ฉันสะดุ้งตื่นด้วยเสียงจากนาฬิกาปลุกเพื่อนยาก ..
โอ๊ย .. ให้ตายย! ฉันเผลอหลับไปหรอกหรือนี่ ไม่น่าเลยคิดเอาแท้ ๆ ว่าจะอ่านให้หนำใจมาหลับไปเสียได้อะไรกัน สงสัยฉันคงเพลียสะสมละมั้ง จะว่าไปหลังฉันยังระบมอยู่เลย คิดแล้วก็เอื้อมมือไปลูบหลังที่ยังรู้สึกปวดร้าว
“น้องตา .. ช่วยหันหน้ามาทางนี้หน่อยสิลูก” หญิงชราหน้าตาใจดี ผมเทาแซมขาวรวบเป็นมวยต่ำไว้ที่ท้ายทอย หลังของเธององุ้มแต่ขยับเขยื้อนตัวได้อย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
“คะ" ฉันหันหน้าไปหาเธอ พลางเขยิบเก้าอี้กระดึ๊บ ๆ เข้าไปให้ใกล้ตามคำขอ
“ไหนดูสิ” หญิงชราจับปลายคางของฉันเบา ๆ เลื่อนไปซ้ายทีขวาที เพ่งพิจารณาใบหน้าของฉันด้วยสายตาที่อบอุ่น ฉันรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก คุณยายของฉันเสียไปตั้งแต่แม่ยังสาว ฉันจึงไม่มีโอกาสได้รับความรู้สึกเช่นนี้ หัวใจฉันพองโตด้วยความปีติ
“อะไรเหรอคะ” ฉันถามและแย้มยิ้มให้หญิงชราที่ฉันเคารพรัก
“น้องตาเป็นเด็กมีวาสนาดีนะรู้มั้ย ..” เธอพูดน้ำเสียงอบอุ่นกินใจฉันเสียจริง ทำฉันยิ้มกว้างตอบกลับไปทันที
“วันหนึ่งข้างหน้า หนูจะได้พบคนที่ดี ดีมากทีเดียว” หญิงชราพูดด้วยรอยยิ้ม ราวกับเธอมีความสุขกับเรื่องราวของฉันที่เธอพึ่งค้นพบด้วยหัวใจจริง ๆ
“จริงเหรอคะ ดีจัง” ฉันในตอนนั้นตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจในความหมาย แค่ฟังว่าเป็นเรื่องดีฉันก็พอใจแล้ว ยิ่งเป็นคำพูดจากปากหญิงคนนี้ ฉันยิ่งถือว่า มันคือคำอวยพร ..
คิดถึงนะคะคุณยาย
ฉันยืนยิ้มอยู่บนรถไฟฟ้าขณะเดินทางไปทำงาน คำพูดอันอบอุ่นของคุณยายช่วยให้อารมณ์ของฉันคงที่ขึ้นมาได้อย่างประหลาด คุณยายเป็นรุ่นพี่คนเดียวในที่ทำงานที่ฉันสนิทสนมด้วย เธอเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ที่นี่ ช่วงแรกที่ฉันเข้ามาเริ่มงาน ฉันเงอะงะ ทำอะไรซุ่มซ่ามผิดพลาดไปหมด จึงมักโดนตำหนิอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งหลายคราฉันก็แอบร้องไห้เวลาพักเบรก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันคิดว่าทุกคนไปพักกันแล้ว เราแบ่งเวลากันไปพักอย่างชัดเจน ฉันจึงตั้งใจว่าจะร้องไห้เวลานี้แหละเหมาะ เจาะที่สุด ในขณะที่ฉันกำลังจมดิ่งกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับความสามารถของตัวเองอยู่นั้น หญิงชราผมสีดอกเลาก็เดินเข้ามาแตะบ่าฉันอย่างเบามือ เธอเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนฉันไม่รู้เลย เพราะมัวแต่นั่งโศกาอาลัยอยู่
“น้องตา เป็นคนเก่งนะลูกรู้หรือเปล่า” เธอเอ่ยบอกฉันอย่างใจดีที่สุด อบอุ่นอ่อนโยนที่สุด
“ฮึก ฮึก ๆ ๆ” ฉันนั่งก้มหน้ากับฝ่ามืออยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ปกติฉันก็แอบร้องไห้ตรงนี้แหละ ร้องเบา ๆ แบบไม่มีเสียง ฉันจะเตรียมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้บนตัก พอน้ำตาไหลปุ๊บฉันก็ปาดมันออกทันที แต่วันนี้ปาดไม่ทันเสียแล้ว มันไหลลงมาไม่ยอมหยุดเลย
มือที่เหี่ยวย่นแม้ไม่นุ่มนิ่มทว่าอ่อนโยนจับใจ ลูบบ่าฉันไปมา เธอลูบไปที่เส้นผมของฉันหนึ่งทีอย่างแผ่วเบา
“เดี๋ยวยายจะสอนน้องตาเอง ดีมั้ยลูก” เธอบอกฉันแบบนั้น ฉันที่น้ำตานองเงยหน้ามาสบตาเธอ เธอส่งยิ้มที่สวยที่สุดให้ฉัน ฉันรักรอยยิ้มนั่นทันที แล้วฉันก็พยักหน้าน้อย ๆ ตอบกลับเธอไป
จากนั้นรุ่นพี่ของฉันก็สอนงานทั้งหมดให้ฉันอย่างใจเย็น คุณยายมีพรสวรรค์อย่างมากในการปลอบประโลม ปลุกปั้น หล่อหลอมจิตใจ คำพูดที่เธอใช้ น้ำเสียงและแววตามันเต็มไปด้วยความเมตตา ฉันสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่เธอสอนงานต่าง ๆ ให้ฉันอย่างใกล้ชิดร่วมเดือน ฉัน ลลิตา หรือน้องตาเด็กใหม่ผู้ไม่มีประสบการณ์ซุ่มซ่าม ก็กลายเป็นพนักงานหัวดี ทำงานเรียบร้อย ตรงเวลา ฉันคิดไปว่าเป็นเพราะการที่คุณยายทุ่มเทสอนงานให้ฉัน ฉันจึงมีกำลังใจมาก และตั้งใจจะปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้คุณยายต้องเสียชื่อเลย ผลพลอยได้คือฉันกลายเป็นที่ชื่นชอบไปโดยปริยาย
ฉันเคยเล่าให้คุณยายฟังว่า พ่อกับแม่ของฉันเป็นหมอ ตระกูลฉันดูเหมือนจะฉลาดกันทั้งบ้านเลย ยกเว้นฉันคนเดียว คุณยายฟังแล้วหัวเราะใหญ่ พลางเอาข้อนิ้วมือมาเขกหัวฉัน เบา ๆ อย่างเอ็นดู ฉันเลยพลอยขำผสมโรงไปด้วย เรานั่งคุยกันที่ม้านั่งหน้าหอสมุด ระหว่างที่รอพี่กิ๊งมารับคุณยายกลับบ้าน ฉันจะนั่งรอเป็นเพื่อนคุณยายอย่างนี้ทุกวันเป็นประจำ
“พูดอะไรไม่เข้าท่าเลย ไหนดูสิ” เธอจับมือของฉันไปหงายดู ยกมันขึ้นสูงพลางก้มหน้าลงมาใกล้เสียจนมือของฉันเกือบจะชิดจมูกของเธอ ทำอย่างกับเป็นหมอดูอย่างไรอย่างนั้น ฉันเลยขำตัวคลอน
“ไหน อยู่นิ่ง ๆ ก่อน ยายแก่แล้วนะน้องตา” คุณยายดุฉัน ฉันไม่สะทกสะท้านแต่ก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้ ไม่อยากทำให้เธอเวียนหัว
เธอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ เอียงฝ่ามือของฉันไปมา เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ฉันคิดว่าคุณยายคงพยายามหาแสงที่พอเหมาะพอดี
“อืมมม .. เอ๊ะ! .. อ้อ อย่างนี้แหละถูกแล้ว” เธออุทานออกมาเป็นระยะ ระหว่างตรวจตราลายมือของฉันราวกับเป็นหมอดูมืออาชีพ
“เป็นไงคะ หนูจะรวยหรือเปล่า” ฉันแกล้งแหย่เธอ เล่น ๆ ชอบเวลาโดนคุณยายดุ มันให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังถูกรัก รู้สึกเหมือนได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่น
“ไม่รู้.. ยายจะรู้ได้ยังไง ยายไม่ใช่หมอดูเสียหน่อย” เธอส่ายศีรษะและยิ้มให้ฉันอย่างมีเล่ห์นัยเป็นครั้งแรกเลย
“น้องตา ..” เธอพูดพลางจ้องเข้ามาที่นัยน์ตาของฉันอย่างจงใจ ฉันจึงรู้ได้ว่าคุณยายกำลังตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ฉันจึงหยุดเล่นชั่วขณะ
“หนูต้องเชื่อมั่นในตัวเองให้มาก ๆ นะลูก นี่แหละเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หนูขาดไป .. สิ่งเดียวจริง ๆ” ราวกับมีเข็มเล็ก ๆ มารุมทิ่มไปที่กลางหัวใจของฉัน สิ่งที่คุณยายพูดออกมามันกระตุกใจฉันมาก
ใช่แล้ว .. ฉันเป็นคนประเภทไม่มั่นใจในตัวเอง หวาดวิตกไปเสียทุกเรื่อง ฉันเอาแต่คิดว่าฉันเก่งสู้พ่อกับแม่ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว หวาดกลัวว่าฉันจะเป็นลูกที่ทำให้พวกท่านผิดหวังมาตลอด ฉันเลยไม่ค่อยกล้าทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าถ้าทำแล้วก็คงจะผิดพลาดอีก
ไม่อยากสร้างความผิดหวังให้ท่านทั้งสองไปมากกว่านี้แล้ว ทั้งที่พ่อกับแม่ของฉันไม่เคยพูดเลยว่าผิดหวังในตัวฉัน แต่ฉันก็กังวลอยู่ดี
สิ่งที่คุณยายพูดมันแทงใจดำฉันที่สุดเลย
“คุณยายขา เย็นนี้ขอไปกินข้าวเย็นด้วยได้มั้ย หนูหิวแล้วค่ะ .. นะคะ” ฉันอ้อนเปลี่ยนเรื่อง เพราะรู้ว่าใกล้เวลาที่พี่กิ๊งจะขับรถมาถึงที่นี่แล้ว
“อยากกินอุด้งใช่มั้ยล่ะ” เธอถามฉันอย่างรู้ใจ ส่งยิ้มอันอบอุ่นที่ฉันรักยิ่งมาให้ด้วย
ฉันพยักหน้าหงึกหงักให้พร้อมกะพริบตาถี่ ๆ แต่ใจยังเต้นระรัวเพราะสะท้อนใจจากคำพูดของคุณยายเมื่อครู่นี้ไม่หาย
หนูรักอุด้งของบ้านนี้ ..
แล้วก็ .. รักคุณยายด้วยค่ะ
ฉันคิดแต่ไม่ได้เอ่ยมันออกไปเป็นคำพูด
วันนั้นและวันอื่น ๆ ฉันน่าจะพูดมันออกไป ฉันไม่น่าทำเป็นเย็นใจคิดว่าเมื่อไหร่ก็ได้เลย .. ไม่น่าเลย
ฉันมองผ่านกระจกของรถไฟฟ้าออกไปสู่ท้องฟ้าด้านนอก ฟ้าสดใสในเช้าของต้นฤดูร้อน เมฆลอยเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนบาง ๆ ฉันยิ้มน้อย ๆ ไปที่เมฆพวกนั้น เอ่ยในใจอย่างชัดเจนว่า หนูรักคุณยายนะคะ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะรับรู้ได้จริงหรือเปล่า แต่ฉันมันเป็นพวกเชื่อเรื่องพลังงานที่มองไม่เห็น ฉันเลยคิดเข้าข้างตัวเองไปว่า คุณยายจะรู้ว่าฉันรักเธอ
สี่ไม้เท้า ห้าถ้วย และสามถ้วย ฉันจ้องมองหน้าไพ่ทาโร่ต์ที่ฉันสั่งมาทางออนไลน์ เพราะในที่สุดฉันก็แพ้ความปรารถนาของตัวเอง เช้านี้หลังจากตื่นมาอย่างสดชื่นแบบไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก เพราะเป็นวันหยุดงานวันแรกของฉัน และพึ่งบอกปฏิเสธการไปทริปครอบครัวที่ญี่ปุ่นกับแม่ไปเรียบร้อย โดยบอกว่าฉันนัดกับลิลลี่เอาไว้ก่อนแล้ว แม่ไม่ตัดพ้อไม่ต่อว่า แม่แค่บอกว่าอยากให้ฉันออกไปท่องเที่ยวบ้าง และพอรู้ว่าฉันมีแผนอยู่แล้วแม่ก็โล่งใจ ตอนนี้ฉันยังไม่มีจิตใจจะไปท่องเที่ยวที่ไหน นอกจากที่นั่นอีกแล้ว .. น้ำเสียงแม่ก็ดูปกติดีบอกว่าคิดถึงฉัน ฉันเองก็คิดถึงท่านทั้งสอง ไว้ฉันจะไปชดเชยให้ทีหลัง จากนั้นฉันจึงนั่งลงทำใจให้สงบแล้วลองจับไพ่ดูบ้าง ฉันทดลองสับไพ่อย่างที่เคยเห็นผู้ทำนายแต่ละคนทำ ดูเหมือนง่ายดายแต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ไพ่ร่วงกราวใบแล้วใบเล่า จนฉันต้องตั้งสติและค่อยเป็นค่อยไป เมื่อสับไพ่ได้จนพอใจแล้ว ฉันก็คลี่ไพ่บนโต๊ะทำงานของฉัน คลี่มันออกเป็นครึ่งวงกลมอย่างที่ฉันเคยเห็นเดฟทำประจำเลย
ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในเวลาเช้ามืดก่อนนาฬิกาจะปลุกเสียอีก ซึ่งนั่นเป็นที่น่าแปลกใจอยู่มาก เพราะโดยปกติถ้าฉันเข้านอนดึกมากอย่างเมื่อคืนล่ะก็ .. ฉันจะนอนลากยาวแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปจนถึงเที่ยงวัน คงเป็นเพราะขณะนี้หัวใจของฉันว้าวุ่นไปหมด ฉันนึกถึงคำพูดและแววตาห่วงหาอาลัยของเขาอย่างแจ่มชัดทันทีที่ลืมตาตื่น นี่ฉัน .. กำลังคิดถึงชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่จริง ๆ เหรอ มันเป็นเรื่องใหญ่และใหม่มากเลย สำหรับผู้หญิงที่มีชีวิตวนเวียนซ้ำซากอย่างฉัน แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ใช่ชายหนุ่มทั่วไป แต่ .. แต่เขา .. เป็นชายที่งดงามที่สุดเลย ฉันขอใช้คำนี้เลยแล้วกันเพราะมันบอกความเป็นท่าน เอเดนได้ตรงใจฉันที่สุดแล้ว ท่าน เอ เดน .. ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ในใจ พลางยิ้มด้วยความเขินอาย เปิดผ้าห่มออกและก้าวขาอย่างมั่นใจไปยังระเบียง เมื่อแหวกเปิดม่านออก บรรยากาศภายนอกสดชื่น โลกของฉันก็มีอากาศแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะฉันไม่ยักสังเกต ปกติก็หายใจเข้าออกทุกวันไปอย่างอัตโนมัติไม่เคยได้ฉุกคิด หรือหยุดซาบซึ้งกับอะไรพวกนี้เลย ฉันคิดแล้วสูดมันเข้าไปใ
เมื่อฉันคลายข้อข้องใจลงแล้ว ฉันก็ลองถามคำถามตรงหน้าดูว่าไพ่ทั้งสามใบนั้นหมายถึงอะไร “ไพ่เด็กถือไม้ หมายถึง การริเริ่ม ริรักขอรับ ใบนี้คือ หนึ่งเหรียญ หมายถึงของมีค่า ของรักหรือการพบนางหรือชายในฝัน และใบนี้ใบสุดท้ายคือ สองดาบ หมายถึง ความวิตกกังวล คิดอะไรไม่ถูกมองอะไรไม่ออก สับสนลังเล ขอรับคุณผู้หญิง อยากให้ข้า เอ่ยคำพยากรณ์ออกมาหรือไม่ขอรับ” กระต่ายน้อยถามฉันด้วยอาการมีเลศนัย ฉันอึกอักบอกใบ้ว่าไม่ต้อง พร้อมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ฉันได้ยินเสียงกระถางต้นไม้หล่นลงพื้นบริเวณสวนหน้าบ้าน ท่านเอเดนออกไปทำอะไรเสียนานสองนาน นั่นเขาจะพังสวนของเขาหรือไงกันนะ ฉันคิดพลางลนลานเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วฉันก็พุ่งเป้าไปที่เจ้าของคนเดิมของหนังสือเล่มนั้น ใช่สิ! .. คุณยายล่ะ “ขอถามอีกเรื่องได้มั้ยคะ” ฉันนึกเกรงใจเดฟขึ้นมานิดหน่อย คนรอบตัวฉันบางทีก็แสดงอาการระอาใจกับเรื่องความขี้สงสัย อยากรู้ไปเสียหมดของฉัน ฉันจึงขออนุญาตถามเขาอีกที “ได้เสมอขอรับ คุณผู้หญิง” เดฟสุภาพจนฉันชักจะเกรงใจเขาขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ฉันจะถามแต่คำถ
ราวกับฉันหลุดไปอีกโลกหนึ่งอีกครั้งเสียแล้ว ฉันจะเลิกประหลาดใจกับดินแดนแห่งความหวังแห่งนี้ได้เมื่อไหร่กันนะ วิหารหินและบรรยากาศแสนสดชื่นเมื่อครู่นี้ คล้ายจะธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับสถานที่ตรงหน้า บ้านเมืองที่นี่ .. จะเรียกว่าไงดี ให้ตายเถอะ .. คุณพระช่วย .. มัน .. ว้าววว!! ฉันปล่อยมือจากการเกาะเกี่ยวบุรุษหนุ่มรูปงาม แล้วหันมาเพลิดเพลินเจริญใจกับสิ่งตรงหน้า ราวกับว่าตัวฉันกำลังหลุดไปอยู่ในเทพนิยายเสียแล้ว สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่สร้างจากก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมสีขาวปนครีม แต่เมื่อถูกแสงอาทิตย์อัสดงฉาบทาก็มองคล้ายเป็นสีทองอร่ามไปทั่ว ตามกำแพงบ้านมีดอกไม้บานสะพรั่งเลื้อยเกาะคลุมไปทั่ว บางจังหวะดอกไม้ก็ยอมเว้นช่วงเผยให้เห็นความงามและความแข็งแกร่งของกำแพงอิฐ ไฟสีทองนวลตาถูกเปิดต้อนรับรัตติกาลแล้วในขณะนี้ มันอาบย้อมบรรยากาศทั้งเมืองให้สว่างไสว คล้ายต้องการส่องสว่างโชว์ให้ที่แห่งนี้นั้น โดดเด่นที่สุดในจักรวาล มันสวยงามจนฉันอ้าปากค้างตกตะลึง เขาทั้งสองเ
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้า จึงรีบหลุบตามองต่ำหัวใจเต้นแรง แล้วก็ทำใจกล้าเหลือบตามองไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มรูปงาม โอ้ว .. เขารูปงามมาก ๆ ฉันไม่อาจนึกได้เลยว่า เคยเห็นเค้าโครงหน้าและรูปร่างที่งดงามขนาดนี้มาบ้างหรือเปล่า อาจจะเคย .. แต่ก็เป็นเพียงในจินตนาการจากการอ่านนิยายของฉันเท่านั้น แต่นี้ .. มันอะไรกัน เขานั่งคุกเข่าข้างเดียวทำท่าทางเหมือนกำลังคุยปรึกษากับเดฟอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ฉันจะปรากฏกาย ในขณะที่ฉันกำลังใจเต้นระส่ำ ชายคนนั้นก็ยืนขึ้น เขาเองก็จ้องฉันไม่วางตาเช่นกัน เขาคงตกใจและสงสัยแน่นอนว่าฉันเป็นใคร เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำทับด้วยกั๊กสูทสีเทาพอดีตัว และกางเกงขายาวสีดำ ดูเป็นทางการแต่ก็ลำลองในทีอยู่ด้วยเหมือนกัน มันเป็นสไตล์แบบไหนกัน ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องแฟชั่นเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นลิลลี่เพื่อนรักล่ะก็เธอต้องรู้แน่ ฉันเหลือบมองตัวเองอยู่ครู่หนึ่งนึกขอบคุณตัวเองมากเหลือเกิน ที่วันนี้ฉันเลือกชุดนอนเป็นชุดกระโปรงสีครีมผ้าสองชั้น ชายกระโปรงยาวกรอมเท้า แขนเส
ช่วงนี้ฉันหมกมุ่นอยู่กับตำราเล่นนั้นมากเหลือเกิน ทุกเย็นเมื่อเลิกงานฉันจะรีบตาลีตาเหลือกกลับคอนโด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบอะไรนักหนา เพราะถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีนัดกับใคร ไม่ต้องคอยทำอาหารปรนนิบัติใครทั้งสิ้น ฉันก็มีเพียงแค่ตัวฉันเองคนเดียว ขนาดลิลลี่เพื่อนรัก โทรมาชวนออกไปดินเนอร์ (เธอบอกกับฉันแบบนั้น ) ฉันยังบอกปัดเธอไปเลย ว่าช่วงนี้ฉันยุ่ง .. แล้วลิลลี่เพื่อนรักก็สวนกลับทันควัน ว่าฉันไม่มีทางยุ่งได้หรอก ซึ่งนั่นก็จริง เพราะเธอรู้จักวงเวียนชีวิตอันเรียบง่ายของฉันดี แต่เธอก็ไม่เซ้าซี้ต่อแล้วบอกว่าจะรอให้ฉันออกปากชวนเองก็แล้วกัน นี่แหละเธอจึงเป็น ลิลลี่เพื่อนรักตลอดกาลของฉัน ตำแหน่งนี้ฉันยกให้เธอคนเดียว เมื่อมาถึงคอนโดฉันก็เร่งรีบจัดการธุระส่วนตัว ถึงฉันจะอยากฉวยหนังสือออกมานั่งอ่านสักเพียงใด แต่ฉันก็มีนิสัยต้องอาบน้ำก่อนขึ้นเตียงนอนทุกครั้งหลังกลับจากข้างนอก และฉันไม่เคยทำลายกฎที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเลยสักครั้ง ฉันรักความสะอาดสุด ๆ บางทีสิ่งนี้อาจจะมาจากการเป็นลูกสาวของคุณหมอทั้งสองก็เป็นได้ เมื่อเร