องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน
“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิด จางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้” “แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง “เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจิตใจของจางอวิ๋นซียิ่งนักที่อดทนต่อคำดูหมิ่นดูแคลนของซิ่วอิ่งได้ หากเป็นนางเองนางไม่แน่ใจนักว่าจะทนได้สักแค่ ไหน “แค่เจ้าเข้ามาในวังได้ไม่กี่ก้าว เจ้าก็ทำความผิดมากมายแล้ว เจ้าไม่เคารพข้า ดูหมิ่นดูแคลนข้า ไม่คิดสนใจกฎธรรมเนียมของวัง ข้าในฐานะนายหญิงข้าสามารถลงโทษเจ้าได้ทันที และข้า...ไม่ปราณีใครง่ายๆ” เพลานี้จางอวิ๋นซีถือไพ่เหนือกว่า ในเมื่อองค์หญิงผู้นี้ไม่เคารพนาง ดูหมิ่นดูแคลนนาง นางก็ไม่ขออดทนอีกต่อไปแล้ว นางหันมาสั่งหลินกงกง “หลินกงกง เจ้าไปนำไม้หวายมา” หลินกงกงน้อมรับ พลางหยิบไม้หวายจากหรูหรงที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ราวกับรู้งานส่งให้พระชายา ซิ่วอิ่งมองด้วยความคับแค้นใจ นางต่อว่าจางอวิ๋นซีเสียงดัง “เจ้าคิดว่าฮองเฮากับไทเฮาคอยให้ท้าย แล้วเจ้าคิดจะทำสิ่งใดก็ย่อมได้อย่างนั้นรึ!” ซิ่วอิ่งถามเสียงดัง นางมองซ้ายมองขวาเรียกนางกำนัลของตนเองให้เข้ามาช่วย “ซือเหลียน! เข้ามาช่วยข้าที” นางกำนัลใหญ่อย่างซือเหลียนกำลังจะปราดเข้ามาขวางจาง อวิ๋นซีเอาไว้ “มาวันแรกก็คิดขัดคำสั่งข้าทั้งนายทั้งบ่าว อย่าคิดว่าสามีข้าใจอ่อนยอมรับเจ้ามาเป็นชายารองแล้วจะมากำแหงกับข้าได้ ในเมื่อชอบดูถูกผู้อื่นว่าต่ำศักดิ์นัก ข้าจะก็สอนเจ้าเองว่าสิ่งใดที่เรียกว่าสูง สิ่งใดที่เรียกว่าต่ำศักดิ์!” จางอวิ๋นซีกล่าวเสียงเข้ม ทหารของวังอ๋องเข้ามาลากซือเหลียนนางกำนัลของซิ่วอิ่งออกไป หยางกูกูกดไหล่ขององค์หญิงคนงามให้นางนั่งทรุดลงกับพื้นขรุขระหน้าวัง พลันไม้หวายของจางอวิ๋นซีก็ฟาดลงมาที่แผ่นหลังของซิ่วอิ่งถึงสามครั้ง แต่เป็นสามครั้งที่รุนแรงยิ่ง ทำโทษนางเสร็จ ก็ส่งไม้หวายให้หรูหรงแล้วกล่าว “สำหรับที่เจ้าเพิ่งมาเยือนครั้งแรก ข้าจะสั่งสอนเจ้าเบาๆ แต่หากเจ้าคิดแสดงตนไม่เคารพข้าอีก ข้าจะไม่ทำแค่ลงหวายกับเจ้า จำเอาไว้ให้ดี” “เจ้า...!” ซิ่วอิ่งประคองตนเองให้ลุกขึ้นมาโดยมีซือเหลียนคอยช่วยประคองอีกแรง นางอยากจะกรีดร้องให้สาสมกับความอับอายในวันแรกที่นางได้รับยิ่งนัก จางอวิ๋นซีหันมามองอีกฝ่ายเพียงนิด ยกยิ้มข้างหนึ่งที่มุมปาก นางกล่าว “คิดจะทำตัวต่ำ ก็ต้องยอมรับผลกรรมที่ตามมา”“ท่านอ๋องทรงคิดเห็นเช่นไรพะยะค่ะ” เฉินหรงถาม เมื่อเขารายงานสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหน้าจวนให้ผู้เป็นนายฟังอย่างละเอียด แต่แทนที่หานไท่หยางจะมีสีหน้าเคร่งเครียด เขากลับระบายยิ้มจางๆ ออกมา
ชายหนุ่มกำลังจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษ แต่เมื่อรับรู้เช่นนี้เขาก็ยิ่งสุขใจนัก “ให้นางทำเช่นนั้นล่ะดีแล้ว” เฉินหรงท้วง ด้วยเกรงว่าสถานการณ์ทั้งสองแคว้นที่กำลังจะดีขึ้น อาจกลายเป็นย่ำแย่ลง “แต่ว่า นางเป็นองค์หญิงของแคว้น แค่เป็นพระชายารองก็นับว่านางยอมลดเกียรติมากแล้วนะพะยะค่ะ” นี่ล่ะสิ่งที่หานไท่หยางต้องการ... “นางเป็นนายหญิงของวัง หน้าที่ดูแลความสงบภายในเป็นหน้าที่ของนาง นางทำเช่นนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว” หากเฉินหรงคาดเดาจากคำพูดของหานไท่หยางไม่ผิด นี่แสดงว่าเจ้านายของเขากำลังปกป้องพระชายาจางอยู่หรือ แค่เพียงคิดองครักษ์หนุ่มก็สุขใจนัก แสดงว่าท่านอ๋องของเขาคงเริ่มใจอ่อนกับพระชายาแล้วกระมัง “จะให้กระหม่อมคอยสืบความเคลื่อนไหวของนางหรือไม่พะยะค่ะ” องครักษ์หนุ่มถาม หานไท่หยางกล่าว “นางยอมมาเป็นชายารองเช่นนี้ ข้าไม่คิดว่าเมิ่งฉีจะส่งนางมาโดยไร้กำลังป้องกัน นางอาจมีองครักษ์เงาติดตามอยู่ คอยสืบให้ข้าว่ามีจำนวนเท่าใด ความสามารถระดับไหน สืบมาให้ละเอียด” เฉินหรงประสานมือน้อมรับพระบัญชา “พะยะค่ะ” จากนั้นองครักษ์หนุ่มจึงก้าวออกจากตำหนักใหญ่ไป ทิ้งให้หานไท่หยางนั่งคิดเกี่ยวกับจางอวิ๋นซีอย่างเพลินๆ ‘ท่าทางเสี่ยวซีของข้า คงแค้นนางน่าดู’ องค์หญิงซิ่วอิ่งทั้งอับอายทั้งแค้นใจยิ่งนัก แค่นางมาวันแรก นางก็โดนจางอวิ๋นซีเล่นงานหนักถึงเพียงนี้แล้ว! นางอยากกรีดร้องระบายโทสะ ทำลายข้าวของดังเมื่อครั้งอยู่แคว้นเยว่นัก แต่เพลานี้นางถูกส่งมาอยู่ที่นี่ นางต้องทำตนให้สมกับเป็นว่าที่พระชายารองของหานอ๋องไท่หยางถึงจะถูก “จางอวิ๋นซี เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้รึ!” องค์หญิงคนงามกำชายอาภรณ์แน่น นางมองแผ่นหลังของตนเองผ่านกระจกทองเหลือง รอยไม้หวายเป็นทางยาว แม้จะไม่ลึกมาก แต่ทำให้เจ็บระบมยิ่งนัก ซือเหลียนจึงช่วยทายาสมานบาดแผลให้ผู้เป็นนาย “นางถือตัวว่าเป็นคนโปรดของไทเฮา ถึงได้ทำการถือดีกับองค์หญิงได้เช่นนี้ น่าเจ็บแค้นนักเพคะ” ซือเหลียนเค้นเสียงด้วยความแค้นใจ นางรับใช้องค์หญิงของนางมานาน ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมมาตั้งแต่เยาว์วัย ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ใจต้องการมาตลอด แต่ทว่าวันนี้กลับต้องพลาดท่าเสียทีอีกฝ่ายที่มีตำแหน่งสูงกว่า “ข้าหมายตาตำแหน่งชายาเอกของหานไท่หยางมานาน แต่นางถือว่าเป็นคนโปรดเลยคิดมาแย่งชิงพื้นที่ของข้าไป คอยดูเถิด ข้าจะเฉดหัวนางออกไปจากวัง ให้นางต้องตาย!” ซิ่วอิ่งเอ่ยด้วยความคับแค้นใจ นางอยากสังหารคนที่หยามเกียรติศักดิ์ศรีของนางนัก “องค์หญิงของหม่อมฉันเป็นสตรีสูงศักดิ์ เชื่อว่าอีกไม่นานท่านอ๋องก็ต้องหาทางปลดพระชายาเอกแล้วแต่งตั้งองค์หญิงแทนที่นางแน่นอนเพคะ” ซือเหลียนเอ่ยเอาอกเอาใจผู้เป็นนาย “ยิ่งคิดก็ยิ่งอดสงสัยไม่ได้ นางมีดีเช่นใดกัน เป็นแค่บุตรสาวขุนนาง แต่กลับเป็นที่โปรดปรานของฮองเฮากับพี่ชายข้า นางใช้เสน่ห์เล่ห์กลอันใดกัน” ซิ่วอิ่งหันมาเอ่ยกับซือเหลียน “หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่านางเคยประสบอุบัติเหตุ จนกระทั่งเหมือนคนสูญเสียความทรงจำเพคะ เรื่องนี้คนในสกุลจางของนางล้วนรู้ดีทั้งสิ้น” ซือเหลียนเอ่ย ซิ่วอิ่งใช้ความคิดกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง นางหันมาสั่งกับซือเหลียน “เจ้าสั่ง ให้คนของเราลอบแฝงกายอยู่ทั่ววัง โดยเฉพาะตำหนักของ จางอวิ๋นซี จับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของนาง มีสิ่งใดให้มารายงานข้า” ยังไม่ทันกล่าวจบ นางกำนัลอีกคนขององค์หญิงซิ่วอิ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “องค์หญิง ท่านอ๋องเสด็จมาเพคะ” องค์หญิงซิ่วอิ่งรีบลุกขึ้นทันทีทันใด นางระบายยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นระคนดีใจนัก รีบหันมาสั่งนางกำนัลกับซือเหลียน “เร็วเข้า! รีบไปจัดสำรับถวายท่านอ๋องเร็ว!” ซือเหลียนอมยิ้มน้อยๆ แล้วน้อมรับพระบัญชา “เพคะ”ตำหนักรับรองที่หานไท่หยางสั่งให้หลินกงกงจัดให้องค์หญิงซิ่วอิ่งพักชั่วคราว มีอาณาเขตอยู่ใกล้กับตำหนักใหญ่ของเขานัก ซึ่งเหมาะสมแล้วหากเขาจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของนางได้อย่างถนัด หลังจากที่รับทราบจากเฉินหรงว่านางโดนจางอวิ๋นซีสั่งสอน เขาก็ใคร่อยากมาดูด้วยตนเองว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ท่านอ๋อง...” องค์หญิงซิ่วอิ่งออกมาต้อนรับด้วยตนเอง นางกล่าววาจาอ่อนหวานและเคารพอย่างนอบน้อม ท่าทีเหนียมอายเช่นนี้ทำให้หานไท่หยางรู้สึกรังเกียจนางยิ่ง “เสด็จมากะทันหันเช่นนี้ อิ่งเอ๋อร์มิทันได้เตรียมการต้อนรับ ขอทรงประทานอภัยด้วยเพคะ” หานไท่หยางแสร้งยิ้มตอบนาง “เอาเถิด วันนี้ข้าแค่อยากมาดูว่ามีสิ่งที่ใดที่ว่าที่พระชายารองต้องการหรือไม่” “หากไม่รังเกียจ เชิญเสด็จเข้ามาด้านในเถิดเพคะ” องค์หญิงซิ่วอิ่งกล่าวอ่อนหวานเชื้อเชิญอย่างเหนียมอาย วันนี้หานไท่หยางกล่าววาจาเสนาะหูนางอย่างยิ่ง ต่างจากคนเดิมที่ทำท่าทีห่างเหินใส่นางในคราวก่อน บริเวณรอบๆ ตำหนักถูกรมด้วยกำยานกลิ่นกุหลาบ แต่ทว่ากำหยานกลิ่นนี้หานไท่หยางคุ้นเคยนักตั้งแต่อยู่ชายแดนเหนือตำบลซ่างจิ่ง เป็นกำยานหอมที่มักถูกรมด้วยผงยาปลุกกำหนัดอ่อนๆ หากเขาไม่เตรียมการกินยาถอนพิษมาล่วงหน้าแล้วไซร้ คงต้องมารยาขององค์หญิงผู้นี้เป็นแน่ “กำยานตำหนักเจ้าหอมชื่นใจข้านัก” หานไท่หยางแสร้งสูดดมกลิ่นหอมของกำยาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะน้ำชา องค์หญิงคนงามยิ้มอ่อนหวานตอบ “กำยานนี้ หม่อมฉันนำมาจากแคว้นเยว่ ดีใจยิ่งนักที่ท่านอ๋องทรงพอพระทัย” “คราวก่อนข้าต้องขออภัยที่ทำกิริยาล่วงเกินเจ้า ทำตนไม่ดีกับเจ้า แต่เพราะชายาเอกของข้าอยู่ที่นั่น ข้าเลยต้องสงวนท่าทีต่อเจ้า” หานไท่หยางระบายยิ้มบางๆ ฝ่ามือหนาลูบไล้ใบหน้างดงามขององค์หญิงซิ่วอิ่งอย่างเอาใจ ซือเหลียนและหลินกงกงต้องรีบออกไปอย่างรู้งาน “แต่การที่พระองค์ทำเช่นนั้น ทำให้หม่อมฉันรู้สึกไม่ดีนักเพคะ” ซิ่วอิ่งแสร้งน้อยใจ “ที่ข้าต้องทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่และเสด็จย่าทรงพอพระทัยในชายาเอกของข้า จนมิอาจให้ข้ารับชายารองหรือสนมใดเข้าวัง แต่ข้าดีใจยิ่งนักที่เจ้าได้เข้ามาอยู่ในวังของข้า และกำลังอภิเษกเป็นชายาของข้าในอีกไม่นานนี้” “แต่ท่านอ๋องทรงบอกว่าต้องรอให้ครบหนึ่งปี จึงจะอภิเษกหม่อมฉันเป็นพระชายารอง...หม่อมฉันเป็นองค์หญิง ต้องโดนลดเกียรติถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ” นางแสร้งกล่าวด้วยความน้อยใจ หานไท่หยางจับมือของนางเข้ามากุมเอาไว้ “ที่ข้าต้องแต่งงานกับนาง ก็เพราะสมรสพระราชทานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขอเจ้าโปรดเข้าใจ ข้าไม่อาจมีปัญหากับเสด็จแม่และเสด็จย่า” หานไท่หยางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ก็ได้เพคะ เพื่อท่านอ๋อง หม่อมฉันยอมอดทนรอเพคะ” ซิ่วอิ่งเอ่ยวาจาเอาอกเอาใจ หนึ่งปี! ใครจะทนรอกันเล่า...ในเมื่อหานไท่หยางไม่เต็มใจแต่งงานกับจางอวิ๋นซี นางก็จะช่วยเขากำจัดอีกฝ่ายออกไป ตำแหน่งพระชายาเอกของนางนางจะได้อภิเษกเข้าจวนอ๋องได้อย่างสบายใจเสียที! จางอวิ๋นซีกำลังเดินทางมาตำหนักรับรอง พร้อมกับหรูหรงและหยางกูกู ในมือของสองนางกำนัลมีอาภรณ์และเครื่องประดับที่ต้องนำมามอบให้ว่าที่พระชายารององค์ใหม่ของวัง แม้ใจนางไม่อยากทำ ไม่อยากเห็นผู้เป็นสามีต้องอยู่กับ สตรีอื่น แต่นางไม่สามารถหลีกเลี่ยงหน้าที่นี้ได้ “ขออภัยเพคะพระชายา เพลานี้ท่านอ๋องทรงสนทนาอยู่กับองค์หญิง ไม่สะดวกให้ผู้ใดเข้าพบเพคะ” ซือเหลียนกล่าวด้วยวาจาหยิ่งทะนง พร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง “สามหาวนัก! พระชายาเอกเป็นนายหญิงของวัง เจ้าถือสิทธิ์ใดมาห้ามพระนาง และยังไม่แสดงความเคารพอีก!” หยางกูกูกล่าวขึ้นเสียง ซือเหลียนยังคงกล่าวด้วยความโอหังต่อไป เพลานี้ท่านอ๋องกำลังอยู่องค์หญิงของนางเพียงลำพัง ถือเป็นโอกาสดียิ่งนัก “ขอประทานอภัยเพคะพระชายา แต่เจ้านายของหม่อมฉันมีเพียงองค์หญิง พระชายาเป็นนายหญิงของวังก็จริง แต่ทว่า...ก็เป็นบุตรสาวขุนนาง” เพียะ! จางอวิ๋นซีฟาดฝ่ามือเข้าไปที่ใบหน้าของซือเหลียนอย่างแรง “ข้าเป็นนายหญิงของวังนี้ องค์หญิงของเจ้าตอนนี้มีแค่สถานะเป็นองค์หญิง ยังมิถึงเวลาแต่งตั้งเป็นพระชายา ตำแหน่งเจ้าและข้าใครสูงใครต่ำเจ้าควรใช้สมองที่มีแยกแยะให้ชัดเจน ตบครั้งนี้เป็นแค่การสั่งสอนเจ้า แต่หากต่อไปเจ้าคิดกำเริบเสิบสานกับข้าอีกล่ะก็ ข้าจะไม่ทำแค่ตบเจ้าครั้งเดียวแน่” “พระชายา ทรงสงบพระทัยก่อนเถิดพะยะค่ะ” หลินกงกงกล่าว จางอวิ๋นซีมองหลินกงกงด้วยหางตา “นางผู้นี้เป็นคนขององค์หญิงซิ่วอิ่ง เมื่อเข้ามาอยู่ในวังก็ย่อมมีสถานะเป็นคนของวังนี้ ข้าซึ่งเป็นนายหญิง จะปล่อยให้บ่าวกำเริบเสิบสานมองไม่เห็นหัวนายได้อย่างไร วังย่อมมีกฎ แค่นี้คือการเตือน...” “เสียงดังอันใดกัน” หานไท่หยางเปิดประตูออกมามองเหตุการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้น มีองค์หญิงซิ่วอิ่งคล้องแขนอีกฝ่ายอย่างประกาศโจ่งแจ้ง จางอวิ๋นซีผินหน้าไปทางอื่น นางไม่อาจจัดการกับความรู้สึกบางอย่างยามที่เห็นสามีผู้เคยร่วมหลับนอนด้วยกันทุกคืนต้องอยู่ใกล้ชิดกับหญิงอื่น ยิ่งเห็นท่าทีเยาะเย้ยของอีกฝ่ายแล้ว นางคงทนไม่ได้อาจจะต้องพ่นคำผรุสวาทออกมา “ข้าแค่เอาของมาให้องค์หญิง อีกไม่นานนางจะมาเป็นพระชายารองของวังนี้ ก็สมควรที่ข้าจะต้องนำของมาต้อนรับนาง” หยางกูกูส่งมอบของให้ซือเหลียน แล้วเดินหันหลังกลับตามพระชายาเอกของนางไป “ซือเหลียน หน้าเจ้าไปโดนสิ่งใดมากัน” องค์หญิงซิ่วอิ่งแสร้งโวยวาย “พระชายาเอกทำร้ายหม่อมฉันเพคะ...” นางกำนัลคนสนิทแสร้งบีบน้ำตา หวังใส่ร้ายจางอวิ๋นซี “นางดูถูกองค์หญิงเพคะ หม่อมฉันทนไม่ได้ เลยต้องออกมาพูดปกป้องแต่โดนนางทำร้าย” หญิงสาวที่หันหลังกำลังเดินทางกลับตำหนักของตนเอง หันกลับมา นางยิ้มระบายอ่อนๆ “ทั้งเจ้านายและลูกน้อง คงระดับการศึกษาเท่าเทียมกันสินะ ท่าทางและวาจานั้นต่ำทั้งคู่!” นางมองหน้าซิ่วอิ่งสลับกับหานไท่หยางด้วยความผิดหวัง เขาแทบไม่พูดจาอันใดกับนาง นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ตรงนี้อีกต่อไป ยัยองค์หญิงขี้โกหก กับบ่าวรับใช้จอมสอดแทรก นางจะเอาคืนให้หนักทีเดียว!สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ