ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน
“ไล่พวกนางออกไป”
“ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน
“นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่
“เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท
“พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า
ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้วก็จริง แต่นี่ถือเป็นสินน้ำใจเล็กน้อย
“ผู้หญิงนี่ก็แปลกประหลาดนัก ตอนเรียกมาไม่มีใครอยากเข้ามา ต้องประกาศเพิ่มเงินสามเท่าถึงมีคนใจกล้ามาปรนนิบัติองค์ชาย แต่พอเสร็จกิจแล้วกลับเรียกร้องอีก” เจิ้งไฉยักไหล่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะขนม หยิบขนมเปี๊ยะส่งเข้าปากอีกคำ
“องค์ชายมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว เหตุใดไม่เข้าวังเสียที” ซิ่นเจี่ยงเอ่ยถามบุรุษที่ยกเหล้าขึ้นดื่มราวกับน้ำเปล่า
“เจ้าอยากเข้าวังหลวง ก็เข้าไปแทนข้าดีกว่าไหม?” องค์ชายเฟยเทียนหัวเราะในลำคอ
“กระหม่อมก็เพียงแค่ อยากกลับตุนหวงโดยเร็ว หากพระองค์จัดการเรื่องที่นี่เสร็จ พวกเราจะได้กลับบ้านกัน”
‘บ้าน’
องค์ชายเฟยเทียนเพียงแค่ทำเสียงหงุดหงิดในลำคอ เมืองหลวง
ควรเป็นบ้านของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ตุนหวงต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นบ้านที่แท้จริง ทั้งสี่เดินทางอย่างลับๆ มาถึงเมืองหลวงได้นับสัปดาห์แล้ว แต่ยังรั้งรอไม่เข้าวังหลวง ไม่ไปตำหนักของตน อาศัยพักในโรงเตี๊ยมและเสพสุขกับนางคณิกา
ดวงตาคู่คมแฝงรอยเศร้า สนามรบใดไม่น่ากลัวเท่าวังหลวง หากท่านแม่ยังอยู่ เขาจะรับนางไปอยู่ด้วยกันที่ตุนหวง
“เอาเถอะ ถือว่ามาเล่นสนุกก็แล้วกัน วันสองวันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าวังเสียที”
องค์ชายเฟยเทียนขว้างขวดสุราเปล่าใส่ผนัง ทั้งสามไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเพราะชาชิน ร่างสูงใหญ่ผลุบหายไปในห้องอีกครั้งแล้วสวมเสื้อผ้าของตนเอง พลางครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ฮองไทเฮาเรียกตัวเขากลับมาที่นี่
สถานที่ที่เขาไม่ปรารถนาจะมาเหยียบยืนเลยสักนิดเดียว.
.....
เสียงซุบซิบจากบรรดานางกำนัลและเหล่าขันทีในเวลานี้ต่างไม่พ้นเรื่ององค์ชายเฟยเทียน เสด็จจากตุนหวงมาเมืองหลวงเพื่อร่วมงานฉลองวันประสูติของฮองไทเฮาแล้ว ฮ่องเต้ยังประทานตำแหน่งชินอ๋องอันเป็นตำแหน่งอ๋องที่สูงสุดให้ด้วย
ว่านหนิงเหมยที่ง่วนกับการต่อกิ่งกุหลาบสีแดงสดอยู่ นางใช้ผ้ามุ้งหรือผ้าโปร่งพันรอบกิ่งกุหลาบที่ทดลองขยายพันธุ์ให้ แม้ดวงตาจ้องมองกับสิ่งเบื้องหน้า แต่หูของนางตั้งใจฟังเสียงพูดคุยของนางกำนัลที่อยู่ไม่ไกลนัก
‘อยากรู้อะไรถามพวกข้าสิ’
เป็นเสียงเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดูพูดคุยกับว่านหนิงเหมย นางเผยอริมฝีปากบ่นขมุบขมิบเพียงคนเดียว แน่ละ ถ้าใครรู้เข้าคงถูกกล่าวหาว่าเป็นมารปีศาจนะซี นางรอนางกำนัลและขันทีไปจากบริเวณนั้น จึงเดินไปล้างมือแล้วพูดออกมา
“พวกเจ้าเป็นพยาธิในท้องข้าหรือไร ถึงรู้ว่าข้าสนใจเรื่องใดอยู่”
‘ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าเฝ้าคิดถึงคนผู้นั้นมากเพียงใด’
‘ไม่ๆ ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากนางผู้เดียว’
เสียงหัวเราะคิกคักทำเอาใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ เพราะไม่มีผู้อื่น นางจึงไม่ได้ใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งใบหน้าของตนเอง
“พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล” นางแสร้งทำเป็นดุแล้วเดินไปที่ต้นอวี้หลาน (แมกโนเลีย) ซึ่งตอนนี้กำลังผลิดอกเต็มต้น ฮองไทเฮาโปรดสีขาวของดอกอวี้หลานนัก ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของฮองไทเฮามาก่อน นึกว่ามีแต่บุรุษที่หลายใจ สตรีก็เปลี่ยนใจง่ายเช่นกัน แต่บังเอิญคนผู้นั้นเป็นคนที่ใครก็ตำหนิมิได้
‘ชอบก็บอกว่าชอบ ทำไมต้องโกหกให้ยุ่งยาก’
‘เจ้าไม่รักษารอยแผลบนใบหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับผู้อื่นมิใช่รึ’
“คนผู้นั้นใช่คนธรรมดาที่ไหนกัน” ว่านหนิงเหมยยกมือขึ้นทาบลำต้นของต้นอวี้หลาน “ข้าพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่นี้”
“แต่เจ้าทำให้ข้าพอใจมากจริงๆ”
ว่านหนิงเหมยสะดุ้งหันขวับไปเห็นฮองไทเฮาเสด็จมาทางนางตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางแอบคาดโทษเหล่าพฤกษาที่ไม่มีผู้ใดเตือนนางเลยสักนิด หญิงสาวย่อคารวะแต่ฮองไทเฮาโบกมือห้ามไว้
“ฮองไทเฮา”
“อย่ามากพิธีเลย ข้าเองก็ชินแล้วที่มักได้ยินเจ้าพูดผู้เดียว”
“เพคะ” นางก้มหน้าซ่อนความอับอาย
“จะมีงานเลี้ยงตอนบ่าย เจ้ายังไม่เตรียมตัวอีกเรอะ”
“เอ่อ...หม่อมฉันต้องเตรียมตัวอะไรเพคะ” นางเงยหน้าถามอย่างงุนงง
“งานเลี้ยงของข้า เจ้าไปร่วมด้วยสิ”
“แต่ว่า... หม่อมฉัน...”
‘หม่อมฉันเป็นแค่ลูกอนุ ไม่ถูกเรียกว่าเป็น ‘ท่านหญิง’ ด้วยซ้ำ’ หญิงสาวได้แต่พูดในใจ นางไม่มีตำแหน่งที่นั่งในงานเลี้ยงใด แค่ได้ติดตามลูกสาวคนโตของบิดาเข้าวัง นับว่าเป็นเรื่องที่ยากจะเกิดขึ้นกับนางแล้ว
“เจ้านี่ก็ยังไงนะ อยู่กับข้ามาตั้งสองปี มิรู้อีกรึว่าข้าไม่ชอบคนขัดใจ” ฮองไทเฮาหัวเราะน้อยๆ “เด็กๆ มาช่วยหนิงเหมยหน่อย”
ว่านหนิงเหมยสะดุ้งเฮือกแต่ไม่กล้าขัดพระทัย สองปีมานี้นางเห็นความเมตตาของฮองไทเฮาพอๆ กับความเด็ดขาดในการจัดการเรื่องในวังหลัง นางจึงยอมเดินตามนางกำนัลไปที่ห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นางกำนัลนำมาให้
ถูกแล้ว เพราะฮองไทเฮาโปรดดอกไม้ต้นไม้และเปลี่ยนพระทัยอยู่บ่อยๆ แต่มิได้หมายความว่าจะทอดทิ้งต้นใดต้นหนึ่ง ดอกไม้บางชนิดที่ให้กลิ่นหอมยามค่ำคืน บางชนิดรุ่งสาง และบางชนิดก็เพียงปีละครั้ง บางครั้งบางคราวที่ฮองไทเฮานอนไม่หลับ ก็ทรงมาเดินเล่นในสวนสี่ฤดูนี้ เพราะไม่มีใครกล้าขัดพระทัย แม้กลางดึกนางก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฮองไทเฮา คอยกระซิบบอกให้เหล่าดอกไม้ส่งกลิ่นรวยรินให้ฮองไทเฮาอารมณ์ดี นางจึงมีห้องพักส่วนตัวในตำหนักของฮองไทเฮาเผื่อบางเวลาที่นางไม่ได้กลับบ้าน
ชุดใหม่ที่ถูกเตรียมให้นางเป็นอาภรณ์สีเขียวอ่อนดุจใบไม้แรกผลิ นางไม่ใช่ดอกไม้งดงามในสายตาฮองไทเฮา แต่เป็นใบไม้ที่แตกใบอ่อน เหล่านางกำนัลช่วยแต่งตัว จัดแต่งทรงผมประดับปิ่นมุกให้นาง แต่นางห้ามเรื่องผัดแป้ง
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช