บทที่ 5
“ใจลอยไปถึงไหนแล้วแม่คุณ” ถึงเวลาเลิกงานพริมรตาก็เดินเข้ามาหาเพื่อนที่โต๊ะทำงาน ด้วยตนนั้นอยู่กันคนละแผนก
“อื้อ! เปล่าซะหน่อย” แวววิวาห์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบปฏิเสธด้วยไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าตนกำลังเผชิญกับเรื่องอะไร ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนบ่นหูชาไปอีกหลายวัน
“เปล่าอะไร ก็เห็นๆ อยู่ว่าแกนั่งใจลอย ว่าแต่เมื่อคืนทำไมนอนเร็วจัง ฉันไปเคาะที่ห้องแกก็ไม่เปิด โทรไปแกก็ปิดเครื่อง โทรไปถามไอศิ มันก็บอกว่าไม่รู้ ตกลงแกเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า” พริมรตาสงสัยแกมเป็นห่วง
“ปะเปล่า ไม่ได้เป็นอะไร กลับกันเลยไหม ฉันเก็บของเสร็จแล้ว” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ไอ้การรีบเก็บของจนดูลนลานมันก็ดูน่าสงสัยในสายตาคนช่างสังเกตอย่างพริมรตา
“ดูแกเครียดๆ นะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า หรือมีเรื่องอะไรที่ฉันยังไม่รู้” สายตาคาดคั้นของพริมรตาทำเอาเธอถึงขึ้นต้องกลืนน้ำลาย
“มะไม่มีนี่” เธอปฏิเสธเสียงสูง
“แกกับฉันเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ววา แกเคยปิดบังอะไรฉันได้ด้วยเหรอ” นั่นสินะ เธอคงเป็นคนเดียวในกลุ่มกระมังที่เก็บความลับไม่อยู่ โกหกก็ไม่เก่ง โกหกทีไรโดนเพื่อนจับได้ทุกที
“ก็…ก็…ก็เรื่องแม่กับยายอย่างที่แกรู้นั่นแหละ” เธอพยายามบ่ายเบี่ยง
“แต่เท่าที่รู้ ก็ไม่เห็นว่าแกจะเคยเครียดแบบนี้นี่ ฉันว่าคราวนี้มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น” พริมรตายังพยายามจับผิด
“ก็ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ไง โอ๊ย! แล้วนี่แกจะคาดคั้นอะไรฉันนักหนาเนี่ย” แวววิวาห์โวยลั่น เมื่อใกล้จะหมดหนทางที่จะบ่ายเบี่ยงเข้าไปทุกที
“เพราะแกเป็นเพื่อนฉันไง ถ้าการที่เพื่อนเป็นห่วงเพื่อนมันผิด งั้นฉันจะไม่คาดคั้นแกอีก” พูดจบพริมรตาก็เดินห่างออกไป แต่ยังไม่ทันไรก็ต้องหยุดอีก
“โอเคๆ ฉันยอมแล้ว แกอยากคาดคั้นอะไรแกว่ามาเลย ฉันยอม” แวววิวาห์ยกมือยอมแพ้ราวกับประชด แต่มันกลับทำให้เพื่อนยิ้มพอใจ
“งั้นเล่ามา” พริมรตาหันกลับมาแล้วก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ อย่างเอาจริงเอาจัง โชคดีว่าตอนนี้ทั้งแผนกมีแค่พวกเธอสองคน เพราะคนอื่นพากันกลับหมดแล้ว
“ก็แม่กับยายน่ะสิบังคับให้ฉันแต่งงาน”
“เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว แกบ่นให้ฉันฟังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เอาที่มันอัพเดทกว่านี้หน่อย”
“แต่ครั้งนี้แม่เขาเตรียมเจ้าบ่าวไว้ให้เลยนะเว้ย” เธอพยายามชี้ชวนให้เพื่อนเห็นว่านี่คือปัญหาใหญ่
“แล้ว?” พริมรตาหรี่ตาถาม
“แล้วฉันก็บ่ายเบี่ยงเหมือนทุกครั้งไม่ได้แล้วไง”
“แล้ว?”
“โอ๊ย! แกพูดคำอื่นไม่เป็นแล้วรึไง” แวววิวาห์เริ่มหัวเสียกับคำถามเดิมๆ ของเพื่อน แน่นอนว่าเธอกำลังจะจนมุม แทบไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เพราะพูดอะไรไป อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะจับทางได้ทุกครั้ง
“เพราะฉันรู้ไงว่าคนอย่างแกไม่ยอมให้แม่กับยายคลุมถุงชนง่ายๆ หรอก แกต้องหาทางปฏิเสธจนได้ แล้วไอ้ทางที่ว่านั่นแหละที่ฉันอยากรู้ แกคิดจะทำอะไร” นั่นไง จับทางถูกจริงๆ ด้วย
“ฉัน…คือฉัน…” คนถูกรู้ทันถึงกับอึกอักไปไม่เป็น
“แกมีอะไรปิดบังฉันรึเปล่าวา แกรู้ใช่ไหมว่าฉันมารู้เองทีหลัง ฉันจะรู้สึกยังไง” พริมรตายื่นหน้าเข้ามาคาดคั้นใกล้ๆ
“โอ๊ย! แกกำลังกดดันฉันนะพรีม คือฉันไม่ได้อยากปิดบังแก แต่ฉันแค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนไง” แวววิวาห์หน้าเครียดประหนึ่งกำลังจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ
“ฉันไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของแก แกก็รู้ว่าฉันไม่เคยยุ่งเรื่องของใคร แต่แกคือเพื่อน เพื่อนที่ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราจะไม่ทิ้งกัน กลับกันถ้าแกเห็นฉันทุกข์ แกจะวางเฉยได้ไหม ฉันไม่ได้อยู่กับแกเฉพาะเวลาที่แกมีความสุข แต่เวลาที่แกทุกข์ฉันก็อยากแบ่งเบา อย่างน้อยให้ฉันเป็นที่ระบายให้แกก็ยังดี บางทีถ้าเราช่วยกันคิดช่วยกันแก้ อะไรๆ มันอาจจะดีกว่าการที่แกฝืนแบกทั้งหมดเอาไว้คนเดียวก็ได้” แวววิวาห์ได้ฟังถึงกับนัยน์ตาแดงก่ำ
“คือฉัน…ฉันไปมีอะไรกับผู้ชายเมื่อคืนนี้ ฉันไม่ได้นอนอยู่ในห้อง ฉันโกหกแก ฉันขอโทษ ฮือๆๆ” แวววิวาห์โพล่งออกมาในที่สุด
“เมื่อคืนฉันเมามาก ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป ฉันมันแย่มากใช่ไหม ฉันมันผู้หญิงไม่ดี ด่าฉันสิ ด่าฉันเลย ด่าให้แรงๆ ให้สมกับที่ฉันทำตัวไร้ยางอาย” หลังจากระบายออกไป คำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ราวกับทุกอย่างได้ถูกปลดล็อค
“ฉันไม่ด่าแกหรอก แค่นี้แกก็ด่าตัวเองมากพอแล้ว เราเป็นเพื่อนกันนะ ฉันรู้ว่าแกกำลังรู้สึกแย่มากๆ แล้วฉันยังจะซ้ำเติมแกได้ยังไง สู้มาช่วยกันคิดไม่ดีกว่าเหรอว่าจะเอายังไงกันต่อ” ทุกอย่างผิดคาด นอกจากจะไม่ด่า พริมรตายังให้กำลังใจจนแวววิวาห์น้ำตาไหลพราก นี่แหละมั้งเหตุผลที่ทำให้พวกเธอคบกันได้นาน
“ฮือ…! พรีม” เธอโผเข้ากอดพริมรตาอย่างหาที่พึ่ง หลังจากที่ทนนั่งเครียดอยู่คนเดียวมาทั้งวัน
“แล้วแกจะเอายังไงต่อ จะปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไป หรือจะให้ผู้ชายคนนั้นรับผิดชอบ” ถึงแม้เพื่อนจะกำลังรู้สึกแน่ แต่พริมรตาจำเป็นต้องถามต่อ
“จะรับผิดชอบได้ยังไง ในเมื่อฉันยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร” สิ้นเสียง พริมรตาถึงกับดันไหล่เพื่อนออกมามองหน้าให้ชัดๆ ทันที
“ให้ตายสิ นี่แกเมาถึงขั้นจำหน้าคนที่ตัวเองมีอะไรด้วยไม่ได้ นี่แกกินหรือแกอาบวา” ก็ว่าจะไม่บ่นแล้วเชียว แต่แบบนี้พริมรตาก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน
“ฮือๆๆ ก็ฉันนึกว่าเขาเป็นคุณภากร ฉันก็เลย ฮือๆๆ” เธอเล่าไปก็ฟูมฟายไปด้วย แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่บ่นบ้างพริมรตาคงอกแตกตาย
“อย่าบอกนะว่าแกตั้งใจไปหาคุณภากรเพื่อมีอะไรกับเขา ไอวา…แกใช้สมองส่วนไหนคิดเนี่ย”
“ยังโกรธพี่อยู่เหรอเจ้าหญิงน้อย” วาโยพยายามง้องอนน้องสาวที่กำลังทำหน้าหงิกงอ “ใช่ หนูโกรธ แล้วก็โกรธมากด้วย พี่ทำให้แฟนหนูเกือบตายเลยนะ” “ก็ยังไม่ตายานี่” วาโยพึมพำเบาๆ แต่น้องสาวก็ดันได้ยินจึงยิ่งโกรธ “พี่โย” “ก็มันจริงนี่ พี่ก็เห็นว่าหมอนั่นยังสบายดี ไม่มีตรงไหนบุบสลาย ถ้าจะว่ากันตามจริงต้องขอบคุณพี่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่แอบได้ยินไอ้กรกันมันคุยโทรศัพท์ ป่านนี้หมอนั่นได้ไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้ว” เพราะไม่ทันสังเกตว่าวาโยยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง กรกันจึงโทรสั่งการและคายความลับออกมาโดยไม่ทันระวัง “ลองถ้าเป็นอย่างนั้น หนูจะไม่ให้อภัยพี่ไปตลอดชีวิตเลย” เป็นเพราะกว่าพี่ชายจะมาบอกก็เกือบสายไป อีกทั้งยังทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ เธอจึงอดเคืองไม่ได้ “นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย พี่เป็นพี่ชายเรานะ ทำไมต้องทำเหมือนคนอื่นสำคัญกว่าพี่ด้วย” พี่ชายตัดพ้อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “คนอื่นที่ไหน นั่นแฟนหนูนะ อีกหน่อยเขาก็จะมาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา” “ครอบครัวอะไร ใครยอมรับมัน แล้วใครอนุญาตให้เราเรียกมันว่าแฟน พี่ไม่
“ตาข่ายดักปลา อืม...ว่าไม่ได้ ดูๆ ไปก็เหมือนอยู่นะ” เห็นเธอยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาจึงพูดต่ออีก “นี่แหละน้า จำพี่ไม่ได้ จำชุดที่ตัวเองใส่ก็ไม่ได้ ทั้งที่เป็นคนฉีกกระโปรงแล้วทิ้งเศษผ้านั่นไว้ให้พี่ดูต่างหน้าแท้ๆ แต่กลับจำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ว่าต่อไปจะลืมเรื่องของเราหรอกนะ เฮ้อ! ก็มีแต่พี่นี่แหละที่จดจำได้ทุกรายละเอียด ถึงขนาดเจอกันอีกครั้ง พี่ก็ยังจำเธอได้ทันที” คนถูกตัดพ้อยิ้มแหย หลังปะติดปะต่อเรื่องราวได้ “แฮ่ จำได้หมดเลยเหรอ” เธอถามเสียงอ่อย ครั้นพอนึกบางอย่างขึ้นมาก็ทำท่าขัดเขิน “รู้สึกสวยขึ้นมาอีกพันเปอร์เซ็นต์ คลั่งรักนะเราเนี่ย” เธอเกี่ยวผมทัดหูก่อนตีที่แขนเขาเบาๆ “เห็นพี่คลั่งรักขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าต่อไปจะข่มเหงจิตใจกันหรอกนะ” “แล้วยอมให้ข่มรึเปล่าล่ะ” ไม่พูดเปล่า แต่แม่คุณยังเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักด้วยท่วงท่าก๋ากั่น “อยากจะข่มหรือขย่มก็ได้หมดแหละ กับเธอพี่ยอมทุกอย่าง” เขาตอบพลางมองตาปรอย รู้สึกราวกับว่าคนตรงหน้ากลายร่างเป็นนางแมวยั่วสวาท “งั้นหนูขอเลือกอย่างหลัง รับให้ไหวล่ะ”
ตอนที่ 32 คอนโด “อุ๊ย! จะทำอะไรคะ แบบนี้ไม่ดีมั้ง เมื่อกี้เราเพิ่งเจอเรื่อง...” ทันทีที่เข้ามาในห้อง เขาก็ปล้ำถอดเสื้อเธอออก ทำคนถูกถอดขัดเขินไม่คิดว่าพ่อคุณจะคลั่งรักได้ถึงเพียงนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองนั้นมีเสน่ห์เหลือร้าย กระทั่ง... “ก็เธอไม่ยอมไปหาหมอ พี่ก็ต้องเป็นตรวจเองสิ มาให้พี่ดูหน่อยว่ามีแผลตรงไหนรึเปล่า” คนที่เผลอคิดไปไกลหุบยิ้มทันควัน “ไม่มีค่ะ ไม่มีทั้งแผล แม้แต่เสน่ห์ก็ไม่มีค่ะ” เธอเปรยออกมาด้วยสีหน้าสุดเซ็ง “หืม ว่าไงนะ” คนที่ได้ยินชัดเจนแต่แสร้งถามอีกครั้ง “หนูหมายถึง หนูไม่ได้เจ็บตรงไหน แม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มีค่ะ” “จะไม่มีได้ไง ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อกี้มีรอยแดง” “แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ตรงนี้ไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี” เห็นพ่อคุณดื้อดึงจะดูให้ได้ เธอก็อ่อนอกอ่อนใจ จนต้องเอียงคอให้ดู ก่อนปลดกระดุมเสื้อเปิดไหล่ขาวๆ ให้อีกฝ่ายพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง พร้อมกับพึมพำเบาๆ “ปลายแถวพวกนั้นไม่ได้เก่งพอจะทำให้หนูเป็นแผลได้หรอก” “หืม” เขาแสร้งถามอีกครั้ง “หนูหมายถึง
ตอนที่ 31 “ฮื่อ...จะยิงผัวเขา ถามเมียเขาก่อนไหม ว่าอนุญาตรึเปล่า” ครามเดินนำเข้ามาพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ “อย่าเข้ามา ไม่งั้นกูเป่าหัวมันแน่” กรกันขู่ด้วยการเอาปืนจ่อขมับตัวประกัน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นญาณินเดินแหวกออกมาจากคนกลุ่มนั้น พลันสีหน้าคนถือปืนก็ค่อยๆ เผือดลง “คุณมาได้ยังไง” กรกันครางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง อีกทั้งนัยน์ตาที่มองมาก็เปลี่ยนไป กระทั่ง... “ฉันก็ต้องมาช่วยคนของฉันสิ ผู้ชายของฉันใครอนุญาตให้คุณแตะ กล้ายุ่งกับผู้ชายของฉัน กลัวคุณจะรับผิดชอบไม่ไหวน่ะสิ” การแสดงความเป็นเจ้าของของเธอ ทำนัยน์ตาคนขี้อิจฉาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอีกครั้ง “หึ! ผู้ชายของคุณ? ทำไมล่ะ มันมีดีอะไร ทำไมถึงได้มองแค่มัน แต่กับผมคุณกลับไม่แม้แต่จะให้โอกาสด้วยซ้ำ ลองให้โอกาสผมสิ แล้วผมจะทำให้คุณรักผมยิ่งกว่าที่คุณรักมัน” “เรื่องแบบนี้บังคับใจกันได้ที่ไหน ก็ฉันรักเขาไปแล้ว จะให้ไปรักคุณอีกได้ไง หรือต่อให้ไม่มีเขา ฉันก็ไม่รักคุณอยู่ดี” คนถูกบอกรักถึงกับเผลอยิ้ม ในขณะที่อีกคนกลับเปลี่ยนเป็นถมึงทึง “ทำไม” กรกันตะเบ็งเสียงใส
“เจ็บตรงไหนไหม บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” หลังจากเหตุการณ์สงบ ตุลญะรีบจับแฟนสาวหมุนไปหมุนมาเพื่อสำรวจ “ไม่ค่ะ แล้วพี่ล่ะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ความเป็นห่วงทำให้เธอทำในแบบเดียวกัน แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีแผลรอยฟันที่แขนก็โวยทันที “พี่บาดเจ็บนี่ ไปโรงพยาบาลกันค่ะ” เธอรีบเหวี่ยงแขนคนเจ็บมาพาดไว้ที่ไหล่ตัวเองเพื่อประคองอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล ทำเอาชวินชวันหันมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ “แผลแค่นี้ พี่ไม่เป็นไร ห่วงก็แต่เรานั่นแหละ ไม่เจ็บตรงไหนก็ดีแล้ว ว่าแต่รู้ได้ไงว่าพี่จะถูกทำร้าย” “พูดแล้วยังเคืองไม่หาย ก็พี่โยสิคะ แอบได้ยินคุณกรคุยโทรศัพท์ แล้วเพิ่งมาบอก โชคดีที่มาทัน ไม่งั้นหนูจะโกรธแล้วไม่พูดกับเขาตลอดชีวิตเลย” พูดถึงพี่ชายแล้วเธอก็ทำหน้างอง้ำ โชคดีที่อีกฝ่ายไถ่โทษด้วยการให้คนมาช่วย จึงพอลดความขุ่นเคืองลงได้บ้าง “ไม่โกรธนะคะคนดี แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายเรา ป่านนี้พวกพี่ไม่รู้จะเป็นยังไง ฝากขอบคุณพี่ชายเราด้วยนะ แล้วก็ขอบคุณเราด้วย แต่ทีหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีกนะ พี่ใจไม่ดี” เขาว่าพลางเอามือลูบหัวเธอเบาๆ
ตอนที่ 30 “ตั้งแต่ออกมาจากบ้านนั้น แม่ยังไม่เห็นแกหุบยิ้มเลย มีความสุขอะไรนักหนา” ขณะกำลังนั่งรถกลับบ้าน แม่ที่นั่งข้างลูกชายก็อดแซวลูกไม่ได้ “ได้แต่งกับผู้หญิงที่เฝ้าตามหามาเป็นปี จะไม่ให้มีความสุขได้ไงล่ะครับ แต่ว่าก็ว่านะ เก็บอาการหน่อยก็ดี เดี๋ยวผู้หญิงเขาจะได้ใจเอา” ครามที่เป็นพลขับอยู่ด้านหน้าอดไม่ได้ที่จะผสมโรงด้วย “นี่แกกับหนูคะขาเคยเจอกันมาก่อนเหรอ ที่ไหน ยังไง ไม่เห็นเคยเล่าให้แม่ฟัง หนูคะขาเองก็ไม่เห็นเคยพูดถึง” ผู้เป็นแม่อดสงสัยไม่ได้ “คือ...” ลูกชายทำท่าจะอธิบาย แต่ก็ถูกคนด้านหน้าแทรกขึ้นมาอีก “จะพูดถึงได้ไงล่ะครับ ก็เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำ” ครามพูดแล้วเหลือบมองกระจกมองหลัง ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว จึงรีบอธิบายต่อ “คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับคุณท่าน...” ครามเล่าทุกอย่างท่ามกลางสีหน้าหลากหลายอารมณ์ของคนฟัง “เป็นไง อย่างกับรักแรกพบในละครเลยใช่ไหมครับ” “ตกลงมันเรื่องของฉันหรือว่าของแกกันแน่ไอ้คราม” เจ้าของเรื่องประชดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ในขณะที่คนถูกว่าก็ไม่ได้สลดเลยสักนิด