ฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า อย่างอ่อนเพลียทั้งที่เมื่อคืนเข้านอนเร็วกว่าปกติตั้งหลายชั่วโมง เพราะไม่ได้อ่านหนังสือลากยาวอย่างที่ทำเป็นประจำ แต่ทำไมเช้านี้ฉันถึงปวดเมื่อยไปทั้งตัวก็ไม่รู้ ฉันลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจไปมา หันหน้าไปเจอหนังสือปกหนาดูเก่าแก่และมีมนตร์คลังวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ฉันก็เข้าใจได้ในทันที
และไม่ว่าเหตุการณ์ในห้องหนังสือของคุณยายจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือว่าฉันแค่มโนไปเอง แต่ดูเหมือนฉันได้ใช้พละกำลังที่มีอยู่ไปมากมายเหลือเกิน และตัวฉันก็กระแทกนั่น กระแทกนี่ทั้งขาไปและขากลับในความฝันนั้น เมื่อหาเหตุผลได้แล้ว ฉันก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เตรียมออกไปทำงาน
เช้านี้คงจะเป็นเช้าแรกที่ฉันจะแค่ชงกาแฟดื่มโดยที่ไม่ได้แตะอ่านหนังสือเล่มไหนเลยก่อนออกเดินทาง เมื่อกาแฟอึกสุดท้ายไหลลงคอ ฉันก็พร้อมเริ่มวันใหม่แล้ว
ขณะนั่งรถไฟฟ้า ไม่ใช่สิ! .. ขณะที่ฉันยืนบนรถไฟฟ้า ไปทำงาน ใจก็นึกทวนกลอนบทนั้นอยู่ขึ้นมาอีก
ตาต้องตาสบพักตร์ แปลว่าการที่คนสองได้มาพบเจอกันสินะ .. ใช่มั้ย? ฉันพยายามแปลภาษาโบราณที่กวีชอบใช้เวลาเขียนคำกลอน ตั้งสติดึงสมองส่วนที่เคยได้ร่ำเรียนมาตั้งนมนานแล้วออกมาให้ได้
โอ้ความรักที่รอคอย อันนี้ไม่ยากฉันแปลออกในทันที
ดารารายเคลื่อนคล้อย แปลว่าดวงดาวเคลื่อนที่หรือเปล่านะ การโคจรของดวงดาวสิท่า
คู่แท้พลอยพานพบเอย อันนี่แหละบทสรุป มันแปลว่าฉันกำลังจะได้เจอคู่แท้อย่างนั้นเหรอ เพราะเดฟบอกว่า ( โอ้ว .. ให้ตายเถอะ ฉันนึกถึงกระต่ายตัวน้อยพูดได้แบบหน้าตาเฉย แบบนี้ได้อย่างไรกันนะ ) ช่างเถอะ ..
เดฟบอกว่า กลอนบทนี้เป็นคำทำนายของฉัน แล้วฉันก็นึกถึงคำทำนายของแม่หมอคนล่าสุด .. หรือว่าฉันต้องกลับไปหาเธออีกครั้งเสียแล้ว เพื่อให้ไขความกระจ่างใจให้ที
แล้วพอฉันนึกไปถึงเงื่อนไขแปลกประหลาดที่เธอบอกให้ทำ ฉันก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่เอาดีกว่า
ในขณะคิดปฏิเสธฉันก็รู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาตรงบริเวณที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกาย บ้าจริง! .. พักนี้ฉันคันคะเยอเลย แล้วฉันก็อายหน้าแดงอยู่คนเดียว
ฉันมีหนังสืออยู่กับมือแล้ว ฉันจะหาคำตอบด้วยตัวเอง ขณะที่ฉันทำข้อตกลงกับตัวเองอยู่ จู่ ๆ ชายร่างใหญ่ที่นั่งหลับเป็นตายไม่ได้สติอยู่ตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืน เขาหยิบกระเป๋าสะพายที่กอดไว้บนหน้าตักพาดขึ้นไหล่ ขยับกางเกงขายาวให้เข้าที่ดูแล้วไม่มีท่าทางงัวเงียเลยแม้แต่น้อย แล้วเขาก็เดินออกจากรถไฟไปในทันทีที่ประตูเปิด .. หูเขาคงดีมากจริง ๆ ฉันเผลอตัดสิน
ฉันเหลือบตามองตามเขาเดินจากไปเล็กน้อย ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งทับที่ของเขา นี่เขาแกล้งหลับมาตั้งนานเลยหรือไงนะ ฉันคิดอีกแค่แวบเดียวก็หลับตา
กลอนบทนั้นหลอกหลอนฉันทั้งวันเลย ไม่ว่าฉันจะจัดหนังสืออยู่ หรือว่านั่งกินข้าวอยู่ ก็เป็นต้องคอยนึกแปลความหมายของกลอนบทนี้อยู่เรื่อยเลย จริงอยู่ที่ฉันนึกอยากมีความรักกับเขาบ้าง เพราะอย่างที่รู้ ตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ฉันยังไม่เคยมีความรักเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่า .. ใครจะมารักฉันนะ
มันรวมถึงเรื่อง .. ฉันจะไปรักใครเข้า ก็ยังไม่เคยมีเลย!
ฉันแค่อยากรู้ว่า .. ความรักที่เขาว่ามันงดงามนัก ความจริงแล้วมันจะเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง
แม่บอกว่า เป็นเพราะฉันเติมเต็มตัวเองจนล้นแล้วมากกว่า ฉันก็เลยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเติมอะไรให้กับฉันอีก เรื่องนั้นมันก็อาจจะจริงอย่างที่แม่ว่า ฉันอยู่คนเดียวได้ โดยไม่เคยรู้สึกเศร้าหรือว่าเหงาเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปฉันก็ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้อยู่เหมือนกัน
เพียงแต่พอเวลาผ่านมาเรื่อย ๆ ฉันก็เริ่มอยากแชร์ความสุขที่ฉันมีให้กับใครสักคนที่เขารักฉัน และฉันก็รักเขา แบบว่าไม่ต้องชอบอะไรเหมือนกันกับฉันก็ได้ แต่แค่ตกหลุมรักในตัวของอีกฝ่ายแบบไม่มีเงื่อนไข แบบหลงรักกันจนทำให้สามารถเรียนรู้และรักโลกของอีกฝ่ายได้ แม้จะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมารักมาชอบอะไรแบบนี้ได้เลย
อะไรประมาณนั้นน่ะ .. ฉันว่ามันโรแมนติกมาก
ฉันฝันเฟื่องคิดไปว่ามันก็คงจะดีไม่น้อยเลย ฉันก็เลยไปดูดวง เพราะฉันชอบโหราศาสตร์ และอยากสื่อถึงอะไรบางอย่างได้ที่ฉันเชื่อว่ามันมี แต่ฉันมองไม่เห็น นั่นแหละคือสาเหตุ
ฉันเขียนกลอนบทนั้นลงกระดาษแผ่นใหญ่ แล้วติดมันเข้าไปที่กระดานดรีมบอร์ดเหนือคอมพิวเตอร์ของฉัน ให้มันรวมอยู่กับบรรดาความปรารถนาทั้งหลายแหล่ของฉันบนนั้น ฉันถึงขั้นเพ้อหนัก นั่งมองมันนิ่ง ๆ มาหลายวันแล้วเวลากลับจากทำงาน ทั้งที่มันไม่ได้ทำให้มีอะไรเกิดขึ้นเลย
จนเย็นวันนี้ ฉันเลิกงานตามปกติจากหอสมุดใหญ่กลางเมือง ฉันปฏิเสธที่จะไม่ไปทานข้าวร่วมกับเพื่อนร่วมงาน เอ๊ะ .. ขอเปลี่ยนคำพูดให้ถูกต้องดีกว่า ปฏิเสธไม่ไปทานข้าวกับพี่ร่วมงาน ที่นี่มีฉันคนเดียวที่อายุน้อยที่สุดแล้ว
เย็นนี้คุณรุ่นพี่รุ่นใหญ่ที่ทำงานออกปากชวนฉันไปกินข้าวร่วมกับแผนกอื่นอีกสามสี่คน แต่ฉันไม่สะดวกใจ ฉันเลยปฏิเสธ รุ่นพี่คนเดียวในหอสมุดแห่งนี้ที่ฉันสังสรรค์ด้วย คือคุณยายเท่านั้น ไม่มีเหตุผลใดเป็นพิเศษ ฉันแค่สุขใจที่จะทำแบบนี้
.. ไม่เป็นไรหรอกพวกเขาน่าจะชินแล้วนะ
ดังนั้นพอเคลียงานที่เป็นหน้าที่ของฉันจนเสร็จสิ้น ฉันก็รวบข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าสะพายปากกว้างคู่ใจ เดินดุ่ม ๆ ตรงไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับคอนโดในทันที
เมื่อฉันก้าวขาเข้าห้องอันเงียบสงบของตัวเองได้ ร่างกายก็ผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน ความเงียบและความเป็นส่วนตัวช่วยบรรเทาฉันได้จริง ๆ แล้วก็ต้องนึกขำความประหลาดของตัวเอง ขนาดฉันได้ทำงานอยู่กับกองหนังสือทั้งวี่ทั้งวันแทบไม่ได้พูดคุยกับใครอยู่แล้ว แต่ก็ยังโหยหาความสงบเงียบเพื่อการผ่อนคลายอีกหรือนี่
แหม .. มันจะมากเกินไปแล้วนะยัย ลลิตา
นึกล้อเลียนตัวเองอยู่ครู่เดียว ก็กลับมาเข้าโหมดสงสัยใคร่รู้อีกแล้ว ฉันต้องการนั่งจมอยู่ในห้วงเวลาของตัวอักษรให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ฉันจึงรีบจัดแจงอาบน้ำอาบท่า กินมื้อค่ำให้เรียบร้อยภายในเวลาที่สั้นมากอย่างเหลือเชื่อ แล้วก็คว้าตำราเล่มใหญ่เล่มนั้นมานั่งคลุกอยู่ในผ้าห่มผืนหนาบนเตียงนอน เปิดแอร์เย็นฉ่ำชื่นใจ
เอาล่ะ! .. ฉันพร้อมแล้ว
ฉันเปิดหนังสือปกหนาออก เสียงของสันปกดูดกับกระดาษรองปกเสียงดังเสียจนฉันตกใจ นึกว่าฉันทำสมบัติล้ำค่าของคุณยายเสียหายเสียแล้ว พอตรวจดูพบว่าหน้ากระดาษยังอยู่ในสภาพปกติก็โล่งอก นิ้วมือของฉันจึงค่อย ๆ ไล้ไปที่ริมขอบของกระดาษด้วยความละเมียด เปิดหน้ากระดาษไปทีละหน้า วันนี้ฉันจะเริ่มอ่านตำนานของไพ่ทาโร่ต์ก่อนเลย
ในหนังสือกล่าวว่า ศาสตร์ของไพ่ทาโร่ต์เกิดขึ้นจากผู้วิเศษ ณ ดินแดนอันไกลโพ้นและมีมาช้านานโดยที่ไม่มีใครสามารถระบุวันเวลาที่แน่นอนได้ จนกระทั่งถูกถ่ายทอดมายังดินแดนของมนุษย์เมื่อไม่กี่ชั่วอายุคน
ตามตำนานเล่าว่ามนุษย์กลุ่มแรกที่ค้นพบคือ พวกยิปซีเร่ร่อน ไม่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่งแน่นอน คาดกันว่าชาวยิปซีที่ว่านี้เป็นชาวอินเดียที่พเนจรไปทั่ว ทั้งอาหรับ อียิปต์และเปอร์เซีย จนกระทั่งศาสตร์แห่งการพยากรณ์ศาสตร์นี้ได้รับการนิยมและเผยแพร่ไปทั่วโลก
ดั่งถูกมนตร์สะกด! ฉันหลงเข้าไปในถ้อยคำที่กำลังอ่านอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ฉันไล่สายตาไปยังบรรทัดถัดไปโดยไม่ยอมละสายตาเลย
บนหน้ากระดาษเขียนว่า (ฉันขมุบขมิบปากอ่านออกเสียงเบา ๆ ) ไพ่ทาโรต์เทียบกับดวงดาว
ว้าวววว .. มันจะตื่นเต้นไปกันใหญ่แล้ว
เลื่อนสายตาตามลงมา
ตำรากล่าวว่า ไพ่THE SUN เทียบได้กับดาวอาทิตย์ มีความหมายถึงเรื่องชื่อเสียง เกียรติยศ ความโด่งดัง ความเป็นใหญ่ ความสำเร็จ
ไพ่THE HIGH PRIESTESS (มาแล้ว ๆ ไพ่ใบที่ฉันชอบ ) เทียบได้กับดาวจันทร์ อู้วว.. งดงาม ฉันชอบเธอจัง! .. ฉันอ่านต่อ ความหมายคือความอ่อนไหว สับสน เรรวน ปรวนแปร (เอาล่ะ! .. ฉันเริ่มคิ้วผูกโบอีกแล้ว) สูดหายใจเข้าออกแล้วอ่านต่อไป ความลี้ลับ ความเพ้อฝันช่างจินตนาการ โอเค .. ฉันชอบ
กวาดสายตาอ่านต่อ ไพ่TOWER เทียบได้กับดาวอังคาร มีความหมายถึงเรื่อง ความเสียหาย โค่นล้ม พังทลาย ความสูญเสีย อุบัติเหตุ การผ่าตัด ทะเลาะวิวาท ( ไพ่ใบนี้น่ากลัวจังฉันรีบเลื่อนตาโดยไว )
ไพ่THE MEGICIAN เทียบได้กับดาวพุธ มีความหมายถึง การเจรจา ความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียตลอดเวลา เฉลียวฉลาดมีสติปัญญาล้ำเลิศ หมายถึงนักโหราพยากรณ์ด้วย
ใบต่อไป ไพ่THE WHEEL OF FORTUNE เทียบได้กับดาวพฤหัส มีความหมายถึง มรดก อสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ก้อนใหญ่ โชคลาภ
ไพ่ใบต่อมา ไพ่ THE EMPRESS เทียบได้กับดาวศุกร์ มีความหมายถึง ความรัก (ฉันฉีกยิ้ม ฉันเองก็ชอบดาวศุกร์นะ แบบนี้ฉันจะชอบไพ่ใบนี้ด้วยก็แล้วกัน ) ฉันอ่านต่อ หมายถึง การแต่งงาน ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ การเป็นแม่ .. ดีจัง
ฉันอ่านต่อไป พลางไถตัวเลื่อนลงต่ำไปเรื่อย ๆ จากทีแรกนั่งหลังตรงพิงหมอน ตอนนี้ฉันนอนเอนกายเรียบร้อยแล้ว เอามือขยี้ตาเบา ๆ สองสามที รู้สึกตาแห้งมากเลย แอร์มันเป่ามาโดนตาฉันแหงเลย แล้วก็เพ่งอ่านต่อไป
ไพ่ THE WORLD เทียบกับดาวเสาร์ อืม ..ฉันพอรู้จักอยู่นะดาวเสาร์แปลว่า ดาวโทษทุกข์ ยาวนาน ต้องฟันฝ่า ฉันอ่านเรื่อยไป ไพ่ THE FOOL เทียบกับดาวยูเรนัส ไพ่ THE HANGMAN เทียบดาวเนปจูน และเอ่อ .. ฉันเพ่งสายตาอีกรอบ ไพ่ THE JUDGEMENT เทียบกับดาว พ พ พลูโต ..
โลกตรงหน้าฉันดับวูบ!
หลังจากเดินไปส่งเดฟที่บ้านตุ๊กตาของเขาแล้ว ฉันมีโอกาสได้พบลูน่าอีกครั้ง แถมครั้งนี้ได้เจอมาร์คัส เจ้ากระต่ายน้อยซุกซนกระโดดหยองแหยงไปมา รอบตัวฉันและเอเดน “ หวัดดีฮะๆ ” เขาพูดได้! มาร์คัสโดดเดินหน้าถอยหลัง อย่างร่าเริง ลูน่าจับหูสองข้างของลูกชายยกเขาลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา อุ้งเท้าน้อยๆ ของเจ้ามาร์คัสยังคงตวัดป่ายไปมากลางอากาศ รอยยิ้มอันสดใสของเขา ช่วยทำให้จิตใจของฉันเบิกบาน แล้วเราทั้งหมดต่างร่ำลากันโดยดี ขณะเดินผ่านรั้วออกมาแล้ว ฉันก็เหลียวมองกลับไปยังที่บ้านกระต่ายหลังน้อยที่น่ารักหลังนั้น ฉันเอ่ยลาพวกเขาในใจอีกครั้งหนึ่ง ‘ลาก่อนค่ะเดฟ’ เอเดนกับฉัน เราเดินกลับมาที่วิหารหินด้วยความเงียบ ฉันรู้สึกปวดมวนในท้อง ไม่รู้ว่าการที่เขาตัดสินใจแบบนี้ มันจะเป็นผลดีกับฉันฝ่ายเดียวหรือเปล่า เขายอมทิ้งชีวิตที่วิเศษสุดของที่นี่ ตามฉันไปอยู่ในโลกที่ฉันเองก็ไม่ได้สันทัด หรือเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตอะไรเลย อยู่ที่นี่เขาจะแข็งแรง มีอายุยืนยาว อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ อากาศก็ดีแสนดี บ้านเมืองงดงามราวเ
เอเดนพาฉันเดินมาตามถนนที่แสงจันทร์ส่องสว่างอาบไล้ไปทั่วอย่างเคย สายลมยามราตรีพัดโชยเย็นสบาย ผมหน้าของเอเดนปลิวลู่ไปด้านข้าง เผยให้เห็นหน้าผากใสเนียน ขนาดมองด้านข้างเขายังงดงามไร้ที่ติเลย ฉันไม่รู้จะหาจุดบกพร่องจากบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้จากที่ตรงไหน แล้วเหตุใดฉันจึงได้เป็นผู้หญิงที่โชคดีอะไรอย่างนี้ ฉันกระชับมือที่จับกันกับมือของเอเดนอยู่ให้แน่นขึ้น เขาเองก็บีบมือตอบกลับมา เดินผ่านที่ราบกว้าง ริมทะเลสาบ มองไปสุดสายตาเห็นวิหารหินตั้งสูงเด่นเป็นสง่า เรากำลังจะไปบ้านของเดฟ เอเดนบอกฉันอย่างนั้น “วิหารนั้น เป็นที่ไว้สำหรับทำอะไรเหรอคะ” ฉันว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว “อ่อ .. เป็นที่สำหรับต้อนรับผู้มาเยือนน่ะ ลิต้าที่รัก ท่านเองก็มีประสบการณ์จากวิหารนั้นมิใช่หรือ” เอเดนไขข้อข้องใจ “อย่างเดียวเลยเหรอคะ” “เท่านั้นก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญเพียงพอ” เขาเอ่ยทุ้มลึกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่นานนักเราก็ผ่านสวนพันธุ์ไม้ที่เขียวชอุ่ม ที่ที่ฉันพบกับเดฟเป็นครั้งแรก ฉันมองเข้าไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น
เพียงคำเดียวที่ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จากความทุกข์ทรมานทั้งปวง คำคำนั้นคือ “ รัก ” ซอโฟครีส นักเขียนบทละครชาวกรีก ฉันยกหูโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสายอยู่นานสายก็ตัดไป ฉันนั่งเอนหลังพิงพนักที่มีเบาะบุขนรูปหน้าแมวสีชมพูอย่างสับสนในจิตใจ ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่กับเอเดนที่โลกแห่งความหวังนั่นดีหรือเปล่า .. ทำไมจะไม่ดีล่ะ? .. เสียงในหัวของฉันดังขัดขึ้นมากลางปล้อง ก็เพราะฉันมีพ่อมีแม่อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ไหนจะลิลลี่เพื่อนรักของฉันอีก ฉันโต้เธอกลับไป ขณะเอานิ้วนวดขมับ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น แพทย์หญิงผู้เพียบพร้อมของฉันโทรกลับมาหา “ไงลูกรัก” แม่ฉันกรอกเ
ฉันถูกแรงมหาศาลสลัดเหวี่ยงลงบนเตียงนอน หัวอยู่ปลายเตียง ขาฉันฟาดเข้ากับหมอนอิงใบใหญ่ โชคดีที่ไม่โดนหัวเตียงเพราะห่างจากปลายเท้าของฉันเพียงเส้นยาแดงเท่านั้น ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินทางไปอยู่ที่นั่นนานกว่าทุกครั้ง แถมครั้งนี้ไปค้างคืนมาเสียด้วย จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาเช็กดู เผื่อว่าฉันพลาดอะไรที่สำคัญไปหรือเปล่า ฉันปัดเปิดหน้าจออย่างชำนาญ เห็นข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอยู่สามสี่ข้อความ จากแม่ .. เป็นข้อความสวัสดีปีใหม่ จากพ่อ .. ข้อความเช่นเดียวกัน ถัดมาเป็นคนคุยคนเก่าที่ทิ้งฉันไปได้หลายปีแล้ว ส่งสติ๊กเกอร์มาทำไมฉันอ่านและลบออกทันที ส่วนข้อความสุดท้ายมาจากลิลลี่เพื่อนรัก ‘วันหยุดนี้ ทำอะไร ? โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับมาด้วยนะ’ ฉันอ่านพลางจินตนาการน้ำเสียงประชดประชัน แต่จริงใจของ ลิลลี่เพื่อนรักของฉัน ฉันอยากโทรไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังใจจะขาด แต่มันทำไม่ได้ ฉันอยากพาเธอกับครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่โลกแห่งความหวัง แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เหนื่อยจัง ..
“นางเป็นน้องสาวของลุคน่ะ ลิต้าที่รัก นางจิตใจดีและมีน้ำใจมากทีเดียว” เอเดนตอบคำถามของฉันอีกครั้ง “อ่อ ค่ะ” ฉันพึมพำ “เราขออย่างเดิม สามที่นะลุค ขอบใจ” เอเดนกล่าว “ไม่นานเกินรอ ท่านทั้งหลาย” หนุ่มรูปหล่อคนใหม่หายเข้าไปหลังบาร์ ฉันมองไปรอบร้าน ไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยมีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น เสียงกระดิ่งประตูหน้าดังขึ้น ลมเย็นพัดโบกเข้ามา หญิงสาวหน้าตาสวยสะดุด กระโปรงสีเขียวมิ้นท์ของเธอปลิวไสวในสายลม ผมสีทองมวยต่ำ ตาสีฟ้าโตลึกคมเข้ม ฉบับสาวฝรั่งในนิตยสาร “เอเดน .. เดฟ อะไรดลใจท่านงั้นหรือ” เธอพูดจงใจมองหน้าเอเดน และฉันแปลมันออกทุกคำเลย “เจซี่ สวัสดี” เอเดนทักทายสุภาพ อ่อ! .. สาวงามคนนี้นี่เอง “สวัสดีขอรับ คุณผู้หญิง” กระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างซ้ายติดกระจกร้านเอ่ยทักทาย “ท่านหายไปนานเหลือเกิน ลุคกับข้าคิดว่าท่านทำตัวห่างเหิน” เจซี่พูดพลางไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ฉัน เอเดนยิ้มรักษากิริยา เขาสง่างามเสมอเลย “โอ้ว .. ข้าไม่ทันสังเกตให้ดี ขออภัย
เช้านี้ฉันลืมตาขึ้นมามองเห็นห้องที่ไม่คุ้นตา ฉันพลิกตัวนอนหงายอย่างเร็วและแรงมาก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมากองอยู่นอกอก ฉันจับมันเอาไว้พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองอย่างยากลำบาก กว่าฉันจะระลึกชาติได้ว่าฉันนอนอยู่ที่ไหน และเมื่อคืนก่อนนอนฉันทำอะไรไปบ้าง เสียงมือจับประตูห้องนอนก็ถูกขยับกึกกัก ประตูเปิดผางออก ภาพงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้า “สวัสดี .. จวนเที่ยงแล้ว ข้ากำลังจะเข้ามาปลุกท่านอยู่พอดีลิต้าที่รัก หลับอย่างเป็นสุขดีหรือไม่เมื่อคืนนี้” เอเดนสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันที่เตียงนอน “อย่าพึ่งเข้ามานะคะ” ฉันยกมือขึ้นห้ามเขา “ .. ” เขาหยุดกึก เลิกคิ้วอย่าฉงนใจ “ห้องน้ำอยู่ไหนคะ ฉัน .. อยากเข้าห้องน้ำ” “อ่อ .. เชิญทางนี้” เอเดนผายมือ และเดินนำฉันออกมาทางประตู เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงห้องหนึ่งที่ประตูปิดสนิท คงเป็นห้องน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันเปิดและรีบแทรกตัวเข้าไปในนั้น ตามด้วยหันหลังกลับมาปิดประตูทันที “เดี๋ยวฉันตามลงไปนะคะ” ฉันตะโกน ฉันจะตะโกนทำไมเนี่ย เวลารู้สึกก