเองขึ้นพลางลอบหัวเราะร่วนในใจ เห็นนางคว้ามือพยายามจะใส่หมวกเขาให้ได้ “ท่านก้มตัวลงหน่อยสิ ข้าใส่ไม่ถนัด” นางร้องครวญ “ข้าก้มไม่ได้ ปวดหลัง” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เขายังคงเขย่งปลายเท้าให้สูงกว่านางอีกเกือบคืบ! แล้วตัวนางเท่ามดตะนอยเช่นนี้ชาติไหนจะได้ใส่หมวกให้เขาได้! นางนึกขัดใจกับคำพูดของเขา พลางส่งสายตามองค้อนอย่างไม่พอใจ นี่เขาจงใจแกล้งนางชัดๆ สุดท้ายนางเอื้อมมือไม่ไหว จนเกือบเซล้มลงกับพื้น ยังดีนักที่มีไหล่หนาให้นางได้ยึดเกาะ หญิงสาวหลับตาปี๋ด้วยกลัวว่าตนเองจะทำเรื่องขายหน้าต่อหานไท่หยางผู้เป็นสามี แต่ทว่านางกลับรู้สึกลอยตัวอยู่กลางอากาศ สองมือบางเกาะไหล่หนาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย สุดท้ายนางจึงลืมตาขึ้นมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้เขากำลังโอบอุ้มนางอยู่! และใบหน้าของนางอยู่สูงกว่าหน้าผาก เขาเพียงนิดเดียว “นี่ท่านแกล้งข้าหรือ?!” นางถามเสียงดังอย่างเคืองๆ มือบางตีไหล่ซ้ายอย่างเจ็บใจที่โดนกลั่นแกล้ง อ๋องหนุ่มยังแสร้งทำหน้าตายตอบนาง “เจ้านั้นชักช้าเสียจริง หากข้าหิวขึ้นมา ข้าอาจจะกินเจ้าแทนอาหารเช้า” คำพูดของเขานั้นแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “ท่านมันคนร้ายกาจ! ข้าไม่อยากเจอหน้าท่านแล้ว” นางกำลังจะก้าวเดินออกไปจากตำหนัก แต่สุดท้ายก็พลาดท่าเสียทีให้แก่อ๋องหนุ่มจนได้ “เจ้าอุตส่าห์มาหาข้าถึงที่นี่ หากไม่อยากเจอหน้าข้าแล้วจะเรียกว่าสิ่งใด” อ๋องหนุ่มถามกลบเกลื่อนรอยยิ้มเอาไว้ในใจ พลางช้อนร่างบางขึ้นแนบอกและกระชับร่างของนางเอาไว้แนบแน่น นางก้มหน้าตอบ ไม่กล้าสบสายตาคมที่มีอานุภาพต่อหัวใจของนาง “ข้าได้ยินว่าท่านอดหลับอดนอนมาสองวัน และยังบาดเจ็บ ก็เลยอยากมาดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง” หานไท่หยางดีใจเกือบเก็บท่าทีไม่อยู่ เขาวางร่างของผู้เป็นภรรยาบนเตียงนอนหนานุ่ม ก่อนจะยกสำรับอาหารและยามาวางบนเตียง พลางชูสองมือให้นางดู นึกอยากออดอ้อนนางขึ้นมาเสียดื้อๆ “มือข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้ คงต้องให้เจ้าป้อนอาหารให้ข้ากินแล้ว” “ย่อมได้สิ” นางตอบเสียงเบาสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ