จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรู
แต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทาน เมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา “ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย “แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ หลิวฮองเฮาที่ประทับอยู่ด้วยกันจึงเอ่ยแทรกขึ้นมา “เรื่องสมรสพระราชทานของหานอี้ พวกข้าก็มิได้นิ่งนอนใจ แต่ตอนนี้องค์หญิงแคว้นเยว่กำลังจะเป็นพระชายารองของหานไท่หยางในอีกหนึ่งปีนี้ แคว้นเยว่กับแคว้นหานเป็นศัตรูกันมาช้านาน ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าคงคาดเดาไม่ยากสินะ ว่าจะเป็นอย่างไร” หยางเต๋อเฟยเริ่มแย้งขึ้นมา “แต่หานอี้ก็เป็นสมาชิกราชวงศ์ เป็นโอรสของฝ่าบาท เป็นหลานของเสด็จแม่เช่นกัน หากทรงให้แต่ไท่หยางแต่งงานเพียงผู้เดียว แล้วบุตรชายของหม่อมฉันเล่าเพคะ สตรีที่มีฐานะทัดเทียมกันก็นับว่าหายากมากแล้ว จางเซียวหรูนับว่าเป็นบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้น หากปล่อยให้นางเป็นของชายอื่น สายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับสกุลจาง มิยิ่งแย่ไปหรอกหรือเพคะ” “สงบอารมณ์ด้วยเพคะ หยางเต๋อเฟย” นางกำนัลของไทเฮากล่าวเตือนเสียงแข็ง หยางรั่วอวิ๋นจึงสงบอารมณ์ลง นางหย่อนกายลงบนเก้าอี้นุ่มดังเดิม “เรื่องนี้ข้าเคยปรึกษากับฝ่าบาทแล้ว ทรงเห็นดีเห็นงามด้วย แต่ด้วยช่วงจังหวะเวลายังไม่เหมาะสมในตอนนั้น แต่หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะช่วยเจ้า อย่างไรเสียหานอี้ก็เป็นหลานชายของข้า การได้เห็นหลานๆ เป็นฝั่งเป็นฝาย่อมดีต่อข้าผู้เป็นย่านัก” ไทเฮากล่าวอย่างไม่จริงใจเท่าใดนัก แต่การให้หานอี้แต่งงานกับจางเซียวหรู ย่อมดีกว่าแต่งกับสตรีสูงศักดิ์จากสกุลอื่นแน่นอน หากเขาจับพลัดจับผลูไปแต่งงานกับสตรีที่มีอำนาจครอบครัวมากพอค้ำจุนบัลลังก์ ฐานะของหานไท่หยางก็จะยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ยิ่งตอนนี้ยังไม่มีประกาศคัดเลือกรัชทายาท พระนางไม่ควรประมาท แต่ควรตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม “พระนางทรงเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในวังหลวง ฝ่าบาทย่อมไม่ขัดพระทัยหากพระนางทรงประกาศออกมา ดังเช่นคราวของหานไท่หยาง” หยางเต๋อเฟยกล่าวกับหานไทเฮา “ได้ งั้นข้าจะมีราชโองการออกไป” หานไทเฮารับปาก ความรู้สึกบางอย่างบอกกับหลิวฮองเฮา ว่าพระนางไม่เห็นด้วยกับการให้หานอี้แต่งงานกับจางเซียวหรู เพราะสกุลจางเป็นสกุลใหญ่ของเมืองหลวง จางเยี่ยนเป็นเจ้ากรมการปกครองอีกทั้งควบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี หยางรั่วอวิ๋นคงรู้ว่าจางเซียวหรูเป็นที่โปรดปรานของบิดามากกว่าจางอวิ๋นซีที่เป็นบุตรฮูหยินเอก นางต้องอาศัยโอกาสนี้ให้จางเยี่ยนสนับสนุนหานอี้ขึ้นเป็นรัชทายาท พระนางควรหาทางขัดขวางเช่นไรดี?หยางเต๋อเฟยกลับมาที่ตำหนักอย่างเบิกบานใจ แผนการที่พระนางทรงวางเอาไว้เนิ่นนานกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า หากหานอี้ได้กำลังสนับสนุนจากจางเยี่ยนให้ขึ้นเป็นรัชทายาท นั่นเท่ากับว่านางจะสามารถลดทอนอำนาจของหลิวฮองเฮา และกลายเป็นพระราชมารดาของว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคตได้ แค่คิดก็มีความสุขใจยิ่งนัก
“ดีใจกับพระนางด้วยเพคะ” นางรับใช้คนสนิทกล่าวกับหยางรั่วอวิ๋น เต๋อเฟยแห่งวังหลวงระบายยิ้มอ่อนๆ ออกมา “อีกไม่นานนี้หรอก ข้าจะเขี่ยหญิงแพศยานั่นตกจากบัลลังก์เอง” “แล้วจะให้หม่อมฉันเชิญแม่นางจางมาที่นี่หรือไม่เพคะ” นางกำนัลถามอย่างรู้ใจ “ช้าก่อนดีกว่า ข้าจะรอจนกว่าจะมีราชโองการมอบสมรสพระราชทาน ถึงจะบรรลุเป้าหมายของจริง” หยางเต๋อเฟยยิ้มบางๆสองวันถัดมา ไทเฮาทรงมีพระราชโองการมอบสมรสพระราชทานให้แก่จางเซียวหรูและอ๋องหานอี้อย่างเป็นทางการ เมื่อความทราบถึงฮ่องเต้ แม้จะทรงกริ้วหนักแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ด้วยเพราะเรื่องนี้เป็นคำสั่งของพระราชมารดา ที่ทรงกริ้วหนักถึงเพียงนี้เพราะเรื่องการมอบสมรสพระราชทานทำให้เกิดประเด็นแตกแยกระหว่างขุนนางทั้งสองฝ่าย ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนฮองเฮากับหยางเต๋อเฟย
เหล่าสนมตำหนักในก็เริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวกอย่างชัดเจน จากที่เคยภักดีต่อฮองเฮา บางส่วนเริ่มเอนเอียงไปที่หยางเต๋อเฟย เพราะหากหานอี้ได้รับแรงสนับสนุนจากกรมการปกครองที่มีอำนาจล้นมือเป็นรัชทายาท สถานะของหยางเต๋อเฟยย่อมเทียบเท่าฮองเฮาและอาจสูงกว่า หากหยางเต๋อเฟยถูกสถาปนาเป็นฮองเฮาแทนที่ แม้แต่หานอี้ที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่ใคร่พอใจพระมารดานัก จึงบุกตำหนักพระมารดาไปถามไถ่ด้วยตนเอง “เสด็จแม่ เรื่องเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพะยะค่ะ” หานอี้ถามพระมารดาเสียงดังอย่างไม่พอใจ นี่คิดจะมอบสมรสพระราชทานให้เขากับสตรีที่เขาไม่ได้รักอย่างนั้นหรือ? หยางเต๋อเฟยวางจอกชาลงด้วยท่าทีสงบนิ่ง พระนางทรงระบายยิ้มอ่อนๆ ตอบบุตรชาย “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” “ข้าไม่ได้รักจางเซียวหรู เสด็จแม่ทรงทราบแต่ก็ยังบังคับให้เสด็จย่ามอบสมรสพระราชทานให้ ทรงคิดประการใดอยู่กันแน่!” หานอี้ถามเสียงดัง เขากำราชโองการในมือแน่นระบายความคับข้องใจ “เจ้ารักแต่จางอวิ๋นซี แต่ตอนนี้นางเป็นชายาของหานไท่หยาง ไม่มีประโยชน์หากเจ้าจะแต่งงานกับนาง มีแต่จางเซียวหรูเท่านั้นที่แม่ยอมรับ และนางจะทำให้แม่บรรลุความปรารถนาได้” หยางรั่วอวิ๋นกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นเดิม “หากเจ้าขัดราชโองการ ก็ถือว่าเจ้ามีโทษเป็นกบฏ เพราะรับสั่งนี้แม้แต่บิดาของเจ้าก็เห็นชอบด้วยเช่นกัน เจ้าไม่มีทางใดนอกจากยอมรับการแต่งงานกับนาง” หยางเต๋อเฟยกล่าวต่อ ตอนนี้พระนางไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยืมแรงสนับสนุนจากจางเยี่ยนให้บุตรชายของนางได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชทายาท อ๋องใหญ่อย่างหานอี้ไม่มีทางปฏิเสธราชโองการมอบสมรสพระราชทานนี้ได้ จึงได้แต่เดินออกจากตำหนักของผู้เป็นมารดาไปด้วยโทสะเจือในใจ อ๋องหนุ่มกำราชโองการในมือแน่นก่อนจะโยนลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี หากหานไท่หยางไม่รีบแต่งงานกับจางอวิ๋นซี บางทีเขาอาจพอมีโอกาส แต่ทว่าทุกอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่เป็นดังหวัง “หานไท่หยาง เห็นทีเจ้ากับข้าเราคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!” ในเมื่อสกุลจางคือตัวต้นเหตุ ก็อย่าโทษว่าเขาใจร้ายก่อนก็แล้วกัน!จางอวิ๋นซีนอนหลับตาพริ้มจนถึงรุ่งเช้า นางตื่นขึ้นมารู้สึกถึงความหนักอึ้งที่บริเวณเอวของนาง หญิงสาวปรือตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะกะพริบตาไล่แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ค่อยๆ หันหน้ามามองคนที่นอนอยู่ข้างกายและกำลังก่ายกอดนาง
‘หานไท่หยาง!’ เขามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด? หญิงสาวยกแขนของอีกฝ่ายออกจากไปเอว เขาช่างแข็งแรงสมดั่งชายนักรบโดยแท้ เพราะเวลาที่ได้นอนเคียงข้างกัน ร่างกายของเขาสูงใหญ่ดั่งภูผา ทำให้นางที่นอนอยู่ชิดใกล้ดูตัวเล็กไปโดยปริยาย ไม่รู้เหตุใดนางจึงลอบยิ้มออกมา เมื่อเห็นเขานอนอยู่เคียงข้างนางเช่นนี้ “จะตื่นเช้าไปไยกัน...” หานไท่หยางเอ่ยด้วยความงัวเงีย สองมือควานกอดร่างบางที่กำลังจะลุกขึ้นจากเตียงนอน “เหตุใดท่านจึงมานอนที่นี่ ข้าสั่งหรูหรงเอาไว้ว่าไม่ให้ใครเข้ามา” นางถามเสียงแข็ง ในใจนึกคาดโทษหรูหรงยิ่งนัก นี่อีกฝ่ายไม่เห็นนางเป็นเจ้านายแล้วหรือ “ที่นี่คือวังของข้า ข้าจะเข้าออกตำหนักใดก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของข้า ข้าเป็นเจ้าชีวิตทุกคนที่นี่ แม้แต่เจ้าด้วย...” อ๋องหนุ่มกล่าวเสียงเข้ม ใบหน้าดุดัน เมื่อคืนนางก็สั่งไม่ให้ใครเข้ามา แม้กระทั่งเขาที่เป็นสามีร่วมหลับนอนกับนางทุกคืน นางยังคิดห้ามเขา หากเขาไม่ถือวิสาสะเดินเข้ามา ก็คงไม่เห็นนางทำสิ่งแปลกประหลาดในตำหนักเป็นแน่ “แต่ข้าคือเจ้าของตำหนัก พระองค์ทำเช่นนี้ไม่ให้เกียรติข้าเลย แล้วไหนจะองค์หญิงซิ่วอิ่งนั่นอีก นางมาในฐานะว่าที่พระชายารอง พระองค์ควรอยู่กับนางเสียหน่อย” คำพูดของนางนั้นเจือไปด้วยความน้อยใจ แต่ก็นึกดีใจอยู่บ้างที่เขาเลือกมาหลับนอนกับนางแทน “นั่นเพราะข้ารู้สึกขาดทุน เจ้าเป็นนายหญิงของที่นี่ก็สมควรทำหน้าที่ตามฐานะของเจ้า ส่วนองค์หญิงซิ่วอิ่งนางก็คือผลตอบแทนที่ข้าควรได้...” หานไท่หยาง กล่าวในขณะที่สองมือยังโอบเอวนางไม่ยอมปล่อย จางอวิ๋นซีเอ่ยด้วยความน้อยใจ “ถ้าหากท่านรู้สึกขาดทุน ก็ควรไปหานาง นางเป็นองค์หญิงแคว้นเยว่ คงมอบสิ่งที่ท่านต้องการให้ได้ ไม่ใช่ข้าแล้วกัน ตอนนี้ข้าจะต้องไปสอนกฎระเบียบในวังให้นาง ไปสายมักไม่ดี” หญิงสาวผละตัวเองออกมาจากผู้เป็นสามี รีบจัดการอาบน้ำปะพรมเครื่องหอมโดยมีหรูหรงกับหยางกูกู และนางกำนัลจำนวนหนึ่งคอยช่วยเหลือ วันนี้นางไม่ตั้งใจอยากไปสอนขนบธรรมเนียมให้องค์หญิงซิ่วอิ่งเท่าใดนัก แต่นางตั้งใจจะส่งหยางกูกูเข้าไปแทน นางมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องทำ ได้เวลาสืบหาหลักฐานเรื่องการลอบฆ่าจางอวิ๋นซีคนเก่าแล้ว!หน้าที่การสอนขนบธรรมเนียมและกฎของวังให้องค์หญิงซิ่วอิ่ง จางอวิ๋นซีมอบหน้าที่ให้หยางกูกู ซึ่งเป็นกูกูใหญ่ของวังสอนแทน ส่วนตัวนางนั้น ตั้งใจออกไปสถานที่ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางมายังโลกนี้
ป่านอกเมือง! หญิงสาวไปซื้อม้าตัวหนึ่งจากตลาดนอกวังหลวง เนื่องจากป่าที่นางมาสิงร่างจางอวิ๋นซีคนเก่านี้ อยู่นอกเขตแคว้นหานและมีความลึกลับซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่แม้ว่าจะลึกลับซับซ้อนเพียงไร นางก็ไม่อาจดึงใครมาร่วมเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะหานไท่หยาง หากให้เขารู้ว่านางไม่ใช่จางอวิ๋นซีคนเดิม แต่เป็นคนอื่นที่มาสวมร่างแทน นางอาจมีโทษกบฏฐานลบหลู่เบื้องสูง และสกุลจางอาจเดือดร้อนทั้งหมด นางไม่อาจให้ผู้อื่นมาเดือดร้อนร่วมได้ หญิงสาวกำลังขี่ม้าออกนอกเมืองหลวง นางแวะดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในยามเช้า จนกระทั่งได้ยินเรื่องที่ทำให้นางพอใจยิ่ง “ข้าได้ยินว่าหานอี้ อ๋องใหญ่กำลังอภิเษกกับบุตรีฮูหยินรองสกุลจางล่ะ” เสียงของผู้มาใช้บริการโรงเตี๊ยมคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมากับคู่สนทนาของตนเอง “นั่นสินะ แต่ข้าว่าอย่างไรเสียคุณหนูจางเซียวหรูดูกิริยามารยาทงดงามกว่าพระชายาเอกจางนัก ไม่รู้ฮองเฮาทรงคิดเช่นไรถึงให้สตรีที่เขาลือกันว่าเป็นบ้าใบ้แต่งงานกับหานไท่หยาง” จางอวิ๋นซีเอาตะเกียบเคาะกับจานขนมจีบเบาๆ นี่นางดูแย่มากในสายตาคนอื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางคิดแล้วก็ใคร่ยิ้มเยาะในใจนัก คงเป็นแผนการที่จางเซียวหรูกับหลี่ฮูหยินจงใจปล่อยข่าวลือเรื่องที่นางเสียสติเป็นแน่ พวกนางช่างวางแผนได้ร้ายกาจเสียจริง แต่หากนางสามารถหาหลักฐานได้ว่าสองคนนั้นมีส่วนทำให้จางอวิ๋นซีต้องเป็นเช่นนี้ แม้แต่หยางเต๋อเฟยก็คงไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยได้ คิดจะเล่นกับคนอย่างจางอวิ๋นซี คิดผิดนัก!จางอวิ๋นซีขี่ม้าออกมาเรื่อยๆ จนถึงเขตป่านอกเมือง ที่ที่นางมาโผล่ในโลกนี้เพราะการร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร่างเดิม หากนางสามารถหาหลักฐานและคนร้ายตัวจริงได้ นางจะได้กลับโลกเดิม ไปทำหน้าที่เดิมของตนเสียที
“ท่านแม่ ท่านแน่ใจนะเจ้าคะ ว่ากลบร่องรอยแล้วจะไม่มีใครตามกลิ่นพวกเราได้” เสียงของจางเซียวหรูแว่วมาแต่ไกล ในขณะที่ยืนมองสถานที่ที่เคยฝังร่างของจางอวิ๋นซีเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว หลี่ฮูหยินมีความกังวลปรากฏขึ้นที่ใบหน้าเช่นกัน “แม่เองก็กังวลไม่ต่างกัน แต่ตอนนี้สมรสพระราชทานระหว่างเจ้ากับหานอี้ออกมาแล้ว อย่าทำตัวให้น่าสงสัย” “หากหยางเต๋อเฟยทรงทราบเรื่องนี้ พวกเราจะไม่คอขาดหรือเจ้าคะท่านแม่” จางเซียวหรูเอ่ยเสียงสั่น หลี่ฮูหยินกระตุกยิ้มบางๆ “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก หากเจ้าแต่งเป็นพระชายาแล้ว แม่จะหาทางให้พ่อเจ้าทูลยุยงฝ่าบาทสนับสนุนหานอี้เป็นรัชทายาท ทีนี้เรื่องที่ข้าเป็นแค่ฮูหยินรองก็จะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป ทุกคนจะสนใจเพียงแต่เจ้า...ว่าที่ฮองเฮา...” จางอวิ๋นซีได้ยินชัดถ้อยชัดคำทุกคำพูด ทุกคำกล่าวนั้นเป็นหลักฐานชั้นดีได้เลย แต่ว่าที่นี่คือโลกแห่งอดีต มิใช่โลกปัจจุบันที่มีวิวัฒนาการล้ำหน้า นางจึงพยายามจับจุดสังเกตเพื่อให้เป็นหลักฐานเอาผิดสองคนแม่ลูกได้เด่นชัดยิ่งขึ้น ‘การให้จางเซียวหรูแต่งงานกับหานอี้นับเป็นเรื่องใหญ่ หลิวฮองเฮาแม้จะยินยอม แต่ในใจของนางนั้นกลับไม่ยินยอมอย่างยิ่ง อำนาจของกรมการปกครองมีมากพอที่จะสนับสนุนหานอี้ เพราะฮองเฮาทรงรู้ดีว่าบิดาไม่โปรดปรานข้าเหมือนเช่นเซียวหรู พระนางต้องหาทางขัดขวางงานแต่งครั้งนี้แน่ แต่จะทำแบบไหน?’ จางอวิ๋นซีคิดในใจ หากนางเป็นหลิวฮองเฮา จะทำเช่นไรเพื่อขัดขวางการแต่งงานของหานอี้กับจางเซียวหรูครั้งนี้ หญิงสาวลอบซุ่มดูสถานการณ์อย่างลับๆ จนกระทั่งเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ร่วมสี่ถึงห้าคนเดินเข้ามาหาหลี่ฮูหยิน ‘เป็นพวกมันจริงๆ ด้วย’ นางคิดในใจ เพราะกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้นางเคยเจออยู่หนหนึ่ง เมื่อครั้งกลับบ้านพร้อมกับหานไท่หยาง นางกำมือแน่นในใจไม่คาดคิดว่าหลี่ฮูหยินกับจางเซียวหรูจะโหดร้ายกับสตรีที่น่าสงสารคนหนึ่งได้ขนาดนี้ กร๊อบ! หญิงสาวเผลอเหยียบใบไม้ หลี่ฮูหยินกับชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นหันมาด้วยความตกใจ ด้วยกลัวว่าแผนการที่พวกตนวางเอาไว้จะถูกแพร่งพรายออกไปได้ “อื้อ!” จางอวิ๋นซีร้องอู้อี้ในลำคอ เมื่อมีมือหนาคู่หนึ่งยื่นเข้ามาปิดปากนางเอาไว้ และลากนางออกมาจากบริเวณนั้น “ใครน่ะ...ตามจับมา!” หลี่ฮูหยินออกคำสั่ง แต่ทว่าทหารกลุ่มหนึ่งกลับออกมาแล้วสังหารคนของหลี่ฮูหยินจนตายสิ้นมือหนาคู่นั้นปิดปากนางสนิทและลากนางออกมาไกลจากจุดที่จางเซียวหรูกับหลี่ฮูหยินอยู่พอสมควร จึงคลายมือออกจากใบหน้าของนาง
“ข้ามาช่วยเจ้าเอาไว้ แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้หรือ?” เมิ่งฉีกล่าวด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า หากเขามาช้ากว่านี้เกรงว่านางคงได้กลายเป็นศพไปแล้วแน่ๆ “องค์รัชทายาทแคว้นเยว่นี่เอง ท่านตามข้ามารึ?” นางถามพลางพ่นลมหายใจออกมาระบายความอึดอัด เมิ่งฉียิ้ม “อย่าคิดว่าข้าตามเจ้ามาสิ เมืองหลวงออกจะกว้างใหญ่ ย่อมมีที่น่าสนใจมากมาย ไม่คาดคิดว่าจะเจอสาวงามกลางป่าแบบนี้” ‘โกหก เขาสะกดรอยตามนางมาชัดๆ’ หญิงสาวคิดในใจ เมิ่งฉีไม่ใช่คนของแคว้นเยว่ เขาไม่มีทางมาป่านี้ได้โดยไม่หลงทาง อีกทั้งฝ่าเท้าที่มีเศษใบไม้ติดอยู่ ย่อมเป็นเครื่องการันตีให้กับนางได้ว่า นางโดนเมิ่งฉีสะกดรอยตามมา หญิงสาวกระตุกยิ้มมุมปาก “หากท่านไม่ได้สะกดรอยตามข้ามา แล้วเหตุใดคนที่เพิ่งมาแคว้นหานครั้งแรกอย่างท่าน จึงมาที่นี่ได้โดยไม่หลงทางกัน” “ฉลาดเป็นกรด สมกับเป็นสตรีที่ข้าหมายปองยิ่งนัก เหมาะสมแล้วที่เจ้าจะมาเป็นฮองเฮาของเข้า” เมิ่งฉีชื่นชมนางอย่างออกหน้าออกตา “ตอนนี้คนของทางนั้นถูกข้าสังหารตายหมดแล้ว เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าทำไมต้องฟังพี่สาวเจ้ากับแม่เลี้ยงคุยกัน” องค์รัชทายาทหนุ่มถามด้วยความสนใจ นับวันจางอวิ๋นซียิ่งทำสิ่งใดถูกใจเขายิ่งนัก “พระองค์สังหารพวกเขาตาย แล้วหม่อมฉันจะทราบหรือว่าพระองค์นั้นมาดีหรือมาร้าย สังหารพวกเขาตายก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ข้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ไว้ใจได้” นางรู้ทันเขา มองเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ‘ถ้าคิดว่านางจะหลอกง่ายปานนั้น ไปหลอกจางเซียวหรูเถิด’ แปะๆ เมิ่งฉีปรบมือดังๆ สองที มองนางด้วยสายตาชื่นชม “ยิ่งมองเจ้า ยิ่งเห็นสิ่งที่เจ้าคิด ข้าก็ยิ่งอยากให้เจ้ามาเป็นชายาของข้ายิ่งนัก ความสามารถที่ฉลาดเป็นกรดเช่นนี้ ไม่ควรถูกปิดผนึกไว้กับบุรุษเช่นสามีของเจ้า” เมิ่งฉียังคงกล่าวเยินยอนางไม่สิ้นสุด “หากผนึกความฉลาดของเจ้ากับข้าเข้าร่วมกัน พวกเราทั้งสองต้องยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครแน่” จางอวิ๋นซีชักกระบี่จ่อที่ลำคอของเมิ่งฉี องครักษ์เงาที่แฝงตัวอยู่รีบโผล่เข้ามาล้อมนางเอาไว้ และจ่อปลายกระบี่ใส่นาง แต่เมิ่งฉีห้ามเอาไว้ก่อน พวกเขาจึงยอมลดกระบี่ลง แต่สายตามองนางไม่ยอมปล่อยให้คลาดแม้แต่วินาทีเดียว “เช่นนั้นหากท่านคิดแต่งงานกับข้าท่านก็โชคร้ายนัก หากข้าเป็นท่าน ข้าจะไม่เอาสตรีที่อันตรายเช่นนี้ไว้กับตัวเด็ดขาด” นางกล่าวเตือนเป็นนัยๆ ในใจอยากไปให้พ้นจากตรงนี้นัก จากตรงนี้คงไม่ไกลมากเท่าใดที่นางผูกม้าเอาไว้ นางหันหลังเตรียมตัวเดินทางกลับ “หากเป็นเช่นนั้น ให้ข้าไปส่งท่านที่วังของไท่หยางเถิด จากตรงนี้หากท่านไปหาม้าที่จูงเอาไว้ เกรงว่าคงถูกพวกโจรชั่วกลุ่มนั้นลักขโมยไปแล้ว” เมิ่งฉีเอ่ยเสียงเรียบ “ให้ข้าอาสาไปส่งท่านที่วังเถิด รับรองว่าจะส่งถึงมือหานไท่หยางโดยปลอดภัยแน่นอน” นางมองเมิ่งฉีอย่างไม่ไว้ใจ แต่นางจะยอมเชื่อใจเขาดูสักครั้งก็แล้วกัน “ย่อมได้ ข้าว่าท่านคงไม่เป็นบุรุษตระบัดสัตย์กระมัง” นางเอ่ย องค์รัชทายาทหนุ่มยิ้มบางๆ พลางดึงมือนางให้ขึ้นม้าตัวเดียวกันแล้วควบออกจากป่าไป จากท่าทางควบม้าออกจากป่าที่คล่องแคล่วเช่นนี้ ทำให้จางอวิ๋นซีรู้ทันทีว่าเขาเคยมาสำรวจดินแดนแห่งนี้แน่นอน หาใช่มาครั้งแรกดั่งที่เขาเอ่ย แม้นางจะไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของเมิ่งฉี แต่นางคาดเดาว่าเขาไม่ได้มาด้วยจุดประสงค์ดีแน่นอน และคงไม่ได้คิดดีต่อนางและหานไท่หยางดังที่เอ่ยปากเอาไว้ นางจะต้องรู้ให้ได้ว่าเขามีความคิดอันใดที่เป็นภัยต่อแคว้นหานหรือไม่ นางจะต้องสืบรู้ให้ได้สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ