ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่
หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง “ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่ “หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก “เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา “หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาว หรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่ “พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้ ปึง! หญิงสาวตบโต๊ะเสียงดัง ระบายโทสะในใจ “ตอนนี้โมโห อยากฆ่าคน!”ของที่นางสั่งหยางกูกูและหรูหรง ทั้งหมดมากองอยู่ตรงหน้านางแล้ว นางกำนัลทั้งสองต่างลอบมองสิ่งที่พระชายาของตนเองสั่งให้หามาด้วยความสงสัย สมองหมูและไส้หมูที่ผ่านการล้างสะอาด ปราศจากกลิ่นคาวเลือด ถูกวางอยู่บนจานลายหยกอันงดงาม ข้างๆ กันนั้นมีตะเกียบคู่และมีดสั้นที่วางไว้ข้างๆ กัน
สมองหมูที่นางต้องการนั้นขนาดกำลังดีนัก ลักษณะของมันเหมือนกับสมองของมนุษย์แบบจำลอง “พระชายาทำสิ่งใดหรือเพคะ” หยางกูกูนิ่วหน้าถามด้วยความสงสัย จางอวิ๋นซีกำลังลงมีดใส่สมองหมูนั้น นางเรียกให้นางกำนัลทั้งสองเข้ามาดูใกล้ๆ “พวกเจ้าเข้ามาดูใกล้ๆ สิ” นางกำนัลทั้งสองเดินเข้ามาก้มหน้าดูใกล้ๆ “อันนี้เขาเรียกว่าการรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ... สมองหมูนี่ก็จำลองเหมือนกับสมองของมนุษย์เรา...” จางอวิ๋นซีอธิบาย แม้ว่านางกำนัลทั้งสองจะไม่เข้าใจสิ่งที่นางกล่าว แต่ก็มองด้วยความสงสัยนัก “เยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือสิ่งใดเพคะ” หรูหรงถามด้วยความตื่นเต้น จางอวิ๋นซีใช้ตะเกียบคู่กวาดรอบๆ ส่วนบนของสมองหมูนั้นให้นางกำนัลทั้งสองดู พร้อมกับอธิบาย “บริเวณรอบๆ นี้ก็คือส่วนของเยื่อหุ้มสมอง เป็นส่วนที่ครอบคลุมยาวไปจนถึงไขสันหลัง...” หญิงสาวนำไส้หมูมาวางต่อจากหัวสมอง จำลองเป็นไขสันหลังแทน เพื่ออธิบายเป็นภาพให้พวกนางเข้าใจ “ซึ่งพวกเจ้าทุกคนก็มีเจ้าสิ่งนี้อยู่ในร่างกาย โดยเยื่อหุ้มสมองนี้มีกลไกอยู่ด้วยกันสามชั้น คือหนึ่งเยื่อหุ้มสมอง คือส่วนบนตรงนี้ และถัดลงมาคือน้ำหล่อสมองไขสันหลัง...” หญิงสาวผ่าสมองหมูออกเพียงนิด ก็มีน้ำเหลืองๆ ไหลซึมออกมา จำลองเป็นน้ำสมองไขสันหลังแทน “ซึ่งน้ำที่ไหลออกมาจากสมองหมูนี้ เปรียบดังน้ำหล่อสมองไขสันหลัง ซึ่งมีหน้าที่คอยปกป้องห้อมล้อมสมองและไขสันหลัง มิให้ได้รับอันตราย เพราะสมองและไขสันหลังนั้นล้วนเป็นระบบประสาทหลักของร่างกาย” “สิ่งที่ข้ากำลังจะทำให้พวกเจ้าดูก็คือ การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่สามารถเกิดได้บ่อย เพราะมีภาวะจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่เยื่อหุ้มสมอง จนลามไปถึงไขสันหลัง ทำให้เกิดอันตรายและตายได้ในเวลาไม่นาน แต่หากได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ย่อมสามารถรักษาให้หายขาดได้ และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก” จางอวิ๋นซีอธิบาย “พระชายาทรงกังวลใจเรื่องท่านอ๋องหรือเพคะ” ความอึดอัดที่เก็บกดอยู่ในใจของหรูหรงถูกถ่ายทอดออกมา จางอวิ๋นซีชะงักมือไปชั่วขณะหนึ่ง “ใครกังวลเรื่องตาอ๋องนั่นกัน! มีเมียใหม่ก็ต้องขลุกอยู่ด้วยกันเป็นธรรมดา” นางตอบเฉไฉ “แต่พระชายากำลังเหมือนคนหึงนะเพคะ” หยางกูกูเสริมอีกแรง “พวกเจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ เลย ออกไปให้หมดเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องให้ใครเข้ามารบกวนการผ่าตัดของข้าล่ะ หากตาอ๋องบ้านั่นมาก็ไม่ต้องให้เข้ามา บอกว่าข้านอนแล้ว!” นางแสร้งโวยวายไล่สองบ่าวรับใช้ออกไป คล้อยหลังสองบ่าวรับใช้ หญิงสาวนั่งเท้าคางกับโต๊ะน้ำชา นางเปรยออกมาเบาๆ “นี่ข้าหึงตาอ๋องนั่นจริงหรือ?”พลบค่ำ
หานไท่หยางนั่งอ่านฎีกาคนเดียวในห้องทรงงานของตนเอง สายตานั้นมิได้จดจ้องอยู่ที่ฎีกาที่กำลังอ่าน แต่กำลังจดจ้องไปที่เตียงนอนภายในห้องบรรทมของตนเอง เตียงนอนที่ตอนนี้ว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่างของภรรยาที่เคยนอนกอดด้วยทุกคืน อ๋องหนุ่มลุกจากโต๊ะทรงงาน เขาเดินไปที่เตียงนอนหยิบหมอนหนุนของภรรยาที่มากอดแนบอกแทนความคิดถึง หากเป็นเพลานี้เขาคงเข้านอนนอนกอดนางอย่างอุ่นกายไปเสียทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาอยู่ในวังด้วย อีกคน เขาไม่อาจแสดงความรักอย่างโจ่งแจ้งกับนางได้ เขายอมรับนักว่าตนเองคิดถึงกลิ่นกายของนาง คิดถึงร่างเล็กนุ่มนิ่มที่เคยนอนกอดด้วยทุกคืน แต่เพลานี้นางกลับย้ายตำหนักหลีกทางให้เขากับองค์หญิงซิ่วอิ่ง ไม่สนใจไยดีสามีอย่างเขาเลยสักนิด “ท่านอ๋องจะเสด็จไปหาพระชายาหรือไม่พะยะค่ะ” หลินกงกง ถามอย่างรู้ใจ ขันทีอาวุโสสลับกันมองหน้ากับเฉินหรงอย่างสงสารผู้เป็นนาย เจ้านายของเขาอยู่ดีกับพระชายานั้นย่อมดีอยู่แล้ว แต่ในเมื่อมีองค์หญิงแคว้นเยว่เพิ่มเข้ามาอีกคน ในวังตอนนี้ก็เปรียบเหมือนกับไฟเล็กๆ ที่รอลามทั่วทุ่ง “เฉินหรง เจ้าแอบไปสืบความที่ตำหนักของซิ่วอิ่ง มีเรื่องใดให้มารายงานข้า” หานไท่หยางสั่งเสียงเข้ม ตอนนี้เขาต้องการรู้ความเคลื่อนไหวของซิ่วอิ่งมากกว่า และเหตุผลที่ใช้เฉินหรง เพราะองครักษ์ของเขานั้นเป็นชาวแคว้นเยว่มาก่อน ย่อมรู้จักอุปนิสัยใจคอของซิ่วอิ่งอย่างแน่นอน “พะยะค่ะ” เฉินหรงรู้ดีว่าเหตุใดหานอ๋องจึงส่งเขาไปสืบความเคลื่อนไหวของซิ่วอิ่ง แต่เดิมทีเฉินหรงเคยเป็นชาวแคว้นเยว่มาก่อน เขาเคยรับใช้สนิทชิดเชื้อกับเมิ่งฉีเป็นอย่างมาก จนกระทั่งถูกส่งมาเป็นสายลับในกองทัพของหานไท่หยาง แต่ดันถูกอีกฝ่ายจับได้จึงคิดหนีออกมาจากกองทัพ แต่ทว่าเมิ่งฉีกลับทอดทิ้งเขาให้ยอมรับผิดเพียงผู้เดียว สังหารครอบครัวเขาจนหมดสิ้นเพื่อมิให้สกุลเฉินต้องมาเป็นหอกข้างแคร่ในวังข้างหน้า หากเมิ่งฉีขึ้นครองราชย์ แต่ทว่าเมิ่งฉีนั้นกลับคาดการณ์ผิดนัก อีกฝ่ายคงคิดว่าหานไท่หยางจะสังหารไส้ศึกอย่างเขาเป็นแน่ แต่กลับรับเขาเอาไว้เป็นองครักษ์ที่สนิทและรู้ใจมากที่สุด ทำให้เขาสุดจะซาบซึ้งในบุญคุณนี้ยิ่งนักจึงตั้งใจจะถวายการรับใช้ให้ดีที่สุด สาเหตุที่เมิ่งฉีคิดหลอกใช้ให้เขาไปเป็นไส้ศึกในกองทัพของหานไท่หยางนั้น เพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าจุดอ่อนของเขาคือซิ่วอิ่ง บางทีการส่งเขาไปสืบความเคลื่อนไหวของซิ่วอิ่งในครั้งนี้ อาจทำให้เขาไม่สามารถหลีกหนีการเผชิญหน้ากับนางได้อีกแล้วเฉินหรงลอบแฝงกายเข้ามาที่ตำหนักรับรองของซิ่วอิ่ง ตอนนี้บริเวณรอบๆ ตำหนักเงียบสงบยิ่ง เหล่านางกำนัลขององค์หญิงต่างแยกย้ายกลับเรือนนอนของตน มีไม่กี่นางที่ทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเวรยามคอยเฝ้าระวังยามดึก
เหล่าทหารองครักษ์เงาของแคว้นเยว่ที่เมิ่งฉีส่งมานั้น ทำงานได้ดีเยี่ยมจนเฉินหรงแทบหาทางเข้ามาในตำหนักไม่ได้ เนื่องด้วยองครักษ์เหล่านี้มีความคุ้นเคยกับเฉินหรงอย่างดี แม้กาลเวลาจะผ่านมานานหลายปี แต่บาดแผลที่พวกเขาเหล่านี้สร้างเอาไว้ เฉินหรงไม่มีทางลืมเด็ดขาด องครักษ์หนุ่มลอบมององค์หญิงซิ่วอิ่งที่นอนหลับใหลอยู่ในตำหนักราวกับคุ้นเคย ใช่! เขาคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี ในเมื่อครั้งหนึ่งนางเคยเป็นสตรีที่เขารัก เขากับนางเคยรักกันมาก่อน แต่เพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาจำต้องพรากจากนางไป พรึ่บ! องครักษ์หนุ่มลอบกระโดดเข้ามาในตำหนักรับรองเมื่อแน่ใจว่าพ้นสายตาพวกองครักษ์เงา เขาเป็นสายลับองครักษ์ประจำกายอ๋อง ติดตามหานไท่หยางมานานหลายปี วิชาตัวเบาเขาย่อมไม่เป็นรองใคร การหลบหลีกให้พ้นสายตาองครักษ์เงาพวกนั้นย่อมไม่ยากนัก “เจ้าเป็นใคร?!” ซิ่วอิ่งที่รู้สึกตัวตั้งแต่มีคนลอบเข้ามาในห้อง นางตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย ตะโกนถามด้วยความตกใจ แสงเทียนจากตะเกียงในห้องบรรทม ทำให้นางมองเห็นใบหน้าของบุรุษผู้ที่บุกรุกเข้ามาในห้องนางอย่างชัดเจน นางเบิกตาโตด้วยความตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องมาเจอเขาในที่นี่และอีกครั้ง... “เจ้า! เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?!” นางตะโกนถามพลางยกหมอนหนุนขึ้นมาปิดบังเรือนกายเย้ายวนเอาไว้ “จำข้าได้แล้วหรือ?” เฉินหรงถามพลางเดินเข้ามาใกล้ๆ นาง องค์หญิงคนงามกระถดถอยจนชิดกับหัวเตียง “เจ้าคนทรยศ!” นางกัดฟันเอ่ยอย่างโกรธแค้น “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!” อึก! เฉินหรงบีบปลายคางของอีกฝ่าย แม้จะไม่รุนแรงมาก แต่แฝงไปด้วยความดุดัน “พี่ชายท่าน ส่งท่านมาที่นี่ใช่หรือไม่? ฮ่องเต้ไม่มีทางส่งท่านมาอย่างแน่นอน” เฉินหรงถาม ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้าไปประชิดใบหน้างดงามขององค์หญิงที่ตนเคยหลงรัก ซิ่วอิ่งมองใบหน้าชายที่ตนเคยรักอย่างเคียดแค้น นางสะบัดใบหน้าออกจากฝ่ามือของเขา พลางใช้หมอนปิดบังเรือนกายเย้ายวนเอาไว้จากสายตาคมปลาบ “เศษเดนสกุลเฉิน เจ้าคนทรยศมีสิทธิ์อันใดมาแตะต้องตัวข้า!” นางตวาดใส่ แต่ทว่ากลับถูกเฉินหรงใช้ฝ่ามือปิดปากหลังจากที่นางตวาดใส่เขาจนพอใจ องครักษ์หนุ่มโน้มใบหน้าลงมากระซิบใกล้ใบหูของนาง “หากเมิ่งฉีส่งท่านมาที่นี่ จงกลับไปเสีย! ท่านอ๋องทรงรักพระชายามากอย่าได้ คิดทำให้สองพระองค์แตกแยกกันเด็ดขาด” ซิ่วอิ่งมองใบหน้าองครักษ์หนุ่มอย่างท้าทาย “ข้าเป็นองค์หญิง มีสิ่งใดที่ปรารถนาแล้วไม่ได้บ้าง ในเมื่อข้าเคยปรารถนาดีแล้วไม่ได้ ตอนนี้หากไม่แย่งชิงมา ก็คงไม่ได้อะไรเลย” คำพูดนั้นของซิ่วอิ่งแฝงไปด้วยความผิดหวัง สายตาที่นางมองเขาในเพลานี้ มิใช่สายตาแห่งความเกลียดชัง แต่แฝงไปด้วยประกายบางอย่างที่นางไม่เคยลืมลง นางเห็นใบหน้าขององครักษ์หนุ่มอึ้งไปเพียงนิดกับคำกล่าวของนาง จึงฉวยโอกาสผลักเขาออกไป “ออกไปซะ! อีกไม่นานนับจากนี้ ข้าก็จะกลายเป็นนายหญิงอีกคนของวังนี้ เจ้าควรรู้สถานะตัวเองว่าไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว” ซิ่วอิ่งเชิดพระพักตร์เอ่ยอย่างไม่สนใจ นางปรายหางตามองจนเฉินหรงเดินออกไป ภายในใจของนางตอนนี้สับสนไปหมด ความรู้สึกทั้งหลายในอดีตที่เคยถูกกลบไปเพราะความเกลียดชัง เริ่มถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง ‘เฉินหรง ข้าลืมเจ้าไปแล้วจริงๆ’ หานไท่หยางลอบออกมาหาภรรยากลางดึก! ใช่แล้ว! เขาทนคิดถึงนางไม่ไหวจึงต้องออกมาหานางยามดึกด้วยตนเอง เพราะตอนนี้ในวังเต็มไปด้วยองครักษ์เงาขององค์หญิงซิ่วอิ่งร่วมสิบกว่านาย การทำอะไรที่แสดงออกต่อจางอวิ๋นซีมากเกินไป อาจเป็นภัยกับตัวนางได้ ดังนั้นเมื่อยามดึกปลอดสายตาผู้คน เขาจึงลอบออกมาหานางเพียงลำพัง ตอนนี้บริเวณรอบๆ ตำหนักของนางถูกความเงียบเข้าปกคลุม มีเพียงหรูหรงที่ยืนเข้าเวรแทนหยางกูกูเท่านั้น กำลังยืนเฝ้าหน้าตำหนักด้วยอาการง่วงงุน แต่ทว่านางกำนัลสาวก็ต้องตาตื่นขึ้น เมื่อพบว่าผู้เป็นเจ้าของวังกำลังเดินเข้ามา “ทะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะไปทูลพระชายาเพคะ” หรูหรงกล่าวด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อนึกขึ้นได้บางอย่างจึงรีบทูลออกไป “เอ่อ หม่อมฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า พระชายาไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนการพักผ่อนเพคะ” หรูหรงกล่าวหน้าเจื่อน นางหลับตาปี๋ด้วยกลัวโทสะของหานไท่หยางยิ่งนัก อ๋องหนุ่มถอนหายใจเสียงดัง คงเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กระมังที่ทำให้นางไม่ยอมพบเขา แต่อย่างไรเขาทนคิดถึงนางไม่ไหวจริงๆ แค่เพียงวันเดียวที่ไม่มีนางนอนร่วมเตียงเขาก็แทบขาดใจยิ่งนัก ขนาดนางไปอยู่ในวังหนึ่งเดือนเขายังต้องหาทางวางแผนพานางกลับมา กว่าจะพากลับมาได้ก็ต้องอาศัยเล่ห์กลยากเย็นยิ่ง แต่ทว่าหานไท่หยางหาได้สนใจไม่ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ! อ๋องหนุ่มผลักประตูเข้าไปเบาๆ หรูหรงไม่อาจห้ามปรามได้ นางจึงยืนรอเงียบๆ ด้านนอกเพียงลำพัง ปล่อยให้หานไท่หยางเข้าไปตามสะดวก ภายนอกแม้จะมืดสนิท แต่ทว่าภายในตำหนักกลับสว่างยิ่งนัก ชายหนุ่มเห็นสมองหมูและไส้หมูที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชา พร้อมด้วยตะเกียบหนึ่งคู่และมีดท่าทางแปลกๆ ยิ่ง ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชานั้น ใช้นิ้วมือแตะน้ำเหลวๆ ที่ซึมออกมาจากสมองหมูสด เขาคาดเดาว่านางคงทำสิ่งใดแปลกๆ อีกเป็นแน่ ชายหนุ่มหันมามองร่างของผู้เป็นภรรยาที่นอนสัปหงกบนเก้าอี้ไม้ ก่อนจะเดินมาช้อนร่างของนางขึ้นนอนบนเตียงอย่างแผ่วเบา “อืม...” นางครางในลำคอเบาๆ สองมือควานสะเปะสะปะกลางอากาศราวกับคนละเมอ ฝ่ามือนั้นเผลอตบไปที่ใบหน้าอ๋องหนุ่มเบาๆ สองถึงสามที แต่ทว่าเขากลับมิได้โกรธนาง ซ้ำยังอมยิ้มเล็กๆ กับท่าทีละเมอเพ้อฝันเช่นนี้ “ตาอ๋องบ้า นอนกับเราทุกคืนยังไม่พอใจหรอ...” นางกล่าวอย่างละเมอออกมาโดยไม่รู้ตัว หานไท่หยางดับตะเกียงแล้วล้มลงนอนข้างนาง ตระกองกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนรั้งศีรษะเล็กให้ซุกแนบอก หึ หานไท่หยางระบายยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจ ขนาดนางละเมอยังเป็นชื่อเขา นี่แสดงว่านางเริ่มคิดถึงเขาเหมือนที่เขาคิดถึงนางแล้วใช่หรือไม่ ริมฝีปากหนากดจูบกลางกระหม่อมบางเบาๆ ก่อนจะหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยกัน โดยที่สองแขนนั้นยังโอบกอดนางไม่ยอมปล่อยสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ