นั่นอะไรน่ะ! ..
ลำแสงสว่างแวบขึ้นตรงหน้าของฉัน แสงนั้นจ้าขึ้นแรงมากเสียจนฉันต้องหรี่เปลือกตาลงตามสัญชาตญาณ พลันเสียงเพลงในบ้านที่เปิดก้องทั่วบ้านอยู่เมื่อครู่นี้ก็เงียบหายไป ฉันรู้สึกว่าบ้านกำลังหมุน นี่ฉันหิวจนจะเป็นลมไปแล้วหรือไงนะ ฉันยังไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็กระตุกวูบ ฉุดฉันผงะถอยหลังอย่างแรง หลังฉันชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่แข็ง แข็งมาก ๆ ..
โอ๊ย!! ฉันร้องลั่น มันไม่ใช่เบาะนวมที่ฉันนั่งอยู่หรือ ถ้าเป็นเบาะที่ฉันนั่งมันต้องนุ่มสิ
แต่นี่มัน .. เสาหิน!
ตาฉันเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก เกิดอะไรขึ้น! แล้วห้องหนังสือของคุณยายหายไปไหนเสียแล้ว เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับฉัน หรือฉันเป็นลมไปแล้วจริง ๆ แล้วตอนนี้ฉันกำลังแหวกว่ายอยู่ในความฝันอย่างนั้นหรือ
ฉันมองไปรอบ ๆ อย่างหวั่นใจ สถานที่แห่งนี้งดงามราวกับความฝันจริงเสียด้วย ที่ที่ฉันยืนอยู่ลักษณะเหมือนวิหารหินอ่อน มันใหญ่โตมโหฬารมาก ๆ มากกว่าที่ไหน ๆ ที่ฉันเคยอ่านหรือว่าพบเจอมาก่อน
ที่แห่งนี้ ให้ความรู้สึกเงียบสงบแต่ไม่วังเวง ใจฉันที่เต้นแรงในตอนแรกนั้น จู่ ๆ มันก็ลดระดับความตื่นตระหนกลงไปมากโข มันสงบเสียจนฉันแปลกใจ ราวกับว่ามันอยู่นอกเหนือคำสั่งของฉันไปโดยสิ้นเชิง
วิหารหินแห่งนี้ เป็นทางทอดยาวไปไกลจนสุดสายตา ด้านข้างมีเสาหินต้นใหญ่เรียงต่อกันเป็นแนวยาวเรื่อยไปตลอดทาง เสาแต่ละต้นมีรูปปั้นประจำเสาแตกต่างกันออกไป มันสูงจนฉันยังไม่ได้เพ่งพินิจให้ดีว่ามันเป็นรูปร่างอะไรกันแน่
ที่นี่ที่ไหน ไม่มีคนอยู่เลยอย่างนั้นหรือ? ..
“ สวัสดีค่ะ เอ่อ .. มีใครอยู่มั้ยคะ? ” ฉันไม่รู้ว่าฉันเอ่ยถามไปกับใคร และไม่รู้ว่าฉันหวังจะได้ยินอะไรตอบกลับมาหรือเปล่า การที่มันยังคงเงียบงันอยู่อย่างนี้ กับการมีเสียงใครบางคนตอบกลับมา อันไหนฉันจะสบายใจมากกว่ากันนะ ..
ฉันยังนึกสงสัย ..
แต่ไม่ทันได้หาคำตอบในใจตัวเอง ฉันก็ก้าวขาออกเดินไปข้างหน้าเป็นก้าวแรก
ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ไหว หรือเสียงแมลงสักนิดก็ไม่มีเลย ฉันลองหยิกตัวเองที่ท้องแขนดูสักครั้ง
โอ๊ย .. เจ็บชะมัดเลย!
แล้วพลันนึกได้ว่าตอนขามาฉันก็เจ็บพอดูอยู่แล้ว นั่นทำให้ฉันหัวเสียขึ้นมานิดหน่อย ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ขาฉันก็ก้าวไกลออกไปเรื่อย ๆ ข้างกายยังคงเป็นเสาหินต้นใหญ่ทอดยาว พื้นที่ฉันเหยียบอยู่ขณะนี้ก็เป็นหินอ่อนที่มีลวดลายผสมผสานงดงามยิ่งนัก
สายลมอ่อนโชยแผ่วมากระทบแก้มของฉัน มันพัดพาเอาความสดชื่นอย่างที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อนมากับมันด้วย ฉันตั้งใจจะสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด อยากเก็บอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้เอาไว้ให้มากที่สุดเลย โดยลืมไปว่าพอฉันหายใจออกมันก็หายไปแล้ว .. เสียดายจริง
ฉันมองลอดระหว่างเสาหินออกไปทางขวามือ มองเห็นว่ามีสวนไม้ประดับสีเขียวชอุ่มอยู่ด้วย ฉันจึงไม่ลังเลเดินตัดผ่านช่องเสาหินออกไปที่สวนแห่งนั้นทันที
ฉันก้าวลงไปที่พื้นดิน จะว่าเป็นพื้นดินก็ไม่ถูกนัก เพราะมันถูกปูทับด้วยหินกรวดสีขาวเม็ดเล็ก ละเอียดมาก เม็ดของมันไม่ได้เล็กเท่ากับเม็ดทราย แต่ก็ละเอียดกว่ากรวดที่ฉันเคยเห็นมาทั้งชีวิต พอรองเท้าของฉันสัมผัสลงไปบนกรวด มันกลับนุ่มเหมือนไม่ใช่กรวด ฉันลองขยี้รองเท้าดูเล็กน้อย .. แต่มันไม่เกิดเสียงอะไรเลย
เป็นไปได้หรือ? .. เหยียบไปบนกรวดแล้วกลับไม่มีเสียงของแข็งบดกัน
ฉันฉงนใจถึงกับเอียงคอ จังหวะนั้นฉันก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วออกมาจากด้านในสวนแห่งนั้น ฉันมองตามต้นเสียงนั้นไป ยังไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตสักชนิดเลยในบริเวณรัศมีรอบกายฉัน เดินลึกเข้าไปในสวน มีไม้ยืนต้นสูงตระหง่าน ใบไม้เขียวขจีไปทั่วสวน
มีพันธุ์ไม้เลื้อยที่ฉันไม่รู้จักอีกหลากหลายสายพันธุ์ การที่ฉันไม่รู้จักพันธุ์ไม้มันก็ไม่แปลกเท่าไหร่นักหรอก ฉันเป็นประเภทลงมือปลูกอะไรก็ตายเกลี้ยง ฉันจึงสรุปว่าฉันไม่เหมาะจะดูแลพวกมัน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าฉันไม่ชอบต้นไม้นะ
ฉันแค่มือร้อนน่ะ .. มือร้อน
ฉันกวาดตามองไปทั่ว พยายามเงี่ยหูฟังหาที่มาของ เสียงให้ได้ คิดในใจว่าจะลองส่งเสียงดูอีกสักครั้งดีมั้ย? ..
แต่สัญชาตญาณการป้องกันตนเองของมนุษย์บอกฉันว่า
อย่าดีกว่า
ฉันจึงเดินไปเงียบ ๆ ตั้งใจจะรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าเสียงนั้นมาจากตัวอะไร หรือใครกันแน่ ก่อนที่ฉันจะแสดงตัวให้อีกฝ่ายได้รับรู้
ยิ่งเดินลึกเข้าไป ฉันยิ่งได้ยินต้นเสียงชัดขึ้น ชัดขึ้น .. มันฟังดูเหมือนเสียงกระดาษแข็งกรีดกระทบกัน เอ๊ะ! .. หรือเสียงกระพือปีก เสียงอะไรกันแน่นะ ฉันย่องเข้าไปอีก
ดีที่หินกรวดใต้รองเท้าของฉันไม่ส่งเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย แถมยังนุ่มเท้าเสียจนฉันต้องคอยมองว่า ฉันเหยียบอยู่บนมันแน่หรือ แต่ถึงจะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาอย่างไร ฉันก็ยังคงเดินย่องราวกับเป็นแมวขโมย ถ้าบังเอิญมีใครมาเห็นเข้าคงต้องคิดอย่างนั้นไม่ผิดแน่
ลมพัดผมฉันปลิวไสว มันชื่นใจมากจนฉันแทบอยากนั่งลงแล้วเอนกายพักผ่อนเสียให้ชุ่มปอด
ลมอะไรหนอ .. ถึงได้ชื่นใจอย่างนี้
อากาศก็แสนจะเย็นสบาย เวลาลมพัดมามันก็หอบเอากลิ่นของใบไม้ใบหญ้า กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มาด้วย ฉันแทบอยากพนมมือขอให้เวลาหยุดเดิน แล้วขอซึมซับกับความสวยสดงดงามของธรรมชาติแห่งนี้ไปตราบนานเท่านาน
ระหว่างที่ฉันเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติที่รายล้อมรอบตัวของฉันอยู่ ขาของฉันก็ยังคงก้าวต่อไป ฉันเห็นว่ามีกำแพงต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งขวางทางอยู่ ฉันจึงเดินเบนออกขวาไปอีกเล็กน้อย พบว่ามีช่องทางเดินเข้าไปยังที่ใดที่หนึ่งหลังกำแพงนั้น
เสียงตีปีก พึ่บพั่บ .. ยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ขาฉันรู้ใจมันเดินย่องเบามากขึ้นกว่าเดิม หัวใจของฉันในสถานการณ์แบบนี้มันควรเต้นระส่ำไม่ใช่หรือ แต่มันกลับสงบนิ่ง ราวกับว่ามันกำลังบอกให้ฉันรู้ว่า ฉันจะปลอดภัย
ฉันเอื้อมมือจับไปที่ขอบกำแพงต้นไม้นั้น ยื่นหน้าเข้าไปดูว่าต้นเสียงที่ทำให้ฉันฉงนใจนั้นมาจากไหนกันแน่
แล้วฉันก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง !!
กระต่ายน้อยหูตั้งยาว มีขนสีขาวทั่วตัว สวมชุดทำจากผ้าขนนุ่มนิ่มสีน้ำตาลคลุมยาวทั้งแขนและขา นั่งตัวตรงเป๊ะ หันหลังกำลังทำอะไรบางอย่าง แขนสองข้างของกระต่ายน้อยเข้าแล้วออก-เข้าแล้วออกเสียงดัง ฟึ่บ ๆ ๆๆๆ ตลอดเวลา
ฉันเบิกตาโพลง กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แม้ว่าในคอจะแห้งผากแต่ฉันก็พยายามกลืนมันซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงในหัวบอกฉันว่า กระต่ายเป็นสัตว์โลกน่ารัก ไม่มีพิษมีภัย ฉันจึงทำใจดีเข้าไว้แล้วกระแอมออกไปเล็กน้อย
“ เอ่อ .. ส สวัสดีค่ะ ” ฉันพยายามทำเสียงให้เป็นมิตรที่สุดแล้ว ฉันบ้ามั้ยล่ะ .. ฉันกำลังพูดกับกระต่าย!
ก็จะให้ทำอะไรได้อีก ฉันคงอ่านนิยายแฟนตาซีมากไปหรือบางทีอาจจะหวังลึก ๆ ในใจว่า เจ้าของเจ้ากระต่ายน้อยตัวนี้อาจจะกำลังซุ่มดูฉันอยู่ก็เป็นได้นี่นา ตอนนี้อะไร ๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ
สิ้นเสียงของฉันกระต่ายน้อยก็หยุดมือ มันหยุดกระทำบางสิ่งที่กระทำมาตลอดตั้งแต่ฉันเดินตามเสียงมา แล้วบรรจงวางบางสิ่งลงไปที่โต๊ะม้าหินตรงหน้ามัน ฉันเดินอ้อมไปทางด้านหน้า มันไม่เงยหน้าขึ้นมามองดูฉันเลยแม้สักนิด ยังคงบรรจงวางบางสิ่งลงไปอีกครั้งและอีกครั้ง
เมื่อฉันเดินมาประจันหน้าแล้ว ฉันก็ผงะ .. เพราะสิ่งที่เจ้ากระต่ายน้อยบรรจงวางลงไปนั้นเป็น ไพ่ทาโร่ต์ 3 ใบ
ฉันงุนงงเป็นที่สุด ขยับขาเข้าไปใกล้ แล้วก็ต้องหยุด ชะงักเมื่อมันเอ่ยขึ้นมาในความเงียบระหว่างเรา
“ เดอะสตาร์ เลิฟเวอร์ สองถ้วย ” เจ้าตัวน้อยกล่าวเสียงแหบเล็ก สายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าไพ่ ทำราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญนัก
นั่นมันพูดเป็นภาษาอะไรน่ะ! .. ฉันไม่เคยได้ยินภาษาแบบนี้มาก่อน แล้วทำไมฉันถึงเข้าใจและแปลมันได้ทุกคำเลย
มันพูดได้!
เข่าฉันสั่นกึก ๆ ฉันควรพูดอะไรมั้ย หรือควรจะเงียบไว้อย่างเดิม หรือหันหลังแล้วรีบใส่เกียร์หมาดี
ขณะฉันกำลังค้นหาคำตอบอยู่ในใจ
เจ้ากระต่ายก็เอ่ยขึ้นมาอีก
“ ตาต้องตาสบพักตร์ โอ้ความรักที่รอคอย
ดารารายเคลื่อนคล้อย คู่แท้พลอยพานพบเอย ”
สิ้นเสียงแหบเล็ก เจ้ากระต่ายน้อยก็เงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยดวงตาวาวเป็นประกาย ตาของมันกลมโต บ๊องแบ๊วน่ารักเสียจนฉันเผลอส่งยิ้มออกไปให้ มันยิ้มตอบฉันกลับมาอย่างน่าเอ็นดู ชั่วอึดใจเจ้ากระต่ายยืนขึ้น พลางค้อมหัวให้เล็กน้อยและผายมือออก พร้อมเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“ สวัสดีขอรับ .. คุณผู้หญิง
ขอต้อนรับสู่ ดินแดนแห่งความหวัง ”
สี่ไม้เท้า ห้าถ้วย และสามถ้วย ฉันจ้องมองหน้าไพ่ทาโร่ต์ที่ฉันสั่งมาทางออนไลน์ เพราะในที่สุดฉันก็แพ้ความปรารถนาของตัวเอง เช้านี้หลังจากตื่นมาอย่างสดชื่นแบบไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก เพราะเป็นวันหยุดงานวันแรกของฉัน และพึ่งบอกปฏิเสธการไปทริปครอบครัวที่ญี่ปุ่นกับแม่ไปเรียบร้อย โดยบอกว่าฉันนัดกับลิลลี่เอาไว้ก่อนแล้ว แม่ไม่ตัดพ้อไม่ต่อว่า แม่แค่บอกว่าอยากให้ฉันออกไปท่องเที่ยวบ้าง และพอรู้ว่าฉันมีแผนอยู่แล้วแม่ก็โล่งใจ ตอนนี้ฉันยังไม่มีจิตใจจะไปท่องเที่ยวที่ไหน นอกจากที่นั่นอีกแล้ว .. น้ำเสียงแม่ก็ดูปกติดีบอกว่าคิดถึงฉัน ฉันเองก็คิดถึงท่านทั้งสอง ไว้ฉันจะไปชดเชยให้ทีหลัง จากนั้นฉันจึงนั่งลงทำใจให้สงบแล้วลองจับไพ่ดูบ้าง ฉันทดลองสับไพ่อย่างที่เคยเห็นผู้ทำนายแต่ละคนทำ ดูเหมือนง่ายดายแต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ไพ่ร่วงกราวใบแล้วใบเล่า จนฉันต้องตั้งสติและค่อยเป็นค่อยไป เมื่อสับไพ่ได้จนพอใจแล้ว ฉันก็คลี่ไพ่บนโต๊ะทำงานของฉัน คลี่มันออกเป็นครึ่งวงกลมอย่างที่ฉันเคยเห็นเดฟทำประจำเลย
ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในเวลาเช้ามืดก่อนนาฬิกาจะปลุกเสียอีก ซึ่งนั่นเป็นที่น่าแปลกใจอยู่มาก เพราะโดยปกติถ้าฉันเข้านอนดึกมากอย่างเมื่อคืนล่ะก็ .. ฉันจะนอนลากยาวแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปจนถึงเที่ยงวัน คงเป็นเพราะขณะนี้หัวใจของฉันว้าวุ่นไปหมด ฉันนึกถึงคำพูดและแววตาห่วงหาอาลัยของเขาอย่างแจ่มชัดทันทีที่ลืมตาตื่น นี่ฉัน .. กำลังคิดถึงชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่จริง ๆ เหรอ มันเป็นเรื่องใหญ่และใหม่มากเลย สำหรับผู้หญิงที่มีชีวิตวนเวียนซ้ำซากอย่างฉัน แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ใช่ชายหนุ่มทั่วไป แต่ .. แต่เขา .. เป็นชายที่งดงามที่สุดเลย ฉันขอใช้คำนี้เลยแล้วกันเพราะมันบอกความเป็นท่าน เอเดนได้ตรงใจฉันที่สุดแล้ว ท่าน เอ เดน .. ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ในใจ พลางยิ้มด้วยความเขินอาย เปิดผ้าห่มออกและก้าวขาอย่างมั่นใจไปยังระเบียง เมื่อแหวกเปิดม่านออก บรรยากาศภายนอกสดชื่น โลกของฉันก็มีอากาศแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะฉันไม่ยักสังเกต ปกติก็หายใจเข้าออกทุกวันไปอย่างอัตโนมัติไม่เคยได้ฉุกคิด หรือหยุดซาบซึ้งกับอะไรพวกนี้เลย ฉันคิดแล้วสูดมันเข้าไปใ
เมื่อฉันคลายข้อข้องใจลงแล้ว ฉันก็ลองถามคำถามตรงหน้าดูว่าไพ่ทั้งสามใบนั้นหมายถึงอะไร “ไพ่เด็กถือไม้ หมายถึง การริเริ่ม ริรักขอรับ ใบนี้คือ หนึ่งเหรียญ หมายถึงของมีค่า ของรักหรือการพบนางหรือชายในฝัน และใบนี้ใบสุดท้ายคือ สองดาบ หมายถึง ความวิตกกังวล คิดอะไรไม่ถูกมองอะไรไม่ออก สับสนลังเล ขอรับคุณผู้หญิง อยากให้ข้า เอ่ยคำพยากรณ์ออกมาหรือไม่ขอรับ” กระต่ายน้อยถามฉันด้วยอาการมีเลศนัย ฉันอึกอักบอกใบ้ว่าไม่ต้อง พร้อมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ฉันได้ยินเสียงกระถางต้นไม้หล่นลงพื้นบริเวณสวนหน้าบ้าน ท่านเอเดนออกไปทำอะไรเสียนานสองนาน นั่นเขาจะพังสวนของเขาหรือไงกันนะ ฉันคิดพลางลนลานเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วฉันก็พุ่งเป้าไปที่เจ้าของคนเดิมของหนังสือเล่มนั้น ใช่สิ! .. คุณยายล่ะ “ขอถามอีกเรื่องได้มั้ยคะ” ฉันนึกเกรงใจเดฟขึ้นมานิดหน่อย คนรอบตัวฉันบางทีก็แสดงอาการระอาใจกับเรื่องความขี้สงสัย อยากรู้ไปเสียหมดของฉัน ฉันจึงขออนุญาตถามเขาอีกที “ได้เสมอขอรับ คุณผู้หญิง” เดฟสุภาพจนฉันชักจะเกรงใจเขาขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ฉันจะถามแต่คำถ
ราวกับฉันหลุดไปอีกโลกหนึ่งอีกครั้งเสียแล้ว ฉันจะเลิกประหลาดใจกับดินแดนแห่งความหวังแห่งนี้ได้เมื่อไหร่กันนะ วิหารหินและบรรยากาศแสนสดชื่นเมื่อครู่นี้ คล้ายจะธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับสถานที่ตรงหน้า บ้านเมืองที่นี่ .. จะเรียกว่าไงดี ให้ตายเถอะ .. คุณพระช่วย .. มัน .. ว้าววว!! ฉันปล่อยมือจากการเกาะเกี่ยวบุรุษหนุ่มรูปงาม แล้วหันมาเพลิดเพลินเจริญใจกับสิ่งตรงหน้า ราวกับว่าตัวฉันกำลังหลุดไปอยู่ในเทพนิยายเสียแล้ว สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่สร้างจากก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมสีขาวปนครีม แต่เมื่อถูกแสงอาทิตย์อัสดงฉาบทาก็มองคล้ายเป็นสีทองอร่ามไปทั่ว ตามกำแพงบ้านมีดอกไม้บานสะพรั่งเลื้อยเกาะคลุมไปทั่ว บางจังหวะดอกไม้ก็ยอมเว้นช่วงเผยให้เห็นความงามและความแข็งแกร่งของกำแพงอิฐ ไฟสีทองนวลตาถูกเปิดต้อนรับรัตติกาลแล้วในขณะนี้ มันอาบย้อมบรรยากาศทั้งเมืองให้สว่างไสว คล้ายต้องการส่องสว่างโชว์ให้ที่แห่งนี้นั้น โดดเด่นที่สุดในจักรวาล มันสวยงามจนฉันอ้าปากค้างตกตะลึง เขาทั้งสองเ
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้า จึงรีบหลุบตามองต่ำหัวใจเต้นแรง แล้วก็ทำใจกล้าเหลือบตามองไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มรูปงาม โอ้ว .. เขารูปงามมาก ๆ ฉันไม่อาจนึกได้เลยว่า เคยเห็นเค้าโครงหน้าและรูปร่างที่งดงามขนาดนี้มาบ้างหรือเปล่า อาจจะเคย .. แต่ก็เป็นเพียงในจินตนาการจากการอ่านนิยายของฉันเท่านั้น แต่นี้ .. มันอะไรกัน เขานั่งคุกเข่าข้างเดียวทำท่าทางเหมือนกำลังคุยปรึกษากับเดฟอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ฉันจะปรากฏกาย ในขณะที่ฉันกำลังใจเต้นระส่ำ ชายคนนั้นก็ยืนขึ้น เขาเองก็จ้องฉันไม่วางตาเช่นกัน เขาคงตกใจและสงสัยแน่นอนว่าฉันเป็นใคร เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำทับด้วยกั๊กสูทสีเทาพอดีตัว และกางเกงขายาวสีดำ ดูเป็นทางการแต่ก็ลำลองในทีอยู่ด้วยเหมือนกัน มันเป็นสไตล์แบบไหนกัน ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องแฟชั่นเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นลิลลี่เพื่อนรักล่ะก็เธอต้องรู้แน่ ฉันเหลือบมองตัวเองอยู่ครู่หนึ่งนึกขอบคุณตัวเองมากเหลือเกิน ที่วันนี้ฉันเลือกชุดนอนเป็นชุดกระโปรงสีครีมผ้าสองชั้น ชายกระโปรงยาวกรอมเท้า แขนเส
ช่วงนี้ฉันหมกมุ่นอยู่กับตำราเล่นนั้นมากเหลือเกิน ทุกเย็นเมื่อเลิกงานฉันจะรีบตาลีตาเหลือกกลับคอนโด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบอะไรนักหนา เพราะถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีนัดกับใคร ไม่ต้องคอยทำอาหารปรนนิบัติใครทั้งสิ้น ฉันก็มีเพียงแค่ตัวฉันเองคนเดียว ขนาดลิลลี่เพื่อนรัก โทรมาชวนออกไปดินเนอร์ (เธอบอกกับฉันแบบนั้น ) ฉันยังบอกปัดเธอไปเลย ว่าช่วงนี้ฉันยุ่ง .. แล้วลิลลี่เพื่อนรักก็สวนกลับทันควัน ว่าฉันไม่มีทางยุ่งได้หรอก ซึ่งนั่นก็จริง เพราะเธอรู้จักวงเวียนชีวิตอันเรียบง่ายของฉันดี แต่เธอก็ไม่เซ้าซี้ต่อแล้วบอกว่าจะรอให้ฉันออกปากชวนเองก็แล้วกัน นี่แหละเธอจึงเป็น ลิลลี่เพื่อนรักตลอดกาลของฉัน ตำแหน่งนี้ฉันยกให้เธอคนเดียว เมื่อมาถึงคอนโดฉันก็เร่งรีบจัดการธุระส่วนตัว ถึงฉันจะอยากฉวยหนังสือออกมานั่งอ่านสักเพียงใด แต่ฉันก็มีนิสัยต้องอาบน้ำก่อนขึ้นเตียงนอนทุกครั้งหลังกลับจากข้างนอก และฉันไม่เคยทำลายกฎที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเลยสักครั้ง ฉันรักความสะอาดสุด ๆ บางทีสิ่งนี้อาจจะมาจากการเป็นลูกสาวของคุณหมอทั้งสองก็เป็นได้ เมื่อเร