ฉันสะดุ้งตื่นด้วยเสียงจากนาฬิกาปลุกเพื่อนยาก ..
โอ๊ย .. ให้ตายย! ฉันเผลอหลับไปหรอกหรือนี่ ไม่น่าเลยคิดเอาแท้ ๆ ว่าจะอ่านให้หนำใจมาหลับไปเสียได้อะไรกัน สงสัยฉันคงเพลียสะสมละมั้ง จะว่าไปหลังฉันยังระบมอยู่เลย คิดแล้วก็เอื้อมมือไปลูบหลังที่ยังรู้สึกปวดร้าว
“น้องตา .. ช่วยหันหน้ามาทางนี้หน่อยสิลูก” หญิงชราหน้าตาใจดี ผมเทาแซมขาวรวบเป็นมวยต่ำไว้ที่ท้ายทอย หลังของเธององุ้มแต่ขยับเขยื้อนตัวได้อย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
“คะ" ฉันหันหน้าไปหาเธอ พลางเขยิบเก้าอี้กระดึ๊บ ๆ เข้าไปให้ใกล้ตามคำขอ
“ไหนดูสิ” หญิงชราจับปลายคางของฉันเบา ๆ เลื่อนไปซ้ายทีขวาที เพ่งพิจารณาใบหน้าของฉันด้วยสายตาที่อบอุ่น ฉันรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก คุณยายของฉันเสียไปตั้งแต่แม่ยังสาว ฉันจึงไม่มีโอกาสได้รับความรู้สึกเช่นนี้ หัวใจฉันพองโตด้วยความปีติ
“อะไรเหรอคะ” ฉันถามและแย้มยิ้มให้หญิงชราที่ฉันเคารพรัก
“น้องตาเป็นเด็กมีวาสนาดีนะรู้มั้ย ..” เธอพูดน้ำเสียงอบอุ่นกินใจฉันเสียจริง ทำฉันยิ้มกว้างตอบกลับไปทันที
“วันหนึ่งข้างหน้า หนูจะได้พบคนที่ดี ดีมากทีเดียว” หญิงชราพูดด้วยรอยยิ้ม ราวกับเธอมีความสุขกับเรื่องราวของฉันที่เธอพึ่งค้นพบด้วยหัวใจจริง ๆ
“จริงเหรอคะ ดีจัง” ฉันในตอนนั้นตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจในความหมาย แค่ฟังว่าเป็นเรื่องดีฉันก็พอใจแล้ว ยิ่งเป็นคำพูดจากปากหญิงคนนี้ ฉันยิ่งถือว่า มันคือคำอวยพร ..
คิดถึงนะคะคุณยาย
ฉันยืนยิ้มอยู่บนรถไฟฟ้าขณะเดินทางไปทำงาน คำพูดอันอบอุ่นของคุณยายช่วยให้อารมณ์ของฉันคงที่ขึ้นมาได้อย่างประหลาด คุณยายเป็นรุ่นพี่คนเดียวในที่ทำงานที่ฉันสนิทสนมด้วย เธอเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ที่นี่ ช่วงแรกที่ฉันเข้ามาเริ่มงาน ฉันเงอะงะ ทำอะไรซุ่มซ่ามผิดพลาดไปหมด จึงมักโดนตำหนิอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งหลายคราฉันก็แอบร้องไห้เวลาพักเบรก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันคิดว่าทุกคนไปพักกันแล้ว เราแบ่งเวลากันไปพักอย่างชัดเจน ฉันจึงตั้งใจว่าจะร้องไห้เวลานี้แหละเหมาะ เจาะที่สุด ในขณะที่ฉันกำลังจมดิ่งกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับความสามารถของตัวเองอยู่นั้น หญิงชราผมสีดอกเลาก็เดินเข้ามาแตะบ่าฉันอย่างเบามือ เธอเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนฉันไม่รู้เลย เพราะมัวแต่นั่งโศกาอาลัยอยู่
“น้องตา เป็นคนเก่งนะลูกรู้หรือเปล่า” เธอเอ่ยบอกฉันอย่างใจดีที่สุด อบอุ่นอ่อนโยนที่สุด
“ฮึก ฮึก ๆ ๆ” ฉันนั่งก้มหน้ากับฝ่ามืออยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ปกติฉันก็แอบร้องไห้ตรงนี้แหละ ร้องเบา ๆ แบบไม่มีเสียง ฉันจะเตรียมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้บนตัก พอน้ำตาไหลปุ๊บฉันก็ปาดมันออกทันที แต่วันนี้ปาดไม่ทันเสียแล้ว มันไหลลงมาไม่ยอมหยุดเลย
มือที่เหี่ยวย่นแม้ไม่นุ่มนิ่มทว่าอ่อนโยนจับใจ ลูบบ่าฉันไปมา เธอลูบไปที่เส้นผมของฉันหนึ่งทีอย่างแผ่วเบา
“เดี๋ยวยายจะสอนน้องตาเอง ดีมั้ยลูก” เธอบอกฉันแบบนั้น ฉันที่น้ำตานองเงยหน้ามาสบตาเธอ เธอส่งยิ้มที่สวยที่สุดให้ฉัน ฉันรักรอยยิ้มนั่นทันที แล้วฉันก็พยักหน้าน้อย ๆ ตอบกลับเธอไป
จากนั้นรุ่นพี่ของฉันก็สอนงานทั้งหมดให้ฉันอย่างใจเย็น คุณยายมีพรสวรรค์อย่างมากในการปลอบประโลม ปลุกปั้น หล่อหลอมจิตใจ คำพูดที่เธอใช้ น้ำเสียงและแววตามันเต็มไปด้วยความเมตตา ฉันสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่เธอสอนงานต่าง ๆ ให้ฉันอย่างใกล้ชิดร่วมเดือน ฉัน ลลิตา หรือน้องตาเด็กใหม่ผู้ไม่มีประสบการณ์ซุ่มซ่าม ก็กลายเป็นพนักงานหัวดี ทำงานเรียบร้อย ตรงเวลา ฉันคิดไปว่าเป็นเพราะการที่คุณยายทุ่มเทสอนงานให้ฉัน ฉันจึงมีกำลังใจมาก และตั้งใจจะปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้คุณยายต้องเสียชื่อเลย ผลพลอยได้คือฉันกลายเป็นที่ชื่นชอบไปโดยปริยาย
ฉันเคยเล่าให้คุณยายฟังว่า พ่อกับแม่ของฉันเป็นหมอ ตระกูลฉันดูเหมือนจะฉลาดกันทั้งบ้านเลย ยกเว้นฉันคนเดียว คุณยายฟังแล้วหัวเราะใหญ่ พลางเอาข้อนิ้วมือมาเขกหัวฉัน เบา ๆ อย่างเอ็นดู ฉันเลยพลอยขำผสมโรงไปด้วย เรานั่งคุยกันที่ม้านั่งหน้าหอสมุด ระหว่างที่รอพี่กิ๊งมารับคุณยายกลับบ้าน ฉันจะนั่งรอเป็นเพื่อนคุณยายอย่างนี้ทุกวันเป็นประจำ
“พูดอะไรไม่เข้าท่าเลย ไหนดูสิ” เธอจับมือของฉันไปหงายดู ยกมันขึ้นสูงพลางก้มหน้าลงมาใกล้เสียจนมือของฉันเกือบจะชิดจมูกของเธอ ทำอย่างกับเป็นหมอดูอย่างไรอย่างนั้น ฉันเลยขำตัวคลอน
“ไหน อยู่นิ่ง ๆ ก่อน ยายแก่แล้วนะน้องตา” คุณยายดุฉัน ฉันไม่สะทกสะท้านแต่ก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้ ไม่อยากทำให้เธอเวียนหัว
เธอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ เอียงฝ่ามือของฉันไปมา เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ฉันคิดว่าคุณยายคงพยายามหาแสงที่พอเหมาะพอดี
“อืมมม .. เอ๊ะ! .. อ้อ อย่างนี้แหละถูกแล้ว” เธออุทานออกมาเป็นระยะ ระหว่างตรวจตราลายมือของฉันราวกับเป็นหมอดูมืออาชีพ
“เป็นไงคะ หนูจะรวยหรือเปล่า” ฉันแกล้งแหย่เธอ เล่น ๆ ชอบเวลาโดนคุณยายดุ มันให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังถูกรัก รู้สึกเหมือนได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่น
“ไม่รู้.. ยายจะรู้ได้ยังไง ยายไม่ใช่หมอดูเสียหน่อย” เธอส่ายศีรษะและยิ้มให้ฉันอย่างมีเล่ห์นัยเป็นครั้งแรกเลย
“น้องตา ..” เธอพูดพลางจ้องเข้ามาที่นัยน์ตาของฉันอย่างจงใจ ฉันจึงรู้ได้ว่าคุณยายกำลังตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ฉันจึงหยุดเล่นชั่วขณะ
“หนูต้องเชื่อมั่นในตัวเองให้มาก ๆ นะลูก นี่แหละเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หนูขาดไป .. สิ่งเดียวจริง ๆ” ราวกับมีเข็มเล็ก ๆ มารุมทิ่มไปที่กลางหัวใจของฉัน สิ่งที่คุณยายพูดออกมามันกระตุกใจฉันมาก
ใช่แล้ว .. ฉันเป็นคนประเภทไม่มั่นใจในตัวเอง หวาดวิตกไปเสียทุกเรื่อง ฉันเอาแต่คิดว่าฉันเก่งสู้พ่อกับแม่ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว หวาดกลัวว่าฉันจะเป็นลูกที่ทำให้พวกท่านผิดหวังมาตลอด ฉันเลยไม่ค่อยกล้าทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าถ้าทำแล้วก็คงจะผิดพลาดอีก
ไม่อยากสร้างความผิดหวังให้ท่านทั้งสองไปมากกว่านี้แล้ว ทั้งที่พ่อกับแม่ของฉันไม่เคยพูดเลยว่าผิดหวังในตัวฉัน แต่ฉันก็กังวลอยู่ดี
สิ่งที่คุณยายพูดมันแทงใจดำฉันที่สุดเลย
“คุณยายขา เย็นนี้ขอไปกินข้าวเย็นด้วยได้มั้ย หนูหิวแล้วค่ะ .. นะคะ” ฉันอ้อนเปลี่ยนเรื่อง เพราะรู้ว่าใกล้เวลาที่พี่กิ๊งจะขับรถมาถึงที่นี่แล้ว
“อยากกินอุด้งใช่มั้ยล่ะ” เธอถามฉันอย่างรู้ใจ ส่งยิ้มอันอบอุ่นที่ฉันรักยิ่งมาให้ด้วย
ฉันพยักหน้าหงึกหงักให้พร้อมกะพริบตาถี่ ๆ แต่ใจยังเต้นระรัวเพราะสะท้อนใจจากคำพูดของคุณยายเมื่อครู่นี้ไม่หาย
หนูรักอุด้งของบ้านนี้ ..
แล้วก็ .. รักคุณยายด้วยค่ะ
ฉันคิดแต่ไม่ได้เอ่ยมันออกไปเป็นคำพูด
วันนั้นและวันอื่น ๆ ฉันน่าจะพูดมันออกไป ฉันไม่น่าทำเป็นเย็นใจคิดว่าเมื่อไหร่ก็ได้เลย .. ไม่น่าเลย
ฉันมองผ่านกระจกของรถไฟฟ้าออกไปสู่ท้องฟ้าด้านนอก ฟ้าสดใสในเช้าของต้นฤดูร้อน เมฆลอยเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนบาง ๆ ฉันยิ้มน้อย ๆ ไปที่เมฆพวกนั้น เอ่ยในใจอย่างชัดเจนว่า หนูรักคุณยายนะคะ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะรับรู้ได้จริงหรือเปล่า แต่ฉันมันเป็นพวกเชื่อเรื่องพลังงานที่มองไม่เห็น ฉันเลยคิดเข้าข้างตัวเองไปว่า คุณยายจะรู้ว่าฉันรักเธอ
หลังจากเดินไปส่งเดฟที่บ้านตุ๊กตาของเขาแล้ว ฉันมีโอกาสได้พบลูน่าอีกครั้ง แถมครั้งนี้ได้เจอมาร์คัส เจ้ากระต่ายน้อยซุกซนกระโดดหยองแหยงไปมา รอบตัวฉันและเอเดน “ หวัดดีฮะๆ ” เขาพูดได้! มาร์คัสโดดเดินหน้าถอยหลัง อย่างร่าเริง ลูน่าจับหูสองข้างของลูกชายยกเขาลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา อุ้งเท้าน้อยๆ ของเจ้ามาร์คัสยังคงตวัดป่ายไปมากลางอากาศ รอยยิ้มอันสดใสของเขา ช่วยทำให้จิตใจของฉันเบิกบาน แล้วเราทั้งหมดต่างร่ำลากันโดยดี ขณะเดินผ่านรั้วออกมาแล้ว ฉันก็เหลียวมองกลับไปยังที่บ้านกระต่ายหลังน้อยที่น่ารักหลังนั้น ฉันเอ่ยลาพวกเขาในใจอีกครั้งหนึ่ง ‘ลาก่อนค่ะเดฟ’ เอเดนกับฉัน เราเดินกลับมาที่วิหารหินด้วยความเงียบ ฉันรู้สึกปวดมวนในท้อง ไม่รู้ว่าการที่เขาตัดสินใจแบบนี้ มันจะเป็นผลดีกับฉันฝ่ายเดียวหรือเปล่า เขายอมทิ้งชีวิตที่วิเศษสุดของที่นี่ ตามฉันไปอยู่ในโลกที่ฉันเองก็ไม่ได้สันทัด หรือเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตอะไรเลย อยู่ที่นี่เขาจะแข็งแรง มีอายุยืนยาว อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ อากาศก็ดีแสนดี บ้านเมืองงดงามราวเ
เอเดนพาฉันเดินมาตามถนนที่แสงจันทร์ส่องสว่างอาบไล้ไปทั่วอย่างเคย สายลมยามราตรีพัดโชยเย็นสบาย ผมหน้าของเอเดนปลิวลู่ไปด้านข้าง เผยให้เห็นหน้าผากใสเนียน ขนาดมองด้านข้างเขายังงดงามไร้ที่ติเลย ฉันไม่รู้จะหาจุดบกพร่องจากบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้จากที่ตรงไหน แล้วเหตุใดฉันจึงได้เป็นผู้หญิงที่โชคดีอะไรอย่างนี้ ฉันกระชับมือที่จับกันกับมือของเอเดนอยู่ให้แน่นขึ้น เขาเองก็บีบมือตอบกลับมา เดินผ่านที่ราบกว้าง ริมทะเลสาบ มองไปสุดสายตาเห็นวิหารหินตั้งสูงเด่นเป็นสง่า เรากำลังจะไปบ้านของเดฟ เอเดนบอกฉันอย่างนั้น “วิหารนั้น เป็นที่ไว้สำหรับทำอะไรเหรอคะ” ฉันว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว “อ่อ .. เป็นที่สำหรับต้อนรับผู้มาเยือนน่ะ ลิต้าที่รัก ท่านเองก็มีประสบการณ์จากวิหารนั้นมิใช่หรือ” เอเดนไขข้อข้องใจ “อย่างเดียวเลยเหรอคะ” “เท่านั้นก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญเพียงพอ” เขาเอ่ยทุ้มลึกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่นานนักเราก็ผ่านสวนพันธุ์ไม้ที่เขียวชอุ่ม ที่ที่ฉันพบกับเดฟเป็นครั้งแรก ฉันมองเข้าไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น
เพียงคำเดียวที่ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จากความทุกข์ทรมานทั้งปวง คำคำนั้นคือ “ รัก ” ซอโฟครีส นักเขียนบทละครชาวกรีก ฉันยกหูโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสายอยู่นานสายก็ตัดไป ฉันนั่งเอนหลังพิงพนักที่มีเบาะบุขนรูปหน้าแมวสีชมพูอย่างสับสนในจิตใจ ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่กับเอเดนที่โลกแห่งความหวังนั่นดีหรือเปล่า .. ทำไมจะไม่ดีล่ะ? .. เสียงในหัวของฉันดังขัดขึ้นมากลางปล้อง ก็เพราะฉันมีพ่อมีแม่อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ไหนจะลิลลี่เพื่อนรักของฉันอีก ฉันโต้เธอกลับไป ขณะเอานิ้วนวดขมับ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น แพทย์หญิงผู้เพียบพร้อมของฉันโทรกลับมาหา “ไงลูกรัก” แม่ฉันกรอกเ
ฉันถูกแรงมหาศาลสลัดเหวี่ยงลงบนเตียงนอน หัวอยู่ปลายเตียง ขาฉันฟาดเข้ากับหมอนอิงใบใหญ่ โชคดีที่ไม่โดนหัวเตียงเพราะห่างจากปลายเท้าของฉันเพียงเส้นยาแดงเท่านั้น ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินทางไปอยู่ที่นั่นนานกว่าทุกครั้ง แถมครั้งนี้ไปค้างคืนมาเสียด้วย จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาเช็กดู เผื่อว่าฉันพลาดอะไรที่สำคัญไปหรือเปล่า ฉันปัดเปิดหน้าจออย่างชำนาญ เห็นข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอยู่สามสี่ข้อความ จากแม่ .. เป็นข้อความสวัสดีปีใหม่ จากพ่อ .. ข้อความเช่นเดียวกัน ถัดมาเป็นคนคุยคนเก่าที่ทิ้งฉันไปได้หลายปีแล้ว ส่งสติ๊กเกอร์มาทำไมฉันอ่านและลบออกทันที ส่วนข้อความสุดท้ายมาจากลิลลี่เพื่อนรัก ‘วันหยุดนี้ ทำอะไร ? โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับมาด้วยนะ’ ฉันอ่านพลางจินตนาการน้ำเสียงประชดประชัน แต่จริงใจของ ลิลลี่เพื่อนรักของฉัน ฉันอยากโทรไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังใจจะขาด แต่มันทำไม่ได้ ฉันอยากพาเธอกับครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่โลกแห่งความหวัง แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เหนื่อยจัง ..
“นางเป็นน้องสาวของลุคน่ะ ลิต้าที่รัก นางจิตใจดีและมีน้ำใจมากทีเดียว” เอเดนตอบคำถามของฉันอีกครั้ง “อ่อ ค่ะ” ฉันพึมพำ “เราขออย่างเดิม สามที่นะลุค ขอบใจ” เอเดนกล่าว “ไม่นานเกินรอ ท่านทั้งหลาย” หนุ่มรูปหล่อคนใหม่หายเข้าไปหลังบาร์ ฉันมองไปรอบร้าน ไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยมีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น เสียงกระดิ่งประตูหน้าดังขึ้น ลมเย็นพัดโบกเข้ามา หญิงสาวหน้าตาสวยสะดุด กระโปรงสีเขียวมิ้นท์ของเธอปลิวไสวในสายลม ผมสีทองมวยต่ำ ตาสีฟ้าโตลึกคมเข้ม ฉบับสาวฝรั่งในนิตยสาร “เอเดน .. เดฟ อะไรดลใจท่านงั้นหรือ” เธอพูดจงใจมองหน้าเอเดน และฉันแปลมันออกทุกคำเลย “เจซี่ สวัสดี” เอเดนทักทายสุภาพ อ่อ! .. สาวงามคนนี้นี่เอง “สวัสดีขอรับ คุณผู้หญิง” กระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างซ้ายติดกระจกร้านเอ่ยทักทาย “ท่านหายไปนานเหลือเกิน ลุคกับข้าคิดว่าท่านทำตัวห่างเหิน” เจซี่พูดพลางไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ฉัน เอเดนยิ้มรักษากิริยา เขาสง่างามเสมอเลย “โอ้ว .. ข้าไม่ทันสังเกตให้ดี ขออภัย
เช้านี้ฉันลืมตาขึ้นมามองเห็นห้องที่ไม่คุ้นตา ฉันพลิกตัวนอนหงายอย่างเร็วและแรงมาก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมากองอยู่นอกอก ฉันจับมันเอาไว้พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองอย่างยากลำบาก กว่าฉันจะระลึกชาติได้ว่าฉันนอนอยู่ที่ไหน และเมื่อคืนก่อนนอนฉันทำอะไรไปบ้าง เสียงมือจับประตูห้องนอนก็ถูกขยับกึกกัก ประตูเปิดผางออก ภาพงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้า “สวัสดี .. จวนเที่ยงแล้ว ข้ากำลังจะเข้ามาปลุกท่านอยู่พอดีลิต้าที่รัก หลับอย่างเป็นสุขดีหรือไม่เมื่อคืนนี้” เอเดนสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันที่เตียงนอน “อย่าพึ่งเข้ามานะคะ” ฉันยกมือขึ้นห้ามเขา “ .. ” เขาหยุดกึก เลิกคิ้วอย่าฉงนใจ “ห้องน้ำอยู่ไหนคะ ฉัน .. อยากเข้าห้องน้ำ” “อ่อ .. เชิญทางนี้” เอเดนผายมือ และเดินนำฉันออกมาทางประตู เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงห้องหนึ่งที่ประตูปิดสนิท คงเป็นห้องน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันเปิดและรีบแทรกตัวเข้าไปในนั้น ตามด้วยหันหลังกลับมาปิดประตูทันที “เดี๋ยวฉันตามลงไปนะคะ” ฉันตะโกน ฉันจะตะโกนทำไมเนี่ย เวลารู้สึกก