สตรีที่เคียงคู่มังกร จ้าวเล่อซีไปพบเสี่ยวเหยาที่เรือนของนาง เมื่อได้เห็นบุรุษที่สวมหน้ากากขาวผู้มีเรือนกายสูงใหญ่ เสี่ยวเหยาก็มีน้ำตาเอ่อคลอหน่วย“ทะ ท่านพี่...”“สามหาว เจ้ามีสิทธิ์เรียกรัชทายาทเช่นนั้นรึ!” อาเฟยตวาดใส่เสี่ยวเหยา และนางรีบยกมือปาดน้ำตาที่นองหน้าก่อนเอ่ยเสียงสั่นๆ“รัชทายาทเล่อซี”“นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องพึงระลึกไว้ รัชทายาทสูงส่งเพียงใด และเจ้าเป็นเพียงสาวใช้ในเรือน ได้รับการดูแลถึงเพียงนี้ก็นับว่าโชคดี อย่าได้ก่อเรื่องใดอีก มิเช่นนั้น ผ้าขาวหรือจอกสุราเจ้าก็จะไม่ได้รับ แต่เป็นการถูกตัดลิ้น เลาะฟัน แล้วตัดเส้นเอ็นแทน แน่นอนเจ้าจะไม่ตายในทันที แต่จะทุกข์ทรมานนานแสนนานจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”เสี่ยวเหยาพรั่นพรึงต่อคำพูดอาเฟย นางรู้เรื่องนี้ดี ด้วยที่แคว้นของนางมีวิธีทรมานคนสารพัด การที่นางมาเป็นสาวใช้ของจ้าวเล่อซีคือคำสั่งมารดาซึ่งหวังจะผูกไมตรีต่อชายหนุ่ม ทว่านางไร้วาสนา จ้าวเล่อซีไม่เคยชายตาแลนาง มิหนำซ้ำเขายังปล่อยนางทิ้งๆ ขว้าง ๆ ความสาวที่มีนับวันยิ่งโรยราลง เช่นนี้นางมีชีวิตอยู่ก็เหมือนดอกไม้ที่ขาดน้ำ นับวันยิ่งเหี่ยวเฉา มินานคงแห้งตายไป“เสี่ยวเหยามีชีวิตอยู่เพื่อรั
ภายในคุกของศาลไท่หยาง บรรยากาศอึมครึมอยู่มาก และทั้งที่เป็นคุกประจำแคว้นและขังเฉพาะขุนนาง ทว่ากลับดูทรุดโทรมไม่ได้รับการดูแลรักษาให้ดีม่านซือซือก้าวลึกไปข้างใน คราแรกจ้าวเล่อซีจะเข้ามาเป็นเพื่อนด้วยแต่นางปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าอยากพูดคุยกับบิดาอย่างเป็นส่วนตัวและกลัวว่าม่านเจิ้นจะอึดอัดด้วยบิดาเป็นคนถือหน้าตาตนเองเป็นสำคัญ อีกอย่างนางยังกระอักกระอ่วนใจในสถานการณ์ซึ่งบิดาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชื่อเสียงจ้าวเล่อซีด่างพร้อยเมื่อพ่อลูกได้พบหน้า ม่านเจิ้นก็แสดงความละอายใจที่เกิดเรื่องเช่นนี้ “พ่อไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้า ซือเอ๋อร์อย่าได้เชื่อคนอื่น พ่อรักเจ้าตลอดมา และหวังจะให้เจ้าพบกับความสุข”ม่านซือซือไม่เคยสงสัยในตัวบิดา และเขาตกเป็นเครื่อง มือของคนชั่ว ทว่าคนชั่วนั้นคือผู้ใด อีกทั้งเจ้าเมืองกุ้ยโจวมาเกี่ยวข้องกับการที่นางจะได้เป็นพระชายาของจ้าวเล่อซีตั้งแต่เมื่อไหร่“อยู่ที่นี่ท่านพ่อสะดวกสบายหรือไม่ มีเรื่องใดที่อยากให้ข้าช่วยจงบอกเถิด”ม่านเจิ้นส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่รู้ว่าตนจะหลุดพ้นจากกรงขังได้หรือไม่ ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจห่วงคนข้างหลัง“คนที่คิดแค้นต่อรัชทายาทมุ่งร้ายต่อเจ้า พวกเขารู้ว่า
อารมณ์ขันร้ายกาจของจ้าวเล่อซีใครต่างรู้ดี โดยเฉพาะอาเฟยที่อยู่ใกล้ชิดมาตั้งแต่เขาแบเบาะ “ม่านเจิ้นถูกภรรยาที่มาจากสกุลใหญ่โขกสับและวาง อำนาจอยู่เหนือเขาเสมอ แต่เขาก็รักฮูหยินมิน้อยทั้งที่รู้ว่านางไม่ใช่ธิดาของตน แต่การที่เขาตั้งใจผลักไสนางให้เอี๊ยะถังและสร้างข่าวให้ฮูหยินมัวหมองจนนางไม่อาจเข้าคัดเลือกเป็นนางกำนัล ก็ดูเหมือนมีสิ่งที่น่าสงสัยมิน้อย”คราวนี้หลิวฟ่านเป็นผู้เอ่ย นางรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องนี้เพราะเคยเห็นม่านซือซือมาซื้อของที่ร้านขายยานางอยู่บ้าง และหลายครั้งอีกฝ่ายมีเงินไม่พอก็เป็นนางที่สั่งให้คนในร้านจัดหาให้ กระทั่งม่านซือซือเริ่มคบหาเอี๊ยะถังอย่างลับๆ หลิวฟ่านก็รู้ว่าม่านซือซือคงต้องการผู้ชายสักคนเป็นหลักยึด เพื่อให้นางไม่ต้องถูกแม่ใหญ่ส่งตัวไปเป็นอนุของตาเฒ่าหื่นกามที่ไหน‘เจ้าคิดว่าใครบีบบังคับให้เขาทำเรื่องนี้’ จ้าวเล่อซีหันไปทางหลิวฟ่าน“ตามที่หม่อมฉันตรองดูแล้ว ม่านเจิ้นมิได้ถูกใครบังคับ เขาเพียงแค่เซ่อซ่าและเชื่อคนง่ายไปสักหน่อย กล่องไม้ของเซี่ยอี๋ได้ถูกสับเปลี่ยนก่อนมอบให้ฮูหยินโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ส่วนเหตุการณ์ก่อนหน้า เขาก็คงได้ยินกิตติศัพท์ของมเหสีอี้เหอว่าเ
นางจิ้งจอกเริงสวาท จ้าวเทียนฉางมองพรมขนจิ้งจอก ที่ถูกส่งเข้ามาในห้องบรรทมของตน คราแรกเขาประหลาดใจเมื่อเหล่าขันทีซึ่งดูแลตำหนักนี้บอกว่าเป็นของขวัญจากคณะทูตต่างแดนที่มาค้าขายกับแคว้นชิง และขุนนางในกองคลังมีความประสงค์อยากถวายพรมเลอค่านี้กับเขา ทั้งที่เมื่อก่อนพวกมันล้วนมองข้ามหัวเขาไปเสียหมดกระนั้นเรื่องสำคัญไม่ได้เกี่ยวกับที่มาของพรม หากเป็นสตรีที่ซ่อนกายอยู่ข้างในมากกว่าเมื่อพรมถูกคลี่ออก สตรีรูปร่างสมส่วนจึงปรากฏให้เขาเห็น นางมิใช่หญิงงามหากเทียบกับเหล่านางสนมที่เขาเคยพบ ทว่าหญิงผู้นี้โดดเด่น ท่าทางปราดเปรียว อีกทั้งยังซ่อนความลึกลับเย้ายวนอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสได้จากสนมนางใดสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจจนไม่อาจไล่ตะเพิดนางออกจากห้อง เพราะเมื่อเผยกายออกจากพรมหนังแกะหนานุ่มนั้น สตรีนางนี้ไม่ได้ไว้ผมยาวสลวย เมื่อเปิดผ้าคลุมศีรษะเขาเห็นว่านางโกนผมจนเกลี้ยงประหนึ่งนักพรตหญิง หรือนางชีจากสำนักบนภูเขาสูง“หลิวฟ่าน...”เขาจดจำนางได้ นางผู้นี้รับใช้อยู่ในตำหนักของเขาเมื่อสองสามเดือนก่อน จู่ๆ นางหายตัวไป เขาเคยอยากตามหานาง แต่เป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวอาเฟยมักลอบเข้ามาหาเขาและสร้างเรื่องมากมา
ภรรยาอยู่บน ท่านพี่อยู่ข้างล่าง ม่านซือซือมีความสุขยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิเทียนฉางแต่งตั้งกุ้ยเฟยคนใหม่ นางจึงสั่งให้ห้องครัวทำอาหารเลี้ยงคนทั้งตำหนัก ทุกอย่างล้วนเป็นของดี มีสุราและการขับร้องเพลงด้วย“นางได้รับตำแหน่งกุ้ยเฟยฟ่านจิง!” เหม่ยหลานเอ่ยถึงหลิวฟ่าน ยามนี้นางได้ถือตราหงส์ในวังหลัง มีอำนาจเหนือมเหสีอี้เหอขั้นหนึ่ง“โอ้ ชื่อนี้เหมาะสมกับหลิวฟ่านเหลือเกิน”“นางเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิเทียนฉาง อีกทั้งอาเฟยก็อยู่รับใช้ที่ตำหนักในด้วย”ได้ยินเหม่ยหลานกล่าวเช่นนั้น ม่านซือซืออดหน้าแดงไม่ได้ด้วยรู้ความหมายของประโยคดังกล่าวดี“สามคน...เฮ้อ ข้าอยากเตือนอยู่หรอก แต่สุดท้ายทั้งหลิวฟ่านและอาเฟยต่างเป็นผู้เลือกชีวิตของตน”“แล้วรัชทายาทเล่า ไม่ได้ออกความเห็นใดหรือ”เหม่ยหลานมองม่านซือซือ ก่อนหัวเราะอย่างขบขัน“ฮูหยิน นี่ท่านไม่รู้หรอกหรือ คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดย่อมต้องเป็นรัชทายาทเล่อซี!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนตั้งท้องจึงหัวเราะตามแม่นมหลาน สามีนางช่างเป็นจอมบงการทุกสิ่งโดยแท้ กระทั่งเรื่องจับคู่ หรือใครจะอยู่บนอยู่ล่าง แม้แต่...แทรกระหว่างกลางในยามอุ่นเตียง องค์ชาย
ทาสสวาทอสรพิษ ณ ป่าช้าไร้ญาติทางทิศใต้ของเมืองหลวง ร่างของสตรีนางหนึ่งถูกใส่ไว้ในโลงไม้ สีหน้านางซีดเผือดริมฝีปากเป็นสีคล้ำ บริเวณลำคอมีรอยเชือกซึ่งนางผูกคอตนกับขื่อของเรือนในคราแรกนั้น เหล่าคนงานที่จัดการศพอยากเร่งฝังศพเพื่อจะได้เสร็จงานให้ไวแล้วรีบไปรับเงินส่วนที่เหลือ แต่ทหารที่คุมคนงานมาที่นี่รวมถึงสัปเหร่อต่างซุบซิบกันว่า หญิงคิดสั้นนางนี้เป็นสาวงามต่างแคว้น มีศักดิ์เป็นถึงลูกสาวของจักรพรรดินี อีกทั้งร่างกายยังบริสุทธิ์ไร้ราคี เมื่อรู้เช่นนี้ใครเล่าอยากจะทิ้งเนื้อหงส์ไว้ในโลงไม้ อย่างน้อยได้เพลินด้วยตาและลิ้มรสสักนิดก็ยังดี“คุณหนูของเจ้ากรมการปกครองบอกว่านางทำเสน่ห์และเล่นคุณไสยฯ เช่นนี้ข้าเลยอยากลองแทรกหนอนเข้าไปข้างในกลีบคับๆ นั่น อยากรู้จริงว่านางจะเด็ดดวงหรือไม่”“เจ้าไม่กลัวรึ ร่างของนางอาจมีตะขาบหรือพิษแทรกซึมอยู่ก็ได้ และยังเป็นศพตายโหงด้วย!”“ฮ่าๆๆ ยิ่งดี ยิ่งเฮี้ยน ยิ่งน่ากลัว ข้ายิ่งพึงใจ”“ช่างวิปริตโดยแท้พี่ชาย”เมื่อมีคนหนึ่งเอ่ยเช่นนั้นแล้วโลงศพจึงไม่ได้ถูกนำลงฝัง มันถูกเปิดออกจึงเผยให้เห็นร่างของเสี่ยวเหยาที่นอนนิ่งๆ มองเผินๆ ดูราวกับสตรีที่หลับใหลเพียงเท่านั้น
เล่ห์ร้ายสตรีเรือนโอสถม่านซือซือถูกคุมตัวขึ้นรถม้า นางห่วงทั้งเหม่ยหลานและฝูเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้างในรถม้ามีเพียงนางคนเดียว ถึงไม่ได้ถูกมัดมือหรือปิดปากแต่นางไม่อาจหลบหนี ด้วยมีทหารจากกรมการปกครองและคนสกุลเตียวคุมอยู่ อีกทั้งคำพูดของเตียวจื่อก่อนส่งนางขึ้นรถม้าแจ้งชัดว่าม่านซือซือตกที่นั่งลำบากแล้ว“ระวังตัวเอาไว้ ความผิดที่เจ้าก่อมิอาจหนีพ้น ตอนนี้บิดาเจ้าสารภาพหมดเปลือก ได้รับโทษถูกส่งตัวไปยังเมืองทางใต้ ไปเป็นนักโทษสร้างกำแพงเมืองที่นั่น แต่น่าเสียดาย ระหว่างทางมีโจรร้ายดักปล้นขบวน พวกมันส่งม่านเจิ้นไปรอที่ประตูนรกแล้ว ส่วนเจ้าก่อนที่จะตายตามเขาข้าคิดว่าคงต้องทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสาหัส เริ่มจากถูกผ่าท้องควักลูกน้อยออกมาดูโลกก่อนดีหรือไม่ โอ้... แต่ช้าก่อน ข้าลืมเสียสนิทเจ้าเป็นมนุษย์โอสถ เช่นนั้นต้องจับยัดใส่แจกันยักษ์หรือไหเหล้า ขุนจนอ้วนให้น่าเกลียด จากนั้นจึงกรีดเลือดควักหัวใจให้รัชทายาทกิน!”ม่านซือซือตัวแข็งทื่อ นางหวาดผวากับคำพูดอีกฝ่าย หากเตียวจื่อรู้หลายสิ่งเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าคำพูดนางอาจมีเค้าความจริง“คุณหนูเตียว ทะ ท่านกำลังสร
ม่านซือซือสะลึมสะลือตั้งแต่ถูกจับขึ้นรถม้า พอการเคลื่อนไหวรอบตัวหยุดลง นางจึงนั่งนิ่งคอยฟังเสียงรอบตัวด้านนอก และคนตั้งครรภ์ใจชื้นขึ้นเมื่อนางเป่าปาก เสียงเห่าของสุนัขก็ดังขรม นางมั่นใจว่าสุนัขสองตัวที่นางดูแลไว้กำลังตามนางมา ทว่าพวกมันเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน เหตุใดจะรับมือมนุษย์ได้ อีกทั้งตัวหนึ่งยังได้รับบาดเจ็บ“อย่าให้นางกับพวกเดรัจฉานหนีรอด”เสียงดังกล่าวดังเข้ามาในรถม้า ม่านซือซือไม่ได้มีวิทยายุทธ์ย่อมต้องกลัวตายเป็นธรรมดาและการต่อสู้ยังดุเดือดมาก ม่านซือซือไม่รู้ว่าผู้ใดมาช่วยนาง แต่ภาวนาขอให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด กระทั่งคนของสกุลเตียวเปิดประตูรถม้าเข้ามา คราแรกนางไม่ได้ตกใจสักเท่าใด แต่หลังจากนั้นผู้ที่หัวเราะด้วยเสียงบ้าคลั่งก็เผยตัว เขาคือมู่จิ้น!“ข้านึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าอีก โอกาสดีๆ เช่นนี้ต้องยอมรับว่าคุณหนูเตียวทำให้ข้าได้เล่นสนุกกับจ้าวฮูหยินอย่างถูกเวลา”“องค์ชาย ท่านเป็นคนบัดซบโดยแท้ ทำเรื่องชั่วช้าได้ตลอดเวลา คิดหรือว่าจะทำให้ข้ากลัว”“ฮ่าๆๆ เจ้าอาจเป็นสตรีเก่งกล้า แต่จ้าวเล่อซีมันขี้ขลาดโดยเฉพาะยามเห็นเมียของมันถูกข้ารังแก!”“อย่าคิดว่าท่านจะหักหาญใช้กำลังข่มเหงน
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย
การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิ่นสิงอี้ของอาหลุน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งหญิงสาวรู้ดี นางสังหรณ์ใจตั้งแต่ออกมาจากอารามไผ่เงิน อีกทั้งสายตาชายหนุ่มยามมองนาง รวมถึงการยกยิ้มตรงมุมปาก แจ้งให้รู้ว่า เขาสนใจอิ่นสิงอี้ แล้วตัวนางเล่า คิดอย่างไรต่อเขา แน่นอนในหัวไม่ถึงกับว่างเปล่า แต่นางเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า ไม่ได้รังเกียจ ก็เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดรับใครก็เท่านั้น นางเพิ่งฟื้นจากความตาย ไฉนต้องรีบตกลงปลงใจกับบุรุษถึงเพียงนั้น นางอยากรู้จักหลายๆ สิ่งให้มาก รวมถึงผู้คนด้วย อย่างที่เคยกล่าว นางกับเขาเสมือนมีสายใยบางเบาผูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้ได้พบกันบ่อยครั้ง นับแต่นางกลับมามีลมหายใจครั้ง และก่อนซางไป๋จงจะวิ่งหนีตายจากฝ่าเท้าของอาหลุน เขาได้ขว้างระเบิดควันออกมา ระเบิดซึ่งมีพิษนอกระคายเคืองดวงตา สร้างความมึนงง ยังกระตุ้นกำหนัดต่อสตรีเพศ คนที่มีอาวุธร้ายแรงเช่นนี้ ย่อมคบค้ากับพวกนอกด่าน และซางไป๋จง คือบุรุษขี้ขลาด ทั้งยังเป็นอันตรายและภายภาคหน้าย่อมสร้างปัญหาต่อบ้านเมือง อาหลุนตั้งใจตามไปจัดการอีกฝ่าย ทว่าอิ่นสิงอี้ไม่อาจประคองตัวไหว ร่างนางสั่น พยายามคว้าต้นไม้ยึดไว้
คนผู้นั้นคือซางไป๋จง แม้ใบหน้าหล่อเหลา ปากนิด จมูกหน่อย ทว่านิสัย กับท่าทางแจ้งชัดว่าเป็นคนร้ายกาจ ขณะที่ถูกกุมตัวแยกจากคนของตน อิ่นสิงอี้ได้แต่คิดหาทางเอาตัวรอด นางเริ่มเข้าใจหลายสิ่ง รู้ว่าตนพาเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ กระทั่งเสียงของทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ฉุดนางออกจากภวังค์ “แม่นาง พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดหรอก แค่ได้ชมความงาม ภายในร่มผ้าของเจ้าสักเล็กน้อย นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดี รู้หรือไม่ หากไม่รีบตกลงเป็นของพวกข้า เจ้าอาจต้องไปเป็นของเล่นนายน้อยซาง หมู่นี้เขาหงุดหงิดง่าย คงตั้งแต่พาท่านหญิงหลี่ ออกจากเมืองหลวง เพื่อตามหาคนผู้นั้น” ทหารคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเขาไม่ได้ดูเหมือนคนร้าย ทว่าสุราที่ดื่ม และการมีลูกคู่คอยยุยง จึงทำให้พูดจาแทะโลมอิ่นสิงอี้ และการเล่าถึงเรื่องต่างๆ ของพวกเขา ก็ทำให้อิ่นสิงอี้ ทราบความเป็นมาของหลี่ซือซิง กับซางไป๋จง “เอาล่ะ... แม่นางผู้งดงาม อยากเปลื้องผ้าให้ข้าชมก่อน หรือว่า ให้เจ้านิ้วก้อยดูดนม ใช้ลิ้นแทงกลีบงามเจ้า สักจ๊วบ สองจ๊วบ เพื่อให้ชื่นใจดี” คนที่ถูกเรียกว่านิ้วก้อย ยิ้มให้อิ่นสิ
อิ่นสิงอี้ไม่อยากมีเรื่อง อีกทั้งการใช้สติให้มาก และหลบปัญหาที่เกินตัวย่อมสงผลดีที่สุด “ขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม ข้าจะคืนห้องพักให้” นางเอ่ยได้เท่านั้น และไม่ทันได้ทำสิ่งใดอีก คนพวกนั้นก็บุกรุกเข้ามาในห้องพักนาง “พวกเจ้าเป็นผู้ใด” ซูซินเอ่ยถาม และพยายามขวางทางไว้ แต่เด็กสาวตัวเล็ก แรงแม้มีมาก แต่คงไม่อาจสู้กับองครักษ์หญิงเหล่านั้นได้ “ถอยไป...” เสียงหนึ่งดังขึ้น และซูซินถูกผลักอย่างแรง อิ่นสิงอี้ใจเดือดพล่าน นางอดทนแล้วและยอมถอย แต่ดูเหมือนคนพวกนี้ถนัดหาเรื่อง ทั้งชอบใช้กำลัง “ข้าแบ่งที่พักให้พวกท่าน แต่เหตุใดถึงได้มีนิสัยต่ำทรามนัก” เสียงของอิ่นสิงอี้ดังพอสมควร และมันไปเข้าหู สตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ปิดบังใบหน้า ด้วยหมวกสวมตาข่าย แต่ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากดวงตานางที่ส่งมาถึงอิ่นสิงอี้ “พวกชั้นต่ำที่ไหนมาส่งเสียงให้ข้ารำคาญใจ” อีกฝ่ายคือหลี่ซือซิงลูกสาวอมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นอัน “ท่านหญิง อย่าได้สนใจเสียงนกเสียงกาเลย พวกข้าจะจัดการไล่ไปให้พ้นๆ หน้าเดี๋ยวนี้” คนของหลี่ซือซิงเอ่ย “ฮึ แค