ฉันวิ่งตึงตังลงมาข้างล่างด้วยความเร็วสูง ไม่ได้ยั้งส้นเท้าอย่างที่แม่เคยพร่ำสอนไว้เลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมหอบหิ้วหนังสือศาสตร์แห่งการพยากรณ์โดยไพ่ทาโร่ต์เล่มหน้าเตอะลงมาด้วย เสียงเพลงในบ้านกลับมาดังเหมือนเดิมแล้ว
“พี่กิ๊ง .. พี่กิ๊งคะ” ฉันวิ่งหน้าตั้งพลางตะโกนร้องเรียกพี่กิ๊งไปด้วย จนในที่สุดก็ถึงห้องครัว ฉันหอบแห่ก
“หือออ .. มีอะไรน้องตา ทำไมหน้าตื่นมาแบบนั้นล่ะ”
พี่กิ๊งกำลังตักน้ำซุปควันฉุยใส่ถ้วยสองถ้วย ที่มีเส้นอุดงวางขดไว้แล้วเรียบร้อย เงยหน้ามามองฉันอย่างฉงนใจ
ฉันยืนก้มหน้าเอามือเท้าไปที่เข่าหนึ่งข้าง แขนอีกข้างอุ้มหนังสืออยู่ หายใจหอบถี่
“นี่กี่โมงแล้วคะเนี่ยยย หนูอยู่ข้างบนนานเท่าไหร่แล้วเหรอคะ” ฉันถามพร้อมพยายามบังคับลมหายใจให้เป็นจังหวะ
“ตอนนี้เหรอ .. แหมไม่รู้สิ มือถือพี่อยู่บนโต๊ะตรงนู้น ให้พี่เดาคงน่าจะประมาณ 30-40 นาทีมั้งจ๊ะ ปกติพี่ก็ทำอุด้งใช้เวลาประมาณนี้แหละ” เธอโรยต้นหอมญี่ปุ่นซอยลงไป กลิ่นหอมยวนใจมาก
ฉันที่ยังยืนอึ้งไม่หาย พี่กิ๊งก็พูดแทรกขึ้นมา
“ว่าไงจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมดูตกใจขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าอยู่ดี ๆ ก็กลัวแม่พี่ขึ้นมาน่ะ” เธอแกล้งอำฉัน ฉันรู้ดี
“ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่แบบนั้นค่า หนูไม่มีทางกลัวคุณยายหรอก คุณยายรักหนูจะตาย หนูรู้ ..” ฉันพูดพลางบอกมือปัดป่ายปฏิเสธ
“งั้นอะไรล่ะ เจออะไรเข้า” พี่กิ๊งยกชามที่มีอุด้งน้ำเต็มปริ่มถือไปที่โต๊ะอาหาร ฉันรีบวางหนังสือแล้วเข้าไปช่วยยก
“คือว่า ..”
จะเล่าว่าอย่างไรดีไม่ให้พี่กิ๊งตกใจ และที่สำคัญไม่ให้เธอคิดว่าฉันเป็นบ้า ใครเขาจะเชื่อกันล่ะว่าฉันสามารถข้ามมิติไปยังอีกโลกหนึ่งได้ แถมฉันเจอกระต่ายพูดได้ที่เป็นนักพยากรณ์ ถึงคนตรงหน้าจะเป็นแม่ของฉัน ฉันก็คงไม่กล้าเล่า แต่ถ้าเป็นคุณยายก็ไม่แน่เหมือนกัน ฉันคิดวนเวียนไปสุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับก่อน
“คือหนูเผลอหลับน่ะค่ะ แล้วดันฝันร้ายนิดหน่อย นึกว่าหลับไปนานเลย ตื่นมาเลยตกใจมากน่ะค่ะ” ฉันขอโทษพี่กิ๊งในใจยกใหญ่ที่ต้องโกหกเธอ ทั้งที่เราสนิทกันแท้ ๆ
แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า ฉันถือวิสาสะหยิบหนังสือออกมาจากห้องหนังสือของคุณยายโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันจึงรีบลุกเดินไปยังหนังสือเล่มนั้น ที่ฉันวางมันไว้ตรงเคาน์เตอร์ในครัว หยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วกำลังจะเลี้ยวไปที่บันได
“น้องตา จะไปไหนมากินตอนร้อน ๆ สิจ๊ะ เดี๋ยวมันอืดหมดนะ” พี่กิ๊งพูดพร้อมสูดเส้นอุด้งเข้าปากไม่รอฉันแล้ว
“หนูขอเอาหนังสือขึ้นไปเก็บก่อนค่ะ เดี๋ยวรีบลงมากินเลยค่า” ฉันตอบเธอพลางก้าวขาขึ้นบันได
“อ่านจบแล้วเหรอ เอากลับไปอ่านสิจ๊ะ เอาไว้ที่นี่ก็ไม่มีใครอ่าน อยู่กับน้องตาน่าจะมีประโยชน์มากกว่า ไว้น้องตาอ่านจบแล้วค่อยเอามาคืนที่ก็ได้” พี่กิ๊งวางตะเกียบส่งยิ้มให้ฉัน
“ได้เหรอคะพี่กิ๊ง” ฉันถามด้วยความตื่นเต้นสุดใจ ดวงตาน่าจะส่องประกายแวววาว จนพี่กิ๊งน่าจะดูอาการฉันออก เธอหัวเราะน้อย ๆ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถ้าพี่อนุญาตซะอย่าง” พี่กิ๊งยิ้มหวานตาหยีให้ฉัน
โอ้ .. พี่กิ๊งขา ขอบคุณนะคะ ฉันรำพึงรำพัน
“ขอบคุณนะคะพี่กิ๊ง” ฉันผู้บ่อน้ำตาตื้น น้ำตาเอ่อล้นที่ดวงตาทั้งสองข้าง
“ทำซึ้งทำไมเนี่ยยย แค่ให้ยืมอ่านหนังสือเองน้องตา .. ฮ่า ฮ่า .. มากินเร็ว” ฉันเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยความตื้นตันใจ ขอบคุณที่ฉันโชคดีมีมิตรภาพที่งดงามขนาดนี้ ฉันดีใจมากจริง ๆ
ฉันจับตะเกียบขึ้นมาคีบเส้นอุด้งแล้วสูดเข้าปากไปอย่างชำนาญการ ฉันรักการกินเส้นทุกประเภท ไม่ว่าจะเส้นอะไรฉันก็ชอบทั้งนั้น ขณะที่เคี้ยวเส้นอุด้ง ฉันก็ตาลุกวาว มันนุ่มหนึบหนับมาก แล้วฉันก็ตักน้ำซุปซดตามเข้าไป
“อร่อยยยยยย” ฉันพนมมือทั้งที่ยังถือตะเกียบกับช้อนอยู่เลย หลับตาปี๋ชื่นชมความอร่อยที่กำลังกลั้วผสมรวมอยู่ในปากอย่างรื่นรมย์
เมื่อได้เวลาสมควร หลังจากที่ช่วยเก็บถ้วยชามและห้องครัวให้คืนสภาพสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ฉันก็ลาพี่กิ๊งกลับคอนโด
เมื่อมาถึงคอนโด ฉันก็รีบอาบน้ำอาบท่าทันที แล้วนั่งลงจ้องมองหนังสือเล่มหนาเตอะปกแข็งสวยงามเล่มนั้น ฉันจ้องมองมันด้วยความพิศวงในใจ นี่ฉันไม่ได้ฝันไปจริง ๆ ใช่มั้ย .. ฉันนึกคำพูดที่ฉันบอกพี่กิ๊งไปว่า ฉันฝัน .. หรือว่าฉันจะฝันไปจริง ๆ อึดใจต่อมา ฉันก็นึกคำกลอนที่ฉันถูกพยากรณ์โดยเดฟเอาไว้ได้
ฉันผุดลุกขึ้นไปคว้าสมุดไดอารี่ส่วนตัว และปากกาด้ามโปรดที่ตรงปลายเป็นขนนกสีดำยาวเฟื้อยมานั่งลงที่เดิม ฉันลงมือจดทุกอย่างที่ฉันพอจะนึกได้ ระหว่างที่ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะทะลุมิติไปอีกโลกหนึ่ง
มันมีอะไรบ้างนะ?
เมื่อเริ่มนึกได้ฉันก็รีบจนลงไปในไดอารี่ทันที
คุณกระต่ายชื่อเดฟ เป็นนักพยากรณ์
สถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่า .. ฉันนึกทบทวนเพื่อให้แน่ใจก่อนจะเขียนลงไป อ่อ .. ดินแดนแห่งความหวัง
และไพ่ที่เป็นดั่งคำทำนายของฉัน ฉันได้ไพ่อะไรบ้างนะ ฉันเป็นคนประเภทจำเรื่องราวผ่านรูปภาพ แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามีหนังสือที่มีรูปภาพพวกนั้นอยู่ ฉันจึงรีบพลิกตำราเปิดหาโดยเร็ว แต่เปิดโดยระวัง ไม่ให้มือไปเผลอเปิดหน้าสุดท้ายเข้าให้ เพราะฉันยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า จู่ ๆ มันจะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นอีก
เมื่อฉันพลิกไป ๆ ทีละหน้าตามบทที่ว่าด้วยไพ่แต่ละใบ ฉันก็ได้คำตอบ ฉันจำหน้าไพ่ได้ในทันทีโดยไม่มีความลังเล ฉันจดมันลงไปในกระดาษ
ใบแรกคือ เดอะสตาร์ ใบที่สองคือ เดอะเลิฟเวอร์ ส่วนใบสุดท้ายคือ สองถ้วย อย่างนี่แหละใช่เลย ดูจากหน้าไพ่สวย งามดูมีความสุข แต่ฉันยังไม่ได้เจาะอ่านเข้าไปในความหมาย เพียงแต่จดเอาไว้กันลืมก่อนเท่านั้น
สิ่งสำคัญต่อไปคือกลอนบทนั้น คำพยากรณ์ที่กระต่ายน้อยกล่าวออกมาหลังจากอ่านหน้าไพ่ ฉันจำได้ไว ๆ หวังว่าฉันจะนึกออกทั้งหมดนะ ฉันจึงนั่งหลับตารวบรวมสติและสมาธิ หายใจเข้าออกช้า ๆ แล้วฉันก็บรรจงเขียนกลอนบทนั้นลงไป
“ ตาต้องตาสบพักตร์ โอ้ความรักที่รอคอย
ดารารายเศร้าสร้อย คู่แท้พลอยพานพบเอย ”
ฉันอ่านทวนดูอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ฉันว่ามันมีอะไรแปลก ๆ แล้วฉันก็ค่อย ๆ อ่านและตีความใหม่
ไม่ใช่! .. ต้องเป็น ดารารายเคลื่อนคล้อยสิ ไม่ใช่ดารารายเศร้าสร้อย ฉันขีดออกแล้วบรรจงเขียนลงไปใหม่ให้สวยงามทั้งบท คืนนั้นทั้งคืนฉันเฝ้าอ่านทบทวนกลอนบทนั้นซ้ำไปซ้ำมา แล้วฉันก็ม่อยหลับไป
หลังจากเดินไปส่งเดฟที่บ้านตุ๊กตาของเขาแล้ว ฉันมีโอกาสได้พบลูน่าอีกครั้ง แถมครั้งนี้ได้เจอมาร์คัส เจ้ากระต่ายน้อยซุกซนกระโดดหยองแหยงไปมา รอบตัวฉันและเอเดน “ หวัดดีฮะๆ ” เขาพูดได้! มาร์คัสโดดเดินหน้าถอยหลัง อย่างร่าเริง ลูน่าจับหูสองข้างของลูกชายยกเขาลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา อุ้งเท้าน้อยๆ ของเจ้ามาร์คัสยังคงตวัดป่ายไปมากลางอากาศ รอยยิ้มอันสดใสของเขา ช่วยทำให้จิตใจของฉันเบิกบาน แล้วเราทั้งหมดต่างร่ำลากันโดยดี ขณะเดินผ่านรั้วออกมาแล้ว ฉันก็เหลียวมองกลับไปยังที่บ้านกระต่ายหลังน้อยที่น่ารักหลังนั้น ฉันเอ่ยลาพวกเขาในใจอีกครั้งหนึ่ง ‘ลาก่อนค่ะเดฟ’ เอเดนกับฉัน เราเดินกลับมาที่วิหารหินด้วยความเงียบ ฉันรู้สึกปวดมวนในท้อง ไม่รู้ว่าการที่เขาตัดสินใจแบบนี้ มันจะเป็นผลดีกับฉันฝ่ายเดียวหรือเปล่า เขายอมทิ้งชีวิตที่วิเศษสุดของที่นี่ ตามฉันไปอยู่ในโลกที่ฉันเองก็ไม่ได้สันทัด หรือเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตอะไรเลย อยู่ที่นี่เขาจะแข็งแรง มีอายุยืนยาว อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ อากาศก็ดีแสนดี บ้านเมืองงดงามราวเ
เอเดนพาฉันเดินมาตามถนนที่แสงจันทร์ส่องสว่างอาบไล้ไปทั่วอย่างเคย สายลมยามราตรีพัดโชยเย็นสบาย ผมหน้าของเอเดนปลิวลู่ไปด้านข้าง เผยให้เห็นหน้าผากใสเนียน ขนาดมองด้านข้างเขายังงดงามไร้ที่ติเลย ฉันไม่รู้จะหาจุดบกพร่องจากบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้จากที่ตรงไหน แล้วเหตุใดฉันจึงได้เป็นผู้หญิงที่โชคดีอะไรอย่างนี้ ฉันกระชับมือที่จับกันกับมือของเอเดนอยู่ให้แน่นขึ้น เขาเองก็บีบมือตอบกลับมา เดินผ่านที่ราบกว้าง ริมทะเลสาบ มองไปสุดสายตาเห็นวิหารหินตั้งสูงเด่นเป็นสง่า เรากำลังจะไปบ้านของเดฟ เอเดนบอกฉันอย่างนั้น “วิหารนั้น เป็นที่ไว้สำหรับทำอะไรเหรอคะ” ฉันว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว “อ่อ .. เป็นที่สำหรับต้อนรับผู้มาเยือนน่ะ ลิต้าที่รัก ท่านเองก็มีประสบการณ์จากวิหารนั้นมิใช่หรือ” เอเดนไขข้อข้องใจ “อย่างเดียวเลยเหรอคะ” “เท่านั้นก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญเพียงพอ” เขาเอ่ยทุ้มลึกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่นานนักเราก็ผ่านสวนพันธุ์ไม้ที่เขียวชอุ่ม ที่ที่ฉันพบกับเดฟเป็นครั้งแรก ฉันมองเข้าไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น
เพียงคำเดียวที่ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จากความทุกข์ทรมานทั้งปวง คำคำนั้นคือ “ รัก ” ซอโฟครีส นักเขียนบทละครชาวกรีก ฉันยกหูโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสายอยู่นานสายก็ตัดไป ฉันนั่งเอนหลังพิงพนักที่มีเบาะบุขนรูปหน้าแมวสีชมพูอย่างสับสนในจิตใจ ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่กับเอเดนที่โลกแห่งความหวังนั่นดีหรือเปล่า .. ทำไมจะไม่ดีล่ะ? .. เสียงในหัวของฉันดังขัดขึ้นมากลางปล้อง ก็เพราะฉันมีพ่อมีแม่อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ไหนจะลิลลี่เพื่อนรักของฉันอีก ฉันโต้เธอกลับไป ขณะเอานิ้วนวดขมับ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น แพทย์หญิงผู้เพียบพร้อมของฉันโทรกลับมาหา “ไงลูกรัก” แม่ฉันกรอกเ
ฉันถูกแรงมหาศาลสลัดเหวี่ยงลงบนเตียงนอน หัวอยู่ปลายเตียง ขาฉันฟาดเข้ากับหมอนอิงใบใหญ่ โชคดีที่ไม่โดนหัวเตียงเพราะห่างจากปลายเท้าของฉันเพียงเส้นยาแดงเท่านั้น ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินทางไปอยู่ที่นั่นนานกว่าทุกครั้ง แถมครั้งนี้ไปค้างคืนมาเสียด้วย จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาเช็กดู เผื่อว่าฉันพลาดอะไรที่สำคัญไปหรือเปล่า ฉันปัดเปิดหน้าจออย่างชำนาญ เห็นข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอยู่สามสี่ข้อความ จากแม่ .. เป็นข้อความสวัสดีปีใหม่ จากพ่อ .. ข้อความเช่นเดียวกัน ถัดมาเป็นคนคุยคนเก่าที่ทิ้งฉันไปได้หลายปีแล้ว ส่งสติ๊กเกอร์มาทำไมฉันอ่านและลบออกทันที ส่วนข้อความสุดท้ายมาจากลิลลี่เพื่อนรัก ‘วันหยุดนี้ ทำอะไร ? โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับมาด้วยนะ’ ฉันอ่านพลางจินตนาการน้ำเสียงประชดประชัน แต่จริงใจของ ลิลลี่เพื่อนรักของฉัน ฉันอยากโทรไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังใจจะขาด แต่มันทำไม่ได้ ฉันอยากพาเธอกับครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่โลกแห่งความหวัง แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เหนื่อยจัง ..
“นางเป็นน้องสาวของลุคน่ะ ลิต้าที่รัก นางจิตใจดีและมีน้ำใจมากทีเดียว” เอเดนตอบคำถามของฉันอีกครั้ง “อ่อ ค่ะ” ฉันพึมพำ “เราขออย่างเดิม สามที่นะลุค ขอบใจ” เอเดนกล่าว “ไม่นานเกินรอ ท่านทั้งหลาย” หนุ่มรูปหล่อคนใหม่หายเข้าไปหลังบาร์ ฉันมองไปรอบร้าน ไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยมีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น เสียงกระดิ่งประตูหน้าดังขึ้น ลมเย็นพัดโบกเข้ามา หญิงสาวหน้าตาสวยสะดุด กระโปรงสีเขียวมิ้นท์ของเธอปลิวไสวในสายลม ผมสีทองมวยต่ำ ตาสีฟ้าโตลึกคมเข้ม ฉบับสาวฝรั่งในนิตยสาร “เอเดน .. เดฟ อะไรดลใจท่านงั้นหรือ” เธอพูดจงใจมองหน้าเอเดน และฉันแปลมันออกทุกคำเลย “เจซี่ สวัสดี” เอเดนทักทายสุภาพ อ่อ! .. สาวงามคนนี้นี่เอง “สวัสดีขอรับ คุณผู้หญิง” กระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างซ้ายติดกระจกร้านเอ่ยทักทาย “ท่านหายไปนานเหลือเกิน ลุคกับข้าคิดว่าท่านทำตัวห่างเหิน” เจซี่พูดพลางไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ฉัน เอเดนยิ้มรักษากิริยา เขาสง่างามเสมอเลย “โอ้ว .. ข้าไม่ทันสังเกตให้ดี ขออภัย
เช้านี้ฉันลืมตาขึ้นมามองเห็นห้องที่ไม่คุ้นตา ฉันพลิกตัวนอนหงายอย่างเร็วและแรงมาก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมากองอยู่นอกอก ฉันจับมันเอาไว้พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองอย่างยากลำบาก กว่าฉันจะระลึกชาติได้ว่าฉันนอนอยู่ที่ไหน และเมื่อคืนก่อนนอนฉันทำอะไรไปบ้าง เสียงมือจับประตูห้องนอนก็ถูกขยับกึกกัก ประตูเปิดผางออก ภาพงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้า “สวัสดี .. จวนเที่ยงแล้ว ข้ากำลังจะเข้ามาปลุกท่านอยู่พอดีลิต้าที่รัก หลับอย่างเป็นสุขดีหรือไม่เมื่อคืนนี้” เอเดนสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันที่เตียงนอน “อย่าพึ่งเข้ามานะคะ” ฉันยกมือขึ้นห้ามเขา “ .. ” เขาหยุดกึก เลิกคิ้วอย่าฉงนใจ “ห้องน้ำอยู่ไหนคะ ฉัน .. อยากเข้าห้องน้ำ” “อ่อ .. เชิญทางนี้” เอเดนผายมือ และเดินนำฉันออกมาทางประตู เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงห้องหนึ่งที่ประตูปิดสนิท คงเป็นห้องน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันเปิดและรีบแทรกตัวเข้าไปในนั้น ตามด้วยหันหลังกลับมาปิดประตูทันที “เดี๋ยวฉันตามลงไปนะคะ” ฉันตะโกน ฉันจะตะโกนทำไมเนี่ย เวลารู้สึกก