ฮูหยินขององค์ชายใบ้ หนึ่งเดือนผ่านไป ความรู้สึกแรกเมื่อม่านซือซือก้าวเข้ามาในตำหนักแห่งนั้น นางตอบตนเองไม่ได้ว่าดีใจหรืออึดอัด และลึกๆ นางกลับหวั่นใจถึงสิ่งที่ยังคาดเดาไม่ได้ เมืองหลวงกว้างใหญ่ผู้คนล้วนแปลกหน้า จิตใจคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คดเคี้ยวลึกลับยากหยั่งถึงและไม่อาจไว้ใจได้ อีกทั้งตำหนักแห่งนี้มิได้มีโฉมงามที่เคียงคู่กับจ้าวเล่อซีเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่แม่นางเสี่ยวเหยา หากยังมีอีกคนที่มเหสีอี้เหอเตรียมการไว้เพื่อให้อีกฝ่ายนั่งตำแหน่งพระชายาของจ้าวเล่อซี“ท่านแม่...” ฝูเอ๋อร์เรียกนาง และแม่นางน้อยก็ยิ้มประจบจนดวงตาเล็กๆ ยิบหยี และฝูเอ๋อร์ในบ่ายวันนี้ดูเหนื่อยล้าอยู่สักหน่อย การนั่งรถม้าหลายคืนติดต่อกัน ถึงจะได้พักผ่อนตามทางบ้าง แต่อาเฟยก็เข้มงวดหลายสิ่ง คงตั้งแต่จู่ๆ ที่มีชายชุดเขียวโผล่มา เขามีนามว่าตี้หยงชุนซึ่งมีท่าทีพิลึก นอกจากนั้นฝูเอ๋อร์ยังมีอาการไม่สู้หน้าอีกฝ่าย ยามนั้นนางก็กอดม่านซือซือแน่นและยังฝันร้ายติดกันหลายคืน เมื่ออาเฟยให้คนไปสืบเรื่องราวของตี้หยงชุน กลับพบว่าเขาไร้ตัวตนที่แน่ชัด เรื่องนี้ทำให้ ม่านซือซือเครียดอยู่มิน้อย และนางก็ออกปากกับอ
จ้าวเล่อซีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เมื่อรู้ว่าสาวใช้ของเขากลายเป็นแม่เสือร้ายตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเมืองหลวง เขาส่งเสียงหัวเราะห้าวใหญ่ ฟังดูน่ากลัวจนทุกคนที่รับใช้เขาอยู่ในห้องหนังสือขนลุกไปตามๆ กัน“อย่างที่ข้ารายงานคุณชาย ฮูหยินไม่ไว้หน้าคุณหนูเตียวจื่อสักนิด นั่นคงเป็นเพราะนางเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว”‘คงไม่ใช่นางคิดว่าข้าให้ท้ายหรอกนะ’“มิใช่ ข้าเห็นบ่าวรายงานว่าฝ่ายนั้นมาหาเรื่องก่อน และฮูหยินก็ตอบไปตรงๆ ทว่าสิ่งที่นางพูดล้วนทำให้คุณหนูเตียวจื่อแทบเป็นลมล้มพับไป”บุรุษที่สวมหน้ากากชอบใจกว่าเดิม คืนนี้เขาคงต้องตบรางวัลนางหนักๆ เสียหน่อย“แต่คุณชายคงไม่ลืมว่า อย่างไรเสียหากในภายภาคหน้าคุณชายต้องเป็นบิดาของแคว้นชิง ท่านย่อมต้องมีสตรีที่ดูแลวังหลัง”อาเฟยกล่าวขึ้น แต่เรื่องนี้จ้าวเล่อซีหาได้ใส่ใจไม่‘เทียนฉางยังมีอี้เหอเป็นหมากของเขา แล้วข้าเล่าจะหาตัวตลกสักตัวมาตั้งไว้ให้คนกราบไหว้ไม่ได้หรือไง’กล่าวจบเขาก็หัวเราะอีกครั้ง คราวนี้เสียงของจ้าวเล่อซีชวนหลอนยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ม่านซือซือตกใจมากแต่ก็หลุดเสียงร้องได้เพียงครึ่งคำ เพราะริมฝีปากอุ่นๆ ของจ้าวเล่อซีประกบริมฝีปากนางเอาไว้เสียก่อนนาง
ยาดังกล่าวหวังกวงปรุงขึ้นในหมู่บ้านช่างไม้ มันถูกส่งมาที่คฤหาสน์สัตตบงกชโดยคำสั่งของถานปิง“เจ้าคงไม่อยากให้บุตรของเจ้าลืมตาขึ้นมาดูโลกแล้วต้องกลายเป็นคนบ้าใบ้หรือหูหนวกใช่ไหมเล่อซี” ในอดีตถานปิงเคยเอ่ยกับเขาเช่นนั้น และอธิบายว่าพิษที่อยู่ในตัวเขาสามารถถ่ายทอดถึงลูกหลาน“เจ้าสมสู่กับพวกนางได้ แต่อย่าริรักหรือคิดมีทายาทเลย มันจะเป็นบาปติดตัวเสียเปล่า”‘หากท่านตาประสงค์เช่นนั้น หลานจะทำตาม’“เด็กดี เจ้าเชื่อฟังตาเสมอ”ความที่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม จ้าวเล่อซีจึงยอมให้ถานปิงทำลาย เลือดเนื้อเชื้อไขของตน กระทั่งเติบใหญ่จึงพบว่าสตรีที่ต้องกลืนน้ำแกงของหวังกวงหลังจากร่วมหลับนอนกับบุรุษต้องมีสภาพเช่นไร บางคนเกิดประสาทหลอน หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นพวกนางต้องป่วยจากผลข้างเคียงเมื่อกินยามากเกินไป สุดท้ายจึงถูกหามศพออกไปทิ้งดังนั้นในคฤหาสน์สัตตบงกชจึงไร้สตรีตั้งครรภ์ แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่เคยเกิดขึ้น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จ้าวเล่อซีขัดคำสั่งของถานปิงเมื่อย้อนนึกถึงเรื่องเหล่านั้น จ้าวเล่อซีได้แต่ถอนหายใจ เขายังจำคำเตือนของหวังกวงได้ ม่านซือซือได้รับพิษจนขับเลือดสีดำข้นคลั่กออกมาเมื่อเกือบหน
ช่วงเวลาต่อมา องค์ชายใบ้ก็เหมือนตกอยู่ในบ่วงรัก เขาวนเวียนอยู่ที่เมืองเล็กๆ ใช้เวลายามค่ำคืนลักลอบปีนเข้าไปหาม่านซือซือที่เตียงนอนของนางอย่างบุรุษไร้เกียรติ ทำตัวประหนึ่งจอมโจรราคะในตำนาน ‘ข้าขอเป็นจอมโจรราคะ เพื่อทำให้แม่นางผู้นี้ตกเป็นทาสสวาท นางจะได้รู้ว่าชีวิตนี้ไม่อาจมีชายใดอุ่นเตียงกับนางได้ดีเท่าบุรุษแซ่จ้าว ผู้มีนามว่า เล่อซี’ อาเฟยไม่รู้จะตอบคนเป็นนายอย่างไร เขาได้แต่พยักหน้าตาม ก่อนเห็นว่าจ้าวเล่อซีใช้วิชาตัวเบา แล้วหายลับเข้าไปในเรือนสกุลม่าน อันเป็นวิชาที่เขาสอนอีกฝ่าย และดูเหมือนว่าลูกศิษย์ผู้นี้รุดหน้าไปกว่าเขามากโข ม่านซือซือลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ หมู่นี้นางหิวบ่อยแม้กระทั่งกลางดึกและกระหายน้ำยามค่ำคืน พอสะดุ้งตื่นมักสัมผัสได้ถึงร่างอุ่นๆ ของจ้าวเล่อซีแต่คืนนี้แปลกอยู่สักหน่อย นางลืมตาเพราะอีกฝ่ายกำลังใช้ลิ้นสากๆ โลมเลียส่วนลับของนาง นี่เขาเป็นแมวรึ ไม่ใช่สิ ต้องเป็นเสือร้ายตัวโตถึงจะถูกเรียวลิ้นสากๆ จ้วงแทงอย่างล้ำลึก พอนางตอบรับอย่างเท่าทันด้วยการเกร็งเนื้อนูนฉ่ำชื้น เขาก็ดูด...ดูดแรงๆ จนร่างม่านซือซือสั่นสะท้าน“โอ้ ท่านพี่...”เสียงของนางขาดเป็นห้วงๆ จ้าวเล่อซีชอบเว
เม่าเฉิงเซ่อ (แมวส้ม) ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งเดือนที่ผ่านมา ฝูเอ๋อร์ตามติดจ้าวเล่อซีแจ และนางมีโอกาสเข้าวังหลวงด้วยแม่นางน้อยกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าขุนนางที่อยากประจบสอพลอจ้าวเล่อซี พวกเขาพยายามเข้ามาชื่นชมฝูเอ๋อร์ บ้างก็มอบสิ่งของต่างๆ ให้เด็กหญิง โดยหารู้ไม่ว่าทั้งหมดล้วนเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวเล่อซี เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามพุ่งเป้าไปหาม่านซือซือที่กำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งตอนนี้นางต้องรับมือทั้งเสี่ยวเหยาและว่าที่พระชายาของเขาเตียวจื่อ ซึ่งนับว่าหนักหนาพอแล้ว นอกจากนั้นในภายภาคหน้านางยังมีหลายสิ่งที่ต้องสะสาง ทั้งหมดล้วนเป็นวิบากกรรมของสตรีซึ่งจะต้องก้าวขึ้นเป็นใหญ่เคียงข้างจ้าวเล่อซีผู้ที่จะนั่งบนบัลลังก์มังกรและที่จ้าวเล่อซีพาฝูเอ๋อร์เข้าวังหลวง จุดหมายคือประกาศให้ทุกคนรู้ว่า แม่นางน้อยเป็นบุตรสาวบุญธรรมของเขา และมีศักดิ์เป็นถึง องค์หญิง‘เสี่ยวฝู... ช่างเป็นแม่นางน้อยที่เกิดมาเพื่อเป็นใหญ่!’อาเฟยเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวอย่างลึกซึ้ง แม้เขาจะไม่แน่ชัดเรื่องชาติกำเนิดนาง แต่เมื่อเจ็ดปีก่อนที่จ้าวเล่อซีได้ช่วยสตรีนางหนึ่งเอาไว้ และในเวลาต่อมานางให้กำเนิดฝูเอ๋อร์ เขาสงสัยอยู
หลอกล่อบุรุษไม่ให้ก้าวออกจากเรือน จ้าวเล่อซีไปส่งฝูเอ๋อร์ที่เรือนของม่านซือซือด้วยตนเอง แม่นางน้อยคุยจ้อไม่หยุดปากและอวดสิ่งที่นางได้เห็น“วังหลวงใหญ่โตยิ่งนัก มีทหาร ขุนนาง และผู้หญิงแต่งตัวแต่งหน้าอวดกัน และข้าเห็นขันทีด้วย พวกเขาสวย สวยจนน่าขนลุก แต่มีบางคนทำให้ข้ากลัว หน้าเหี่ยว ตัวเหม็นฉี่!”“แล้วเจ้าก่อเรื่องให้รัชทายาทต้องปวดหัวหรือไม่เสี่ยวฝู”“ไม่นะท่านแม่ ข้าเป็นเด็กดีและยังได้รับขนมกับมีดสั้นเป็นรางวัลจากจักรพรรดิเทียนฉางด้วย”“มีดสั้น?” ม่านซือซือทวนคำฝูเอ๋อร์ ใจคอนางไม่สู้ดี ของมีคมอันตรายแม่นางน้อยควรครอบครองหรือ“ไม่ต้องห่วงหรอกฮูหยิน มันเป็นอาวุธใช้ฝึกฝนมากกว่าทำร้ายใคร” อาเฟยเป็นคนตอบ กระนั้นม่านซือซือก็หันไปมองคนตัวสูงที่อมยิ้มชอบใจ เมื่อเห็นว่าฝูเอ๋อร์แสดงความปราดเปรียวราวกับเป็นจอมยุทธ์หญิง เรื่องนี้คนที่อยู่เบื้องหลังและให้ท้ายนางคงไม่พ้นจ้าวเล่อซี“ข้าคือองค์หญิงน้อย และยังเป็นจอมยุทธ์หญิงแห่งวังหลวง” ฝูเอ๋อร์ว่าอย่างลำพองใจ“เลือกเอาสักอย่างเถิดเสี่ยวฝู” ม่านซือซือเตือนสติฝูเอ๋อร์แม่นางน้อยทำหน้าคิดไม่ตก ก่อนมองไปทางจ้าวเล่อซีเพื่อขอให้เขาชี้แนะ‘เจ้าเป็นแมวหล
กล่องไม้ของเซี่ยอี๋ ห้าวันผ่านไป จ้าวเล่อซีไม่ได้อยู่ที่ตำหนักจันทร์ส่องหล้า ส่วนม่านซือซือเก็บตัวอยู่ในเรือน นานวันเข้าก็มีอาการเบื่อนางทำขนม ปรุงยา ดูแลสมุนไพร และเย็บผ้าเพื่อเตรียมชุดสำหรับเด็กที่จะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทุกอย่างทำให้ผ่อนคลายและไม่เครียดก็จริง ทว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่จำกัด นางก็อยากเดินเล่นเพื่อหย่อนใจและยืดเส้นยืดสาย วันนี้อากาศเย็นสบาย แสงแดดไม่ได้แรง และม่านซือซือเดินเล่นบริเวณสะพานไม้ข้ามลำธารที่ทอดตัวยาวไปถึงด้านหลังของพื้นที่สวนแห่งนี้ ระหว่างที่เพลินตาเพลินใจกับธรรมชาติรอบกาย นางเห็นเตียวจื่อ อีกฝ่ายอยู่ไม่ห่างจากจุดที่นางยืนอยู่ ท่าทางดีใจที่เห็นนางปรากฏตัวเตียวจื่อมาพร้อมสาวใช้เจี้ยนปู่ ทั้งคู่เป็นนายกับบ่าวที่เข้าขากัน และมักคิดร้ายต่อผู้อื่นเป็นประจำ“ฮูหยินดูอารมณ์ดีจนน่าอิจฉา”เตียวจื่อกล่าวทักทาย น้ำเสียงนางเจือด้วยอคติ ทว่าสีหน้าบุตรีเจ้ากรมการปกครองหมองคล้ำไปนิด เส้นเลือดฝอยในดวงตาก็แตกดูน่ากลัวไม่น้อย ซึ่งนางคงมีเรื่องให้กังวลใจ“แล้วแม่นางเตียวเล่า เหตุใดสีหน้าจึงคล้ายคนไม่สบาย”“ฮึ สาเหตุล้วนเป็นเพราะฮูหยินกีดกันไม่ให้รัชทายาทไปที่เรือนข
บ่ายแก่ๆ ของวันต่อมา ม่านซือซือตกใจเป็นอย่างมาก นางคาดไม่ถึงว่าจะมีคนมารอพบที่หน้าตำหนักจันทร์ส่องหล้า พอสอบถามให้แน่ชัด หัวใจพลันหล่นลงไปอยู่ปลายเท้า“แม่นมหลานมั่นใจหรือว่าเป็นเขา!”เหม่ยหลานแม้ไม่อยากเอ่ยถึงบุคคลนั้น เพราะเมื่อม่านซือซือถูกซื้อขายในตลาดมืด ได้อยู่ในคฤหาสน์สัตตบงกช นางก็ไม่ใช่คนสกุลม่านอีก ชีวิตที่สองของนางเป็นคนของจ้าวเล่อซีอย่างชอบธรรม“คนเฝ้าประตูตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นบิดาท่านจริงๆ”“ตะ แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”“เรื่องนี้ ฟ้าดินเท่านั้นถึงจะตอบได้ ท่านคิดเห็นอย่างไร จงรีบตัดสินใจเถิด”“สายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด ที่สำคัญท่านพ่อชรามากแล้ว อย่างไรข้าคงเป็นบุตรอกตัญญูไม่ได้”เมื่อนางเอ่ยเช่นนั้น ก็แจ้งให้เหม่ยหลานนัดม่านเจิ้นไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ด้วยนางไม่อาจให้ม่านเจิ้นเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ได้ และในใจม่านซือซือยามนี้คาดเดาไปต่างๆ นานา ซึ่งล้วนเป็นลางสังหรณ์ในแง่ร้าย! เมื่อม่านเจิ้นเห็นบุตรสาวคนที่ห้าก็ยิ้มอย่างโล่งใจ ทว่าเขารู้สึกไม่ปลอดภัย ด้วยสุนัขตัวโตสีดำที่ลูกสาวพามาด้วยแสดงท่าทางไม่เป็นมิตรพวกมันมาจากเรือนสุนัขในคฤหาสน์สัตตบงกช สองตัวนี้ได้รับก
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย
การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิ่นสิงอี้ของอาหลุน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งหญิงสาวรู้ดี นางสังหรณ์ใจตั้งแต่ออกมาจากอารามไผ่เงิน อีกทั้งสายตาชายหนุ่มยามมองนาง รวมถึงการยกยิ้มตรงมุมปาก แจ้งให้รู้ว่า เขาสนใจอิ่นสิงอี้ แล้วตัวนางเล่า คิดอย่างไรต่อเขา แน่นอนในหัวไม่ถึงกับว่างเปล่า แต่นางเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า ไม่ได้รังเกียจ ก็เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดรับใครก็เท่านั้น นางเพิ่งฟื้นจากความตาย ไฉนต้องรีบตกลงปลงใจกับบุรุษถึงเพียงนั้น นางอยากรู้จักหลายๆ สิ่งให้มาก รวมถึงผู้คนด้วย อย่างที่เคยกล่าว นางกับเขาเสมือนมีสายใยบางเบาผูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้ได้พบกันบ่อยครั้ง นับแต่นางกลับมามีลมหายใจครั้ง และก่อนซางไป๋จงจะวิ่งหนีตายจากฝ่าเท้าของอาหลุน เขาได้ขว้างระเบิดควันออกมา ระเบิดซึ่งมีพิษนอกระคายเคืองดวงตา สร้างความมึนงง ยังกระตุ้นกำหนัดต่อสตรีเพศ คนที่มีอาวุธร้ายแรงเช่นนี้ ย่อมคบค้ากับพวกนอกด่าน และซางไป๋จง คือบุรุษขี้ขลาด ทั้งยังเป็นอันตรายและภายภาคหน้าย่อมสร้างปัญหาต่อบ้านเมือง อาหลุนตั้งใจตามไปจัดการอีกฝ่าย ทว่าอิ่นสิงอี้ไม่อาจประคองตัวไหว ร่างนางสั่น พยายามคว้าต้นไม้ยึดไว้
คนผู้นั้นคือซางไป๋จง แม้ใบหน้าหล่อเหลา ปากนิด จมูกหน่อย ทว่านิสัย กับท่าทางแจ้งชัดว่าเป็นคนร้ายกาจ ขณะที่ถูกกุมตัวแยกจากคนของตน อิ่นสิงอี้ได้แต่คิดหาทางเอาตัวรอด นางเริ่มเข้าใจหลายสิ่ง รู้ว่าตนพาเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ กระทั่งเสียงของทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ฉุดนางออกจากภวังค์ “แม่นาง พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดหรอก แค่ได้ชมความงาม ภายในร่มผ้าของเจ้าสักเล็กน้อย นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดี รู้หรือไม่ หากไม่รีบตกลงเป็นของพวกข้า เจ้าอาจต้องไปเป็นของเล่นนายน้อยซาง หมู่นี้เขาหงุดหงิดง่าย คงตั้งแต่พาท่านหญิงหลี่ ออกจากเมืองหลวง เพื่อตามหาคนผู้นั้น” ทหารคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเขาไม่ได้ดูเหมือนคนร้าย ทว่าสุราที่ดื่ม และการมีลูกคู่คอยยุยง จึงทำให้พูดจาแทะโลมอิ่นสิงอี้ และการเล่าถึงเรื่องต่างๆ ของพวกเขา ก็ทำให้อิ่นสิงอี้ ทราบความเป็นมาของหลี่ซือซิง กับซางไป๋จง “เอาล่ะ... แม่นางผู้งดงาม อยากเปลื้องผ้าให้ข้าชมก่อน หรือว่า ให้เจ้านิ้วก้อยดูดนม ใช้ลิ้นแทงกลีบงามเจ้า สักจ๊วบ สองจ๊วบ เพื่อให้ชื่นใจดี” คนที่ถูกเรียกว่านิ้วก้อย ยิ้มให้อิ่นสิ
อิ่นสิงอี้ไม่อยากมีเรื่อง อีกทั้งการใช้สติให้มาก และหลบปัญหาที่เกินตัวย่อมสงผลดีที่สุด “ขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม ข้าจะคืนห้องพักให้” นางเอ่ยได้เท่านั้น และไม่ทันได้ทำสิ่งใดอีก คนพวกนั้นก็บุกรุกเข้ามาในห้องพักนาง “พวกเจ้าเป็นผู้ใด” ซูซินเอ่ยถาม และพยายามขวางทางไว้ แต่เด็กสาวตัวเล็ก แรงแม้มีมาก แต่คงไม่อาจสู้กับองครักษ์หญิงเหล่านั้นได้ “ถอยไป...” เสียงหนึ่งดังขึ้น และซูซินถูกผลักอย่างแรง อิ่นสิงอี้ใจเดือดพล่าน นางอดทนแล้วและยอมถอย แต่ดูเหมือนคนพวกนี้ถนัดหาเรื่อง ทั้งชอบใช้กำลัง “ข้าแบ่งที่พักให้พวกท่าน แต่เหตุใดถึงได้มีนิสัยต่ำทรามนัก” เสียงของอิ่นสิงอี้ดังพอสมควร และมันไปเข้าหู สตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ปิดบังใบหน้า ด้วยหมวกสวมตาข่าย แต่ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากดวงตานางที่ส่งมาถึงอิ่นสิงอี้ “พวกชั้นต่ำที่ไหนมาส่งเสียงให้ข้ารำคาญใจ” อีกฝ่ายคือหลี่ซือซิงลูกสาวอมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นอัน “ท่านหญิง อย่าได้สนใจเสียงนกเสียงกาเลย พวกข้าจะจัดการไล่ไปให้พ้นๆ หน้าเดี๋ยวนี้” คนของหลี่ซือซิงเอ่ย “ฮึ แค