“ สวัสดีขอรับ .. คุณผู้หญิง
ขอต้อนรับสู่ ดินแดนแห่งความหวัง ”
ฉันสับสนมากกว่าเดิมเสียอีก นี่มันหมายความว่าอย่างไรที่ว่า ดินแดนแห่งความหวัง ฉันตายเสียแล้วหรือนี่ ? ..
มีอีกหลายสิ่งมากมายที่ฉันยังอยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำเลย จู่ ๆ ฉันก็ย้ายมาอีกภพหนึ่งเสียแล้ว พ่อกับแม่ของฉันล่ะ ฉันยังไม่ได้ร่ำลาท่านเลย ฉันนึกเสียใจไปต่าง ๆ นานา น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าตาทั้งสองของฉัน จมูกเริ่มแสบแดง ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาและเริ่มทรุดลงนั่งร้องไห้
“ขอประทานอภัยขอรับคุณผู้หญิง หากข้าทำให้ท่านเสียใจ โปรดอภัยให้ข้าด้วย” เจ้ากระต่ายน้อยยืดตัวขึ้นเต็มตัว แต่ตัวก็ยังเล็กเท่ารองเท้าบูทอยู่ดี
ฉันซับน้ำตาแล้วเงยหน้ามองเจ้าตัวเล็ก ขนปุยตรงหน้า
"นี่ฉันตายแล้วเหรอคะ” ฉันถามด้วยภาษาของตัวเองออกไปอย่างเจ็บปวด
“มิได้ขอรับ คุณผู้หญิงยังมีชีวิตอยู่ขอรับ” ดวงตาของเจ้ากระต่ายมันวาว จ้องฉันอย่างขบขำแต่สำรวมกิริยา
“จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้น ที่นี่ที่ไหน แล้วฉันมาที่นี่ได้ยังไง แล้วจะกลับได้ยังไงคะ” ฉันร่ายข้อข้องใจของฉันออกไปจนสิ้น เราโต้ตอบกันคนละภาษาแต่เข้าใจกันทุกถ้อยทุกคำเลย
“ที่นี่คือ .. ดินแดนแห่งความหวัง ที่ที่อาจจะทำให้ความหวังของผู้คนเป็นจริงขอรับ” กระต่ายน้อยตอบฉันอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยเลย
“ไม่ทราบว่า ฉันมาที่นี่ได้ยังไง” ฉันใช้น้ำเสียงระมัดระวังมากขึ้น ไม่อยากดูตื่นตระหนกเกินเหตุเหมือนทุกครั้งที่ฉันเป็นเสมอ
“ก่อนมาที่นี่ คุณผู้หญิงกำลังทำอะไรอยู่หรือขอรับ”
“ฉันก็แค่ .. ก็แค่” ฉันพูดพลางนึกไปถึงเรื่องธรรมดาที่ฉันกำลังทำก่อนที่จะหายตัวมาที่นี่ ฉันทำอะไรมานะ .. แล้วฉันก็นึกได้
“อ้ะ .. ฉัน ฉันกำลังอ่านหนังสือค่ะ หนังสือ ใช่แล้วหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์ของการพยากรณ์ไพ่ทาโร่ต์น่ะค่ะ”
“ขอรับ ถูกต้องแล้ว นั่นคือประตูมิติที่พาคุณผู้หญิงมาที่นี่อย่างไรล่ะขอรับ”
ฉันเหมือนไก่ตาแตก มึนงงขั้นสุด!
ไอเรื่องแบบนี้น่ะ มันมีแต่ในนิทานไม่ใช่หรือ หรือไม่ก็ในหนังแฟนตาซีอะไรพวกนั้น ฉันเองก็ชอบอยู่หรอก พวกเหนือธรรมชาติแบบนี้น่ะ แต่ให้เชื่อว่าฉันหายตัวมาจากโลกของฉัน มาถึงอีกโลกหนึ่ง โลกอะไรนะ .. อ่อ โลกแห่งความหวัง มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง
ขนาดในเรื่องแฮร์รี่ กว่าพ่อมดแม่มดจะหายตัวได้ยังต้องฝึกฝนกันแทบเป็นแทบตาย แล้วนี่มันอะไร ? หลังของฉันชนเข้ากับเสาหินไปหนึ่งทีเท่านั้นเองนะ
ไม่ ไม่ ไม่! ..
ฉันพูดพลางตบหัวตัวเองแรง ๆ ฉันไม่นิยมการทำร้ายตัวเองแต่ครั้งนี้จะฝืนใจทำสักหนึ่งครั้ง ตบไปก็เจ็บเปล่าเพราะลืมตาขึ้นมาฉันก็ยืนอยู่ตรงหน้ากระต่ายน้อยที่เดิม
“คุณผู้หญิงขอรับ โลกแห่งนี้มิใช่โลกแห่งความฝัน โลกแห่งนี้ .. อยู่มาช้านาน อยู่ขนานกันกับโลกที่คุณผู้หญิงจากมานานนับหมื่นนับพันปีแล้วขอรับ” เสียงแหบเล็กของกระต่ายน้อยพูดอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่ล่ะคะ ฉันไม่ได้อยากมาซักหน่อย ได้โปรดพาฉันกลับไปโลกของฉันเถอะนะคะ” ฉันถูมือไปมา ขอร้องกระต่ายน้อยอย่างจนปัญญา น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด
“โอววว น่าเสียดาย .. น่าเสียดาย” มันก้มพึมพำ ก่อนเงยหน้ามองฉันอีกครั้งด้วยสายตาเศร้าสร้อยแต่ก็อบอุ่น
“หากคุณผู้หญิงยืนกรานก็จะได้ตามที่ปรารถนาขอรับ เชิญตามข้ามาได้เลย” จากนั้นกระต่ายน้อยก็ปีนขึ้นไปกวาดเอาไพ่ทุกใบที่มันกรีดแผ่วางไว้บนโต๊ะม้าหินอ่อน มาเก็บใส่กระเป๋ากางเกง กระโดดตุ๊บลงมาที่พื้นแล้วออกเดินนำหน้าฉันไป ทำให้ฉันใจชื้น รู้สึกดีขึ้นอย่างมากและน้ำตาก็เริ่มหยุดลงแล้ว
กระต่ายน้อยเดินนำหน้าอย่างคล่องแคล่ว มองจากด้านหลังก้นของมันปัดป่ายไปมา ดุ๊กดิ๊กน่ารักน่าเอ็นดูมากทีเดียว ฉันอยากจะหัวเราะออกมาให้ได้ แต่ต้องห้ามตัวเองไว้อย่างหนักเพราะคิดว่าจะเป็นการเสียมารยาท ฉันค่อนข้างซีเรียสในการหัวเราะเยาะคนอื่น จึงจำเป็นต้องหลบสายตาไปที่อื่นในทันที ก่อนที่ฉันจะเผลอหลุดขำออกมาจนได้
ร่างเล็กจ้อย ขนปุกปุยพาฉันเดินผ่านสวนที่ฉันเดินเข้ามาในตอนแรก เราทั้งคู่ยังคงเดินตามกันไปในความเงียบ อากาศเย็นสบาย เนื่องจากฉันรู้แน่แล้วว่า ฉันปลอดภัย และกำลังจะได้กลับบ้าน ฉันจึงนึกครึ้มใจเอ่ยถามคำถามสบาย ๆ ออกไปหนึ่งคำถาม
“โทษทีค่ะ เอ่อ .. คุณชื่ออะไรเหรอคะ” ฉันทำใจกล้าถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“ข้าหรือขอรับ อ่อ .. ขอประทานอภัยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว ตัวข้านั้นชื่อ เดฟ ขอรับ คุณผู้หญิง” กระต่ายน้อยหันกลับมาตอบคำถามของฉัน ทั้งที่ขายังคงก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด มันพูดพลางเอามือทาบไว้ที่หน้าอกอย่างสุภาพ ค้อมศีรษะเล็กน้อย
“เดฟเหรอ ชื่อเพราะจังนะคะ” ฉันเอ่ยชมฉีกยิ้มกว้าง
กระต่ายน้อยหันกลับมาค้อมศีรษะส่งยิ้มให้ฉันเล็กน้อย ขายังไม่หยุดก้าวเดินอย่างเคย
เราเดินกันมาถึงวิหารหินอ่อนที่งดงามนั่นอีกครั้งแล้ว ก่อนจะก้าวขาขึ้นไปยังพื้นของวิหาร ฉันถามคำถามอีกครั้ง
“เมื่อครู่ เห็นคุณ ..”
“เดฟ ขอรับ คุณผู้หญิง”
“ค่ะ คุณเดฟ .. เมื่อครู่ฉันเห็นคุณกำลังสับไพ่ทาโร่ต์ใช่มั้ยคะ แล้วเอ่อ .. คุณพยากรณ์โดยใช้ไพ่ทาโร่ต์ได้ด้วยเหรอคะ” ฉันถามอย่างระมัดระวัง ขณะเดินก้าวขึ้นไปยังวิหารหินอ่อนแล้ว
"ขอรับคุณผู้หญิง ข้าเป็น .. ผู้ทำนาย” เดฟพูดด้วยเสียงราบเรียบ ส่วนฉันตาลุกวาว
เราทั้งคู่เดินมาจนสุดทาง ฉันหยุดยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมที่ฉันหายตัวมาและยืนรอ
“จนกว่าจะพบกันใหม่ .. พูดคำคำนี้ให้เสียงดังฟังชัด แล้วนึกถึงสถานที่ ที่คุณผู้หญิงจากมาให้ชัดเจนนะขอรับ แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย ” เดฟเอ่ยกับฉันอย่างอ่อนโยน
“เอ่อ เดฟคะ .. กลอนที่คุณกล่าวตอนที่ฉันพบคุณนั่น หมายถึงฉันหรือเปล่าคะ” ฉันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามนิสัย
“อ่อ .. กลอนนั่นหรือขอรับ” เดฟเหลือกตาขึ้นข้างบน 45 องศาทำท่าทบทวน
“ตาต้องตาสบพักตร์ โอ้ความรักที่รอคอย
ดารารายเคลื่อนคล้อย คู่แท้พลอยพานพบเอย”
กระต่ายน้อยเอ่ยคำพยากรณ์ออกมาอีกครั้ง ในครั้งนี้ฉันพยายามท่องจำให้ขึ้นใจ
“ขอรับ เป็นคำพยากรณ์ของคุณผู้หญิงจริงแท้แน่นอนขอรับ แต่เวลานี้คงไม่ใช่เสียแล้ว” เดฟกล่าวอย่างเศร้าสร้อยแต่ก็ยังส่งยิ้มอันอ่อนโยนกลับมาให้ฉัน
“อย่างนั้นเหรอคะ” ฉันนิ่วหน้า กัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย
“พูดให้เสียงดังฟังชัด แล้วอย่าลืมนึกถึงที่ที่คุณผู้หญิงจากมานะขอรับ นึกให้ชัดเจน” เดฟพูดทวนในภาษาของตัวเองแต่ฉันเข้าใจเขาพยักหน้าให้ฉัน แล้วฉันก็พยักหน้าตอบกลับไปอย่างอัตโนมัติ
“จนกว่าจะพบกันใหม่ บายค่ะเดฟ” ฉันพูดเสียงดังฟังชัดตามที่บอก พลางนึกมโนภาพถึงห้องหนังสือของคุณยายอย่างชัดเจน
“จนกว่าจะพบกันใหม่ ขอรับคุณผู้หญิง” เดฟค้อมศีรษะให้ฉันเสียต่ำ จนหูยาว ๆ ของเขาตกละพื้น สิ้นคำของเขา วิหารหินอ่อนก็หมุนคว้าง
ฉันเวียนหัวอีกรอบ แล้วร่างก็กระตุกวูบอย่างรุนแรง ฉุดกระชากตัวฉันให้กระแทกเข้ากับความนุ่มนิ่มดังอั๊ก!
ฉันหลับตาแน่น เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่งดีแล้ว ฉันก็ค่อย ๆ ปรือเปลือกตาขึ้นทีละข้างอย่างช้า ๆ
โอ้ว .. คุณพระ! ฉันกลับมาแล้ว
สี่ไม้เท้า ห้าถ้วย และสามถ้วย ฉันจ้องมองหน้าไพ่ทาโร่ต์ที่ฉันสั่งมาทางออนไลน์ เพราะในที่สุดฉันก็แพ้ความปรารถนาของตัวเอง เช้านี้หลังจากตื่นมาอย่างสดชื่นแบบไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก เพราะเป็นวันหยุดงานวันแรกของฉัน และพึ่งบอกปฏิเสธการไปทริปครอบครัวที่ญี่ปุ่นกับแม่ไปเรียบร้อย โดยบอกว่าฉันนัดกับลิลลี่เอาไว้ก่อนแล้ว แม่ไม่ตัดพ้อไม่ต่อว่า แม่แค่บอกว่าอยากให้ฉันออกไปท่องเที่ยวบ้าง และพอรู้ว่าฉันมีแผนอยู่แล้วแม่ก็โล่งใจ ตอนนี้ฉันยังไม่มีจิตใจจะไปท่องเที่ยวที่ไหน นอกจากที่นั่นอีกแล้ว .. น้ำเสียงแม่ก็ดูปกติดีบอกว่าคิดถึงฉัน ฉันเองก็คิดถึงท่านทั้งสอง ไว้ฉันจะไปชดเชยให้ทีหลัง จากนั้นฉันจึงนั่งลงทำใจให้สงบแล้วลองจับไพ่ดูบ้าง ฉันทดลองสับไพ่อย่างที่เคยเห็นผู้ทำนายแต่ละคนทำ ดูเหมือนง่ายดายแต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ไพ่ร่วงกราวใบแล้วใบเล่า จนฉันต้องตั้งสติและค่อยเป็นค่อยไป เมื่อสับไพ่ได้จนพอใจแล้ว ฉันก็คลี่ไพ่บนโต๊ะทำงานของฉัน คลี่มันออกเป็นครึ่งวงกลมอย่างที่ฉันเคยเห็นเดฟทำประจำเลย
ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในเวลาเช้ามืดก่อนนาฬิกาจะปลุกเสียอีก ซึ่งนั่นเป็นที่น่าแปลกใจอยู่มาก เพราะโดยปกติถ้าฉันเข้านอนดึกมากอย่างเมื่อคืนล่ะก็ .. ฉันจะนอนลากยาวแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปจนถึงเที่ยงวัน คงเป็นเพราะขณะนี้หัวใจของฉันว้าวุ่นไปหมด ฉันนึกถึงคำพูดและแววตาห่วงหาอาลัยของเขาอย่างแจ่มชัดทันทีที่ลืมตาตื่น นี่ฉัน .. กำลังคิดถึงชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่จริง ๆ เหรอ มันเป็นเรื่องใหญ่และใหม่มากเลย สำหรับผู้หญิงที่มีชีวิตวนเวียนซ้ำซากอย่างฉัน แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ใช่ชายหนุ่มทั่วไป แต่ .. แต่เขา .. เป็นชายที่งดงามที่สุดเลย ฉันขอใช้คำนี้เลยแล้วกันเพราะมันบอกความเป็นท่าน เอเดนได้ตรงใจฉันที่สุดแล้ว ท่าน เอ เดน .. ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ในใจ พลางยิ้มด้วยความเขินอาย เปิดผ้าห่มออกและก้าวขาอย่างมั่นใจไปยังระเบียง เมื่อแหวกเปิดม่านออก บรรยากาศภายนอกสดชื่น โลกของฉันก็มีอากาศแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะฉันไม่ยักสังเกต ปกติก็หายใจเข้าออกทุกวันไปอย่างอัตโนมัติไม่เคยได้ฉุกคิด หรือหยุดซาบซึ้งกับอะไรพวกนี้เลย ฉันคิดแล้วสูดมันเข้าไปใ
เมื่อฉันคลายข้อข้องใจลงแล้ว ฉันก็ลองถามคำถามตรงหน้าดูว่าไพ่ทั้งสามใบนั้นหมายถึงอะไร “ไพ่เด็กถือไม้ หมายถึง การริเริ่ม ริรักขอรับ ใบนี้คือ หนึ่งเหรียญ หมายถึงของมีค่า ของรักหรือการพบนางหรือชายในฝัน และใบนี้ใบสุดท้ายคือ สองดาบ หมายถึง ความวิตกกังวล คิดอะไรไม่ถูกมองอะไรไม่ออก สับสนลังเล ขอรับคุณผู้หญิง อยากให้ข้า เอ่ยคำพยากรณ์ออกมาหรือไม่ขอรับ” กระต่ายน้อยถามฉันด้วยอาการมีเลศนัย ฉันอึกอักบอกใบ้ว่าไม่ต้อง พร้อมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ฉันได้ยินเสียงกระถางต้นไม้หล่นลงพื้นบริเวณสวนหน้าบ้าน ท่านเอเดนออกไปทำอะไรเสียนานสองนาน นั่นเขาจะพังสวนของเขาหรือไงกันนะ ฉันคิดพลางลนลานเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วฉันก็พุ่งเป้าไปที่เจ้าของคนเดิมของหนังสือเล่มนั้น ใช่สิ! .. คุณยายล่ะ “ขอถามอีกเรื่องได้มั้ยคะ” ฉันนึกเกรงใจเดฟขึ้นมานิดหน่อย คนรอบตัวฉันบางทีก็แสดงอาการระอาใจกับเรื่องความขี้สงสัย อยากรู้ไปเสียหมดของฉัน ฉันจึงขออนุญาตถามเขาอีกที “ได้เสมอขอรับ คุณผู้หญิง” เดฟสุภาพจนฉันชักจะเกรงใจเขาขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ฉันจะถามแต่คำถ
ราวกับฉันหลุดไปอีกโลกหนึ่งอีกครั้งเสียแล้ว ฉันจะเลิกประหลาดใจกับดินแดนแห่งความหวังแห่งนี้ได้เมื่อไหร่กันนะ วิหารหินและบรรยากาศแสนสดชื่นเมื่อครู่นี้ คล้ายจะธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับสถานที่ตรงหน้า บ้านเมืองที่นี่ .. จะเรียกว่าไงดี ให้ตายเถอะ .. คุณพระช่วย .. มัน .. ว้าววว!! ฉันปล่อยมือจากการเกาะเกี่ยวบุรุษหนุ่มรูปงาม แล้วหันมาเพลิดเพลินเจริญใจกับสิ่งตรงหน้า ราวกับว่าตัวฉันกำลังหลุดไปอยู่ในเทพนิยายเสียแล้ว สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่สร้างจากก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมสีขาวปนครีม แต่เมื่อถูกแสงอาทิตย์อัสดงฉาบทาก็มองคล้ายเป็นสีทองอร่ามไปทั่ว ตามกำแพงบ้านมีดอกไม้บานสะพรั่งเลื้อยเกาะคลุมไปทั่ว บางจังหวะดอกไม้ก็ยอมเว้นช่วงเผยให้เห็นความงามและความแข็งแกร่งของกำแพงอิฐ ไฟสีทองนวลตาถูกเปิดต้อนรับรัตติกาลแล้วในขณะนี้ มันอาบย้อมบรรยากาศทั้งเมืองให้สว่างไสว คล้ายต้องการส่องสว่างโชว์ให้ที่แห่งนี้นั้น โดดเด่นที่สุดในจักรวาล มันสวยงามจนฉันอ้าปากค้างตกตะลึง เขาทั้งสองเ
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้า จึงรีบหลุบตามองต่ำหัวใจเต้นแรง แล้วก็ทำใจกล้าเหลือบตามองไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มรูปงาม โอ้ว .. เขารูปงามมาก ๆ ฉันไม่อาจนึกได้เลยว่า เคยเห็นเค้าโครงหน้าและรูปร่างที่งดงามขนาดนี้มาบ้างหรือเปล่า อาจจะเคย .. แต่ก็เป็นเพียงในจินตนาการจากการอ่านนิยายของฉันเท่านั้น แต่นี้ .. มันอะไรกัน เขานั่งคุกเข่าข้างเดียวทำท่าทางเหมือนกำลังคุยปรึกษากับเดฟอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ฉันจะปรากฏกาย ในขณะที่ฉันกำลังใจเต้นระส่ำ ชายคนนั้นก็ยืนขึ้น เขาเองก็จ้องฉันไม่วางตาเช่นกัน เขาคงตกใจและสงสัยแน่นอนว่าฉันเป็นใคร เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำทับด้วยกั๊กสูทสีเทาพอดีตัว และกางเกงขายาวสีดำ ดูเป็นทางการแต่ก็ลำลองในทีอยู่ด้วยเหมือนกัน มันเป็นสไตล์แบบไหนกัน ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องแฟชั่นเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นลิลลี่เพื่อนรักล่ะก็เธอต้องรู้แน่ ฉันเหลือบมองตัวเองอยู่ครู่หนึ่งนึกขอบคุณตัวเองมากเหลือเกิน ที่วันนี้ฉันเลือกชุดนอนเป็นชุดกระโปรงสีครีมผ้าสองชั้น ชายกระโปรงยาวกรอมเท้า แขนเส
ช่วงนี้ฉันหมกมุ่นอยู่กับตำราเล่นนั้นมากเหลือเกิน ทุกเย็นเมื่อเลิกงานฉันจะรีบตาลีตาเหลือกกลับคอนโด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบอะไรนักหนา เพราะถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีนัดกับใคร ไม่ต้องคอยทำอาหารปรนนิบัติใครทั้งสิ้น ฉันก็มีเพียงแค่ตัวฉันเองคนเดียว ขนาดลิลลี่เพื่อนรัก โทรมาชวนออกไปดินเนอร์ (เธอบอกกับฉันแบบนั้น ) ฉันยังบอกปัดเธอไปเลย ว่าช่วงนี้ฉันยุ่ง .. แล้วลิลลี่เพื่อนรักก็สวนกลับทันควัน ว่าฉันไม่มีทางยุ่งได้หรอก ซึ่งนั่นก็จริง เพราะเธอรู้จักวงเวียนชีวิตอันเรียบง่ายของฉันดี แต่เธอก็ไม่เซ้าซี้ต่อแล้วบอกว่าจะรอให้ฉันออกปากชวนเองก็แล้วกัน นี่แหละเธอจึงเป็น ลิลลี่เพื่อนรักตลอดกาลของฉัน ตำแหน่งนี้ฉันยกให้เธอคนเดียว เมื่อมาถึงคอนโดฉันก็เร่งรีบจัดการธุระส่วนตัว ถึงฉันจะอยากฉวยหนังสือออกมานั่งอ่านสักเพียงใด แต่ฉันก็มีนิสัยต้องอาบน้ำก่อนขึ้นเตียงนอนทุกครั้งหลังกลับจากข้างนอก และฉันไม่เคยทำลายกฎที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเลยสักครั้ง ฉันรักความสะอาดสุด ๆ บางทีสิ่งนี้อาจจะมาจากการเป็นลูกสาวของคุณหมอทั้งสองก็เป็นได้ เมื่อเร