“ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”
ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว
เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด
เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น
องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไออำมหิตแผ่กระจายปกป้องผู้เป็นนายเหนือชีวิต นางกำนัลขวัญอ่อนบางคนถึงกับแข้งขาไร้เรี่ยวแรงเป็นลมล้มพับไป มีเพียงกุนซือผู้มีใบหน้างดงามผู้นั้นที่ช่วยลดทอนความน่ากลัวขององครักษ์ทั้งสองได้
เขาเป็นเช่นดวงตะวันและนางกลายเป็นดอกเซี่ยงรื่อขุย(ดอกทานตะวัน) ที่หันมองเขาจนสุดสายตา
หากลดอคติในใจ ฮ่องเต้คงมองชายเบื้องหน้าและเรียกว่าบุตรชายได้เต็มปาก ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เป็นวันของฮองไทเฮา พระองค์คงไม่เสด็จมาประทับเบื้องหน้าเช่นนี้
องค์ชายเฟยเทียนเห็นท่าทางหวาดกลัวที่มีต่อตนเองแล้วก็เผลอกระตุกยิ้มที่มุมปาก สิบปีที่ไม่ได้อยู่ในวังหลวง เขาไม่ได้สนใจมารยาทหรือธรรมเนียมใด แต่ใช่ว่าจะหลงลืม เมื่อมาอยู่เบื้องหน้าฮองไทเฮา ฮ่องเต้ ฮองเฮา จึงถวายพระพรไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ
“ดีจริงที่ปีนี้เจ้าอุตส่าห์มาได้” ฮองไทเฮาเอ่ยขึ้น
“ด้วยพระบารมี ชายแดนร่มเย็น กระหม่อมจึงมาเหยียบยืนในวังหลวงนี้ได้”
ถ้อยคำประชดประชันนั้น แม้ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ องค์ชายเฟยเทียนเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ พลันอยากแหงนหน้าหัวเราะ แต่ยังรักษามารยาทที่มีอันน้อยนิดไว้ เกรงว่าอีกฝ่ายจะกระอักโลหิตไปก่อน
“คราวนี้ก็อยู่นานๆ ให้ข้าหายคิดถึงเถิดนะ”
“หากเป็นพระประสงค์ของฮองไทเฮา กระหม่อมยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นความเดือดดาลในพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้แล้ว เขายิ่งอยากหัวเราะนัก แต่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วถอยไปนั่งในตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมไว้
ทำไมจะไม่รู้ จากสิ่งที่ทำไว้หรือแม้แต่การรวมแคว้นได้สำเร็จ ล้วนแต่กริ่งเกรงว่าเขาจะเป็นฝ่ายยึดครองอำนาจเสียเอง องค์ชายเฟยเทียนยกจอกสุราขึ้นดื่ม มองการแสดงของนางรำเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่หวังสิ่งใด เพียงแค่ต้องการส่งทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเขาได้กลับบ้าน คนเหล่านั้นล้วนมีคนเฝ้ารอการกลับไป ผิดกับเขาที่...ที่ไม่เคยรู้สึกว่ามีที่ใดเป็นบ้านให้กลับ
เพราะชุดที่สวมเป็นเสื้อแขนกว้าง องค์ชายเฟยเทียนแสร้งยกข้อศอกเท้าโต๊ะให้แขนเสื้อร่วงลงมาเห็นหางมังกรสีแดงสดที่พันรอบแขนซ้าย เพียงเท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเขาอีก ผู้คนที่เข้ามาถวายพระพร ฮองไทเฮาต่างตัวสั่นงันงกกันแล้ว
ซิ่นเจี่ยงที่นั่งอยู่ด้านหลังเห็นทุกอย่างแล้วลอบถอนหายใจเหลือบมององครักษ์สองคนที่ยืนประจำอยู่ด้านหลัง ภายใต้หน้ากากเหล็กและท่าทางขึงขังเช่นนั้นคงลอบกลืนน้ำลายอยู่เป็นแน่ สองคนนั้นคลั่งขนมหวานขนาดไหน เขาผู้เป็นกุนซือติดตามองค์ชายเฟยเทียนมานานย่อมรู้ดี ตามจริงแล้วองครักษ์ฝาแฝดนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาน้อยกว่าเขาอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้ทั้งสองใส่หน้ากากที่แลดูดุดันเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ศัตรู เจิ้งหู่และเจิ้งไฉก็ทำตามที่สั่งไม่ได้สงสัยอะไร ทั้งสองมีรูปร่างสูงใหญ่ เก่งกาจด้านการต่อสู้ สมเป็นองครักษ์ขององค์ชายเฟยเทียน ทว่านิสัยทั้งสองกลับเหมือนเด็กนัก หากมีหญิงงามกับขนมหวานให้ต้องเลือก ทั้งสองสามารถเลือกขนมหวานได้โดยไม่สนใจปรายตามองหญิงงามแม้แต่น้อย
แต่จะว่าไป คนที่มีนิสัยเหมือนเด็กยิ่งกว่า คงไม่พ้นองค์ชายเฟยเทียน รู้ทั้งรู้ว่าผู้คนหวาดกลัวก็ยังทำให้ผู้อื่นยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก เช่นนี้จะมีหญิงสาวที่ไหนยอมแต่งงานกับคนผู้นี้กันเล่า
อยากรู้จริงๆ ว่าฮองไทเฮาหมายตาหญิงงามตระกูลใดมาเป็นพระชายาให้องค์ชายของเขา.
……….
ว่านหนิงเหมยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บรรดาขันทีและนางกำนัลช่วยกันขนย้ายต้นไม้รูปร่างแปลกตา แต่นางรู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้เป็นต้นไม้ทะเลทราย องค์ชายเฟยเทียนหรือบัดนี้รับตำแหน่งชินอ๋องนำมาถวายฮองไทเฮา คราแรกที่ขันทีมาเรียกไว้ยังไม่ให้นางได้กลับบ้าน นางนึกว่าเป็นเพียงต้นไม้ขนาดเล็กน่ารัก แต่ไม่นึกว่าจะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ บางต้นสูงกว่าตัวนางเสียอีก
“นี่ยกมาทั้งทะเลทรายเลยหรือไร” หญิงสาวบ่นอุบอิบกับตนเอง “ต้นไม้พวกนี้ต้องการแดดจัด อย่างไรเอาไว้ด้านนอกก็แล้วกันนะ”
“ขอรับแม่นางว่าน” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยกับนาง
“รบกวนส่งคนไปแจ้งที่บ้านของข้าให้ด้วย คาดว่าข้าคงต้องดูแลเรื่องการขนย้ายให้เสร็จก่อน ต้นไม้เหล่านี้แรมรอนมานานนับเดือน อย่างไรรีบเอาลงจากเกวียนก่อนดีกว่า”
ขันทีผู้เดิมผงกศีรษะรับคำสั่ง หากไม่ใช่คำสั่งของฮองไทเฮาแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำตามที่นางร้องขอ เมื่อเห็นว่านางไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่ม จึงขอตัวไปทำตามที่ว่านหนิงเหมยต้องการ
เมื่อวานในงานเลี้ยง แม้นางอยู่ที่นั่นแต่ได้นั่งในตำแหน่งไกลๆ หากไม่ใช่เหล่าพฤกษาส่งเสียงกระซิบพูดคุย นางคงไม่รู้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น องค์ชายเฟยเทียนไม่ได้ยินดียินร้ายกับตำแหน่งชินอ๋องที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ ตำแหน่งนี้ควรประทานให้องค์ชายเฟยเทียนนานแล้ว แม้มีความดีความชอบในการรวมแผ่นดิน ทว่าฮ่องเต้ยังทรงหวาดระแวงอดีตรัชทายาทผู้นี้ ควรมอบตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นกันซู่ให้ด้วยซ้ำ องค์ชายเฟยเทียนเองกลับพอพระทัยกับการอยู่ตุนหวง ไม่สนใจเรื่องอื่น
นางเองไม่ใคร่รู้เรื่องในวังหลวงนัก แม้เหล่าพฤกษาจะกระซิบเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง นางก็ได้แค่รับฟัง เพราะนางไม่ได้มีน้ำหนักจะช่วยผู้ใดไต่เต้าได้ตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้ บิดาจึงก่นด่าประชดประชันเสมอ นางได้ใกล้ชิดฮองไทเฮา แต่ไม่อาจสนับสนุนคุณชายหรือแม้แต่ท่านหญิงได้ นางอาจดูเหมือนเป็น ‘คนโปรด’ แต่ก็เป็นคนโปรดที่ฮองไทเฮาไม่ปรารถนาจะทอดพระเนตรเห็นใบหน้าที่มีรอยแผลนี้ด้วยซ้ำไป
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช