ม่านซือซือตื่นขึ้นในช่วงรุ่งสาง นางไอติดกันหลายครั้ง และพบว่าคนที่ยกจอกน้ำชาให้นางคือสามี แต่หลังจากหายคอแห้ง นางต้องตกใจเป็นอย่างมาก จ้าวเล่อซีได้แผลหลายที่ และนางเห็นว่าเขาบาดเจ็บหนัก แต่ยังทนฝืนนั่งเฝ้านางข้างเตียงไม่ห่างไปไหน“ท่านพี่... ภรรยาช่างเป็นสตรีที่นำแต่เรื่องเลวร้ายมาให้ท่านอยู่เสมอ”จ้าวเล่อซีไม่ได้เอ่ยคำใด เขาจุมพิตที่หลังมือนาง ก่อนนำมาวางไว้ที่หน้าอกของตน“ข้าจะไม่อ่อนแอและร้องไห้อีก” ม่านซือซือบอกกับชายหนุ่ม และนางตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ ทว่าความตั้งใจของนางคงต้องออกแรงมากอยู่สักหน่อย เพราะหลังจากนั้นอาการของจ้าวเล่อซีก็หนักขึ้นมากเขายิ้มให้ผู้เป็นภรรยาและพยายามบังคับเสียงอันประหลาดแสนน่ากลัวของตน และเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก“คลอดบุตรชายให้ข้า ชาตินี้บุรุษแซ่จ้าวก็ตายตาหลับแล้ว”ม่านซือซือสั่นผวาทั้งร่าง นางไม่รู้ว่าจ้าวเล่อซีคิดอย่างไรถึงได้เอ่ยเรื่องน่าหวาดหวั่นเช่นนั้น แต่มันก็เป็นความจริง พอนางลุกเดินได้ตามปกติ กลับกลายเป็นว่าจ้าวเล่อซีไม่ได้ลุกขึ้นมาจากที่นอนอีกเลยสามวันผ่านไป ม่านซือซือก็ซูบผอมลง นางนั่งไม่ติด เดินวนไปมาในเรือนหลังเล็กแห่งนั้น กระทั่งเห็นหน้าข
กุ้ยเฟยปีศาจกุ้ยเฟยฟ่านจิงผู้มีตราหงส์ในมือ เดินสำรวจพื้นที่สำคัญในวังหลัง ก่อนที่นางจะหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นว่าตำหนักของมเหสีอี้เหอมีหญ้าและวัชพืชหนาตา ดอกไม้ก็เหี่ยวเฉาแต่เดิมนางไม่ได้อยากเหยียบย่างเข้าไปด้วยซ้ำ แต่ได้ข่าวว่าคนที่อยู่ข้างในกำลังหาทางให้สกุลหลิวกระทำเรื่องชั่วบางอย่างเพื่อป้ายความผิดให้แก่นาง และดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเห็นชอบสิ่งนี้ด้วยน่าหัวร่อนัก คนพวกนี้ชอบกลับขาวให้เป็นดำ ทำเรื่องถูกให้เป็นผิด เช่นนี้นางยิ่งนึกสนุก ด้วยหลิวฟ่านหาใช่คนเดิม นางพร้อมที่จะชโลมทุกอย่างด้วยเลือด!“วางแผนสังหารบิดางั้นรึ...”อาเฟยพยักหน้าน้อยๆ เขาไม่อยากให้หลิวฟ่านสร้างกรรมใดอีก นางได้เป็นถึงกุ้ยเฟยในวันนี้ก็มีอำนาจพอแล้ว นอกจากนั้นควรสะสางเรื่องต่างๆ แต่พองาม มิใช่ระรานคนอื่นไปทั่ว“อย่าได้ทำสิ่งที่ร้ายแรงกว่านี้ รวมถึงเรื่องที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในใจ”“อี้เหอเป็นหนามทิ่มใจซือฝุมิใช่หรือ”“เคยเป็น แต่ตอนนี้นางหมดสิ้นเขี้ยวเล็บ ก็มิต่างจากหญิงชราที่หน้าตาไร้ความสวยงาม อยู่ไปก็เหมือนซากสัตว์ที่เน่าเหม็น เช่นนั้นข้ายังจะต้องทำสิ่งใดให้เปรอะเปื้อนมืออีก”“แต่ข้าไม่เห็นด้วย นางทำให้สตรีห
ข้าเลี้ยงลูก ท่านออกรบ ม่านซือซือรู้ว่าร่างกายของจ้าวเล่อซีไม่แข็งแรงดังเดิม แต่เขาเป็นบุรุษที่จิตใจห้าวหาญและเข้มแข็งเหนือผู้ใด เมื่อเขายืนยันว่าจะออกรบป้องกันทัพแม่ทัพถานที่กำลังจะบุกเข้าเมืองหลวง นางก็ไม่อาจรั้งเขาไว้“ภรรยาจะรอท่านอยู่ที่นี่”‘อย่าได้กังวลใจสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ท่านอาเทียนฉางของข้าไม่ใช่คนโง่ หลิวฟ่านก็มีกลุ่มพ่อค้าคอยสนับสนุนเสบียงมากมาย ในท้องพระคลังไม่มีสิ่งใดขาด ย่อมเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหารยามออกรบ’คนอุ้มท้องไม่ได้ต้องการสร้างความกังวลใจให้สามี แต่นางหลุดปากไปว่า “แต่ฝ่ายนั้นคือแม่ทัพถาน”‘เพราะเป็นเขา ข้าจึงต้องออกรบด้วยตนเอง’ชายหนุ่มเอ่ยแล้วจึงจูบที่หน้าผากนาง ตามด้วยการกอดร่างม่านซือซือไว้ในอ้อมกอด‘ฮูหยิน ผอมไปหรือไม่’ม่านซือซืออยากหัวเราะทั้งน้ำตา หลายวันที่ผ่านมานางแย่งอาหารเขามากินเกือบทั้งหมด สิ่งใดที่หวังกวงทำพร้อมปรุงเป็นทั้งขนม ของว่าง และน้ำแกงที่มาจากเนื้อสัตว์หายาก เมื่อชายหนุ่มปฏิเสธไม่ต้องการบำรุงร่างกายก็เป็นม่านซือซือที่ทั้งเสียดายและไม่อยากให้หวังกวงกับทุกคนที่อดหลับอดนอนทำของเหล่านี้ต้องเสียกำลังใจ“หากภรรยากินมากกว่านี้ เกรงว่าท่านพี่คง
ม่านซือซือต้องตื่นกลางดึก หวังกวงมีสีหน้าเครียดจัด และนางออกคำสั่งบ่าวไพร่ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนหันมาบอกสิ่งสำคัญกับคนตั้งครรภ์ “ฮูหยิน อดทนให้มากและดื่มยานี่เสีย จากนั้นข้าจะพาท่าน เดินทางทันที”“เดินทาง หมายความว่าอย่างไรป้าหวัง”“ที่นี่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว คนของแม่ทัพถานรู้ที่ซ่อนของเรา”ได้ยินคำพูดของหวังกวง ใจหล่นหาย แต่จะให้แสดงความขลาดเขลาคงทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อม่านซือซือดื่มยาเสร็จนางจึงเตรียมตัวเพื่อหลบหนี ขณะเดียวกันความร้อนก็แผ่ขยายโอบคลุมรอบๆ ตัว“ไฟไหม้หรือ ใครกัน ใครทำเรื่องพวกนี้”“อย่าไปสนใจ เราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้” หวังกวงว่าจบก็จับจูงมือม่านซือซือ จากนั้นทั้งคู่จึงหลบไปทางด้านหลังของเรือนไม้ และขึ้นรถม้าคันโตที่มีเหล่าองครักษ์ของจ้าวเล่อซีคุ้มกัน“เราจะปลอดภัยใช่หรือไม่ป้าหวัง”“เพียงแค่ไปถึงเขตของสกุลตี้...เราจะปลอดภัย และไม่ต้องห่วง รัชทายาทเตรียมการไว้ทุกอย่าง ฮูหยินจะไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย”“สกุลตี้...”หวังกวงกุมมือม่านซือซือและมอบพลังใจให้นาง“หลายเดือนที่ผ่านมามีเรื่องร้ายและดีเกิดขึ้นมากมาย ข้าเพียงแต่ไม่ได้เอ่ยให้ฮูหยินทราบ ทั้งนี้เพราะรัชทา
หลายวันที่ผ่านมา ม่านซือซือได้รับการต้อนรับอย่างดีในเรือนลับของตี้หยงชุน และเขาไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับนาง“อาการเป็นอย่างไรบ้าง ดูเหมือนเจ้าใกล้จะคลอดมากขึ้นทุกที อย่าออกไปตากน้ำค้างเลย อีกทั้งไอเย็นที่พื้นใช่ว่าจะส่งผลดีต่อเด็กในครรภ์” ป้าหวังเตือน“ข้าแค่อยากเดินเล่นเท่านั้น หมู่นี้ไม่เห็นทั้งเสี่ยวเหยาและถิงอี้เลย”หวังกวงได้ยินม่านซือซือถามเช่นนั้น นางได้แต่ส่ายหน้า ด้วยหญิงสาวทั้งสองดูเหมือนจะรักการผจญภัยและการต่อสู้ ยามนี้กลุ่มแม่ทัพถานบุกเข้ามาใกล้เมืองหลวงและส่งคนเข้ามาหลายทิศทาง เพื่อจะหาพรรคพวกพร้อมบีบบังคับให้จ้าวเล่อซียอมจำนน ทว่าองค์ชายใบ้มีไม้เด็ดอยู่มากมาย อีกทั้งกองกำลังของตี้หยงชุนจากสำนักคุ้มภัยก็เป็นชาวยุทธ์ที่มีฝีมือหาตัวจับยาก และให้การสนับสนุนจ้าวเล่อซีอย่างเต็มที่“พวกนางปรารถนาเป็นจอมยุทธ์หญิงทั้งคู่ และบุรุษใดก็ทัดทานไม่ได้”ม่านซือซือเข้าใจสิ่งนี้ดี สตรีทั้งสองเป็นเช่นนี้ รักอิสระและอยากช่วยเหลือผู้คน“เสี่ยวเหยาบอกว่านางไม่อยากเห็นเด็กๆ และสตรีชาวบ้านต้องถูกคนชั่วข่มเหงในยามมีสงครามจึงออกไปช่วยเหลือพวกเขา เท่าที่นางพอจะมีกำลัง”“ประเสริฐนัก เป็นข้าคงขี้ขลาด แ
เสียงร้องของม่านซือซือดังเป็นระยะ หลายคนเริ่มนั่งไม่ติดหวังกวงเหนื่อยที่สุด แต่โชคยังดีที่นางสลับให้คนอื่นเฝ้าคนใกล้คลอดบ้างกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบรุ่งสางของอีกวัน ขณะนั้นมีเสียงกลองรบ เสียงแตรเขาสัตว์ เสียงดังกล่าวดังอยู่ไม่ห่างจากเรือนลับของสำนักคุ้มภัยตี้หยงชุน“เสียงอันใดหรือป้าหวัง”หวังกวงพยายามฟังที่มาของเสียง นางอดที่จะเกิดความกลัวไม่ได้ แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกอย่างที่สุด“คงเป็นการส่งสัญญาณของทัพรัชทายาท เช่นนี้หมาย ความว่าอีกไม่ช้าย่อมต้องมีการปะทะครั้งใหญ่”“เป็นความจริงหรือ”“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ฮูหยินอย่าได้เป็นกังวล ศึกครั้งนี้อย่างไรฝ่ายเราก็ต้องกุมชัยชนะ และในไม่ช้าเขาจะก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่”ม่านซือซือดีใจนักหนา ด้วยไม่ต้องการให้สงครามยืดเยื้อ และนางหวังให้เป็นเช่นนั้น หากจ้าวเล่อซีมีชัยย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี“ท่านพี่... ซือซือและลูกน้อยจะรอท่านอยู่ที่นี่”นางว่าแล้วก็หลุดเสียงร้องติดๆ กัน เสียงนั้นไม่ดังมากแต่ก็สร้างทั้งความประหลาดใจและความตื้นตันใจต่อคนที่คอยช่วยม่านซือซือคลอดบุตร“ฮูหยิน!”หวังกวงร้องขึ้นแล้วรีบทำหน้าที่ของตนอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะทั้งหัวเ
มีชีวิตอยู่มิสู้ตายทัพหน้าของสกุลถานบุกเข้าเมืองหลวง ตามแผนลวงของจ้าวเล่อซีทว่าก่อนถึงเมืองหลวง เขาต้องผ่านเมืองอันสำคัญที่เป็นต้นทางการค้าเสียก่อน ทว่าเมื่อถึงประตูเมืองนี้กลับพบเพียงความเงียบสงัดผิดปกติ กำแพงสูงใหญ่ดูเหมือนภูเขาตั้งตระหง่านสีดำทะมึน“ตามที่ได้รับรายงาน รัชทายาทบาดเจ็บหนัก ตอนนี้กำลังรักษาตัว”“ข่าวเท็จหรือไม่”“จริงหรือลวงไม่แน่ชัด แต่เรื่องนี้ก็มีผู้พบเห็นว่าคนของเกากงกงได้วางแผนอย่างเหนือชั้นด้วยการลอบสังหารรัชทายาท ฝ่ายนั้นเป็นเด็กหญิงวัยเพียงสิบสองปี ปลอมตัวปะปนเป็นชาวบ้านประสบเหตุจากภัยสงคราม เมื่อเข้าถึงตัวอีกฝ่ายก็ใช้มีดสั้นแทงเข้าไปที่เหนือหน้าอกของรัชทายาทพอดี”สิ่งที่แม่ทัพที่เป็นลูกหลานของคนสกุลถานเอ่ยขึ้นมีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคน หลังเกิดเรื่อง จ้าวเล่อซีถูกนำตัวออกจากจุดเกิดเหตุ ข่าวดังกล่าวทำให้ทหารใต้การบังคับบัญชาของเขาเสียขวัญมิน้อย“เกากงกงช่างเป็นคนชั่วเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อก่อนมันกับข้าก็ชิงดีชิงเด่นกันตลอดมา มันซ่องสุมกองกำลังอำมหิตเอาไว้มากมาย ในขณะที่ข้ามีเรือนสาวใช้สิบสองหลัง ตัวมันก็จับเด็กชายมาตอนแล้วสอนวรยุทธ์ แล้วนำตัวปะปนเข้าไปรับใช้ในว
เมื่อเหม่ยหลานเอ่ยจบ นายกองและแม่ทัพหลายคนก็รู้สึกตัวว่ามีอาวุธแหลมคมจ่อที่ลำคอพวกเขา ซึ่งทหารเหล่านี้ไม่ทันเฉลียวใจด้วยซ้ำว่ามีมือสังหารลอบปะปนเข้ามาในกลุ่มของพวกตนตั้งแต่เมื่อใด “พวกเจ้าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้ คิดหรือว่าจะเอาชนะกองกำลังอันแข็งแกร่งของข้าได้” แม่ทัพถานปิงเอ่ย และคนที่ตอบคือบุรุษที่องอาจสง่างามแต่แรกจ้าวเล่อซีไม่ได้ต้องการบีบบังคับถานปิง อย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์เป็นตาของเขา ทว่าอีกด้านหนึ่งที่เขารับรู้ ชายสูงวัยผมหงอกผู้จับดาบฆ่าคนมาชั่วชีวิตมีจิตใจอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งภรรยาและลูกของตน รวมถึงพยายามหลอกใช้เขาเรื่อยมา และเขาในยามนั้น เพื่อความอยู่รอดจำเป็นต้องแสร้งตกเป็นเครื่องมือของอีกฝ่าย เป็นองค์ชายใบ้ผู้คลั่งรักบ้าตัณหา กระทั่งเขาได้พบกับมารดาฝูเอ๋อร์ นางเป็นสตรีที่ควรมีชีวิตสุขสบายได้เป็นฮูหยินของบุรุษที่คู่ควรกับนาง ทว่านางถูกส่งตัวมายังคฤหาสน์สัตตบงกชในช่วงที่กำลังเดินทางไปเป็นเจ้าสาวของสกุลคหบดี‘ท่านตา... กำแพงเมืองนี้ บิดาข้าต้องสังเวยชีวิต ถูกแยกร่างและเสียบศีรษะประจานให้เสื่อมเสียเกียรติ’“ฮ่าๆๆ แล้วอย่างไร คนที่ทำก็คือเกากงกงกับนางแพศยาอี้เหอ”‘แต่แรกหลาน
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย
การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิ่นสิงอี้ของอาหลุน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งหญิงสาวรู้ดี นางสังหรณ์ใจตั้งแต่ออกมาจากอารามไผ่เงิน อีกทั้งสายตาชายหนุ่มยามมองนาง รวมถึงการยกยิ้มตรงมุมปาก แจ้งให้รู้ว่า เขาสนใจอิ่นสิงอี้ แล้วตัวนางเล่า คิดอย่างไรต่อเขา แน่นอนในหัวไม่ถึงกับว่างเปล่า แต่นางเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า ไม่ได้รังเกียจ ก็เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดรับใครก็เท่านั้น นางเพิ่งฟื้นจากความตาย ไฉนต้องรีบตกลงปลงใจกับบุรุษถึงเพียงนั้น นางอยากรู้จักหลายๆ สิ่งให้มาก รวมถึงผู้คนด้วย อย่างที่เคยกล่าว นางกับเขาเสมือนมีสายใยบางเบาผูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้ได้พบกันบ่อยครั้ง นับแต่นางกลับมามีลมหายใจครั้ง และก่อนซางไป๋จงจะวิ่งหนีตายจากฝ่าเท้าของอาหลุน เขาได้ขว้างระเบิดควันออกมา ระเบิดซึ่งมีพิษนอกระคายเคืองดวงตา สร้างความมึนงง ยังกระตุ้นกำหนัดต่อสตรีเพศ คนที่มีอาวุธร้ายแรงเช่นนี้ ย่อมคบค้ากับพวกนอกด่าน และซางไป๋จง คือบุรุษขี้ขลาด ทั้งยังเป็นอันตรายและภายภาคหน้าย่อมสร้างปัญหาต่อบ้านเมือง อาหลุนตั้งใจตามไปจัดการอีกฝ่าย ทว่าอิ่นสิงอี้ไม่อาจประคองตัวไหว ร่างนางสั่น พยายามคว้าต้นไม้ยึดไว้
คนผู้นั้นคือซางไป๋จง แม้ใบหน้าหล่อเหลา ปากนิด จมูกหน่อย ทว่านิสัย กับท่าทางแจ้งชัดว่าเป็นคนร้ายกาจ ขณะที่ถูกกุมตัวแยกจากคนของตน อิ่นสิงอี้ได้แต่คิดหาทางเอาตัวรอด นางเริ่มเข้าใจหลายสิ่ง รู้ว่าตนพาเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ กระทั่งเสียงของทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ฉุดนางออกจากภวังค์ “แม่นาง พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดหรอก แค่ได้ชมความงาม ภายในร่มผ้าของเจ้าสักเล็กน้อย นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดี รู้หรือไม่ หากไม่รีบตกลงเป็นของพวกข้า เจ้าอาจต้องไปเป็นของเล่นนายน้อยซาง หมู่นี้เขาหงุดหงิดง่าย คงตั้งแต่พาท่านหญิงหลี่ ออกจากเมืองหลวง เพื่อตามหาคนผู้นั้น” ทหารคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเขาไม่ได้ดูเหมือนคนร้าย ทว่าสุราที่ดื่ม และการมีลูกคู่คอยยุยง จึงทำให้พูดจาแทะโลมอิ่นสิงอี้ และการเล่าถึงเรื่องต่างๆ ของพวกเขา ก็ทำให้อิ่นสิงอี้ ทราบความเป็นมาของหลี่ซือซิง กับซางไป๋จง “เอาล่ะ... แม่นางผู้งดงาม อยากเปลื้องผ้าให้ข้าชมก่อน หรือว่า ให้เจ้านิ้วก้อยดูดนม ใช้ลิ้นแทงกลีบงามเจ้า สักจ๊วบ สองจ๊วบ เพื่อให้ชื่นใจดี” คนที่ถูกเรียกว่านิ้วก้อย ยิ้มให้อิ่นสิ
อิ่นสิงอี้ไม่อยากมีเรื่อง อีกทั้งการใช้สติให้มาก และหลบปัญหาที่เกินตัวย่อมสงผลดีที่สุด “ขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม ข้าจะคืนห้องพักให้” นางเอ่ยได้เท่านั้น และไม่ทันได้ทำสิ่งใดอีก คนพวกนั้นก็บุกรุกเข้ามาในห้องพักนาง “พวกเจ้าเป็นผู้ใด” ซูซินเอ่ยถาม และพยายามขวางทางไว้ แต่เด็กสาวตัวเล็ก แรงแม้มีมาก แต่คงไม่อาจสู้กับองครักษ์หญิงเหล่านั้นได้ “ถอยไป...” เสียงหนึ่งดังขึ้น และซูซินถูกผลักอย่างแรง อิ่นสิงอี้ใจเดือดพล่าน นางอดทนแล้วและยอมถอย แต่ดูเหมือนคนพวกนี้ถนัดหาเรื่อง ทั้งชอบใช้กำลัง “ข้าแบ่งที่พักให้พวกท่าน แต่เหตุใดถึงได้มีนิสัยต่ำทรามนัก” เสียงของอิ่นสิงอี้ดังพอสมควร และมันไปเข้าหู สตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ปิดบังใบหน้า ด้วยหมวกสวมตาข่าย แต่ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากดวงตานางที่ส่งมาถึงอิ่นสิงอี้ “พวกชั้นต่ำที่ไหนมาส่งเสียงให้ข้ารำคาญใจ” อีกฝ่ายคือหลี่ซือซิงลูกสาวอมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นอัน “ท่านหญิง อย่าได้สนใจเสียงนกเสียงกาเลย พวกข้าจะจัดการไล่ไปให้พ้นๆ หน้าเดี๋ยวนี้” คนของหลี่ซือซิงเอ่ย “ฮึ แค