บทที่ 5
“ใจลอยไปถึงไหนแล้วแม่คุณ” ถึงเวลาเลิกงานพริมรตาก็เดินเข้ามาหาเพื่อนที่โต๊ะทำงาน ด้วยตนนั้นอยู่กันคนละแผนก
“อื้อ! เปล่าซะหน่อย” แวววิวาห์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบปฏิเสธด้วยไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าตนกำลังเผชิญกับเรื่องอะไร ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนบ่นหูชาไปอีกหลายวัน
“เปล่าอะไร ก็เห็นๆ อยู่ว่าแกนั่งใจลอย ว่าแต่เมื่อคืนทำไมนอนเร็วจัง ฉันไปเคาะที่ห้องแกก็ไม่เปิด โทรไปแกก็ปิดเครื่อง โทรไปถามไอศิ มันก็บอกว่าไม่รู้ ตกลงแกเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า” พริมรตาสงสัยแกมเป็นห่วง
“ปะเปล่า ไม่ได้เป็นอะไร กลับกันเลยไหม ฉันเก็บของเสร็จแล้ว” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ไอ้การรีบเก็บของจนดูลนลานมันก็ดูน่าสงสัยในสายตาคนช่างสังเกตอย่างพริมรตา
“ดูแกเครียดๆ นะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า หรือมีเรื่องอะไรที่ฉันยังไม่รู้” สายตาคาดคั้นของพริมรตาทำเอาเธอถึงขึ้นต้องกลืนน้ำลาย
“มะไม่มีนี่” เธอปฏิเสธเสียงสูง
“แกกับฉันเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ววา แกเคยปิดบังอะไรฉันได้ด้วยเหรอ” นั่นสินะ เธอคงเป็นคนเดียวในกลุ่มกระมังที่เก็บความลับไม่อยู่ โกหกก็ไม่เก่ง โกหกทีไรโดนเพื่อนจับได้ทุกที
“ก็…ก็…ก็เรื่องแม่กับยายอย่างที่แกรู้นั่นแหละ” เธอพยายามบ่ายเบี่ยง
“แต่เท่าที่รู้ ก็ไม่เห็นว่าแกจะเคยเครียดแบบนี้นี่ ฉันว่าคราวนี้มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น” พริมรตายังพยายามจับผิด
“ก็ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ไง โอ๊ย! แล้วนี่แกจะคาดคั้นอะไรฉันนักหนาเนี่ย” แวววิวาห์โวยลั่น เมื่อใกล้จะหมดหนทางที่จะบ่ายเบี่ยงเข้าไปทุกที
“เพราะแกเป็นเพื่อนฉันไง ถ้าการที่เพื่อนเป็นห่วงเพื่อนมันผิด งั้นฉันจะไม่คาดคั้นแกอีก” พูดจบพริมรตาก็เดินห่างออกไป แต่ยังไม่ทันไรก็ต้องหยุดอีก
“โอเคๆ ฉันยอมแล้ว แกอยากคาดคั้นอะไรแกว่ามาเลย ฉันยอม” แวววิวาห์ยกมือยอมแพ้ราวกับประชด แต่มันกลับทำให้เพื่อนยิ้มพอใจ
“งั้นเล่ามา” พริมรตาหันกลับมาแล้วก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ อย่างเอาจริงเอาจัง โชคดีว่าตอนนี้ทั้งแผนกมีแค่พวกเธอสองคน เพราะคนอื่นพากันกลับหมดแล้ว
“ก็แม่กับยายน่ะสิบังคับให้ฉันแต่งงาน”
“เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว แกบ่นให้ฉันฟังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เอาที่มันอัพเดทกว่านี้หน่อย”
“แต่ครั้งนี้แม่เขาเตรียมเจ้าบ่าวไว้ให้เลยนะเว้ย” เธอพยายามชี้ชวนให้เพื่อนเห็นว่านี่คือปัญหาใหญ่
“แล้ว?” พริมรตาหรี่ตาถาม
“แล้วฉันก็บ่ายเบี่ยงเหมือนทุกครั้งไม่ได้แล้วไง”
“แล้ว?”
“โอ๊ย! แกพูดคำอื่นไม่เป็นแล้วรึไง” แวววิวาห์เริ่มหัวเสียกับคำถามเดิมๆ ของเพื่อน แน่นอนว่าเธอกำลังจะจนมุม แทบไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เพราะพูดอะไรไป อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะจับทางได้ทุกครั้ง
“เพราะฉันรู้ไงว่าคนอย่างแกไม่ยอมให้แม่กับยายคลุมถุงชนง่ายๆ หรอก แกต้องหาทางปฏิเสธจนได้ แล้วไอ้ทางที่ว่านั่นแหละที่ฉันอยากรู้ แกคิดจะทำอะไร” นั่นไง จับทางถูกจริงๆ ด้วย
“ฉัน…คือฉัน…” คนถูกรู้ทันถึงกับอึกอักไปไม่เป็น
“แกมีอะไรปิดบังฉันรึเปล่าวา แกรู้ใช่ไหมว่าฉันมารู้เองทีหลัง ฉันจะรู้สึกยังไง” พริมรตายื่นหน้าเข้ามาคาดคั้นใกล้ๆ
“โอ๊ย! แกกำลังกดดันฉันนะพรีม คือฉันไม่ได้อยากปิดบังแก แต่ฉันแค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนไง” แวววิวาห์หน้าเครียดประหนึ่งกำลังจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ
“ฉันไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของแก แกก็รู้ว่าฉันไม่เคยยุ่งเรื่องของใคร แต่แกคือเพื่อน เพื่อนที่ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราจะไม่ทิ้งกัน กลับกันถ้าแกเห็นฉันทุกข์ แกจะวางเฉยได้ไหม ฉันไม่ได้อยู่กับแกเฉพาะเวลาที่แกมีความสุข แต่เวลาที่แกทุกข์ฉันก็อยากแบ่งเบา อย่างน้อยให้ฉันเป็นที่ระบายให้แกก็ยังดี บางทีถ้าเราช่วยกันคิดช่วยกันแก้ อะไรๆ มันอาจจะดีกว่าการที่แกฝืนแบกทั้งหมดเอาไว้คนเดียวก็ได้” แวววิวาห์ได้ฟังถึงกับนัยน์ตาแดงก่ำ
“คือฉัน…ฉันไปมีอะไรกับผู้ชายเมื่อคืนนี้ ฉันไม่ได้นอนอยู่ในห้อง ฉันโกหกแก ฉันขอโทษ ฮือๆๆ” แวววิวาห์โพล่งออกมาในที่สุด
“เมื่อคืนฉันเมามาก ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป ฉันมันแย่มากใช่ไหม ฉันมันผู้หญิงไม่ดี ด่าฉันสิ ด่าฉันเลย ด่าให้แรงๆ ให้สมกับที่ฉันทำตัวไร้ยางอาย” หลังจากระบายออกไป คำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ราวกับทุกอย่างได้ถูกปลดล็อค
“ฉันไม่ด่าแกหรอก แค่นี้แกก็ด่าตัวเองมากพอแล้ว เราเป็นเพื่อนกันนะ ฉันรู้ว่าแกกำลังรู้สึกแย่มากๆ แล้วฉันยังจะซ้ำเติมแกได้ยังไง สู้มาช่วยกันคิดไม่ดีกว่าเหรอว่าจะเอายังไงกันต่อ” ทุกอย่างผิดคาด นอกจากจะไม่ด่า พริมรตายังให้กำลังใจจนแวววิวาห์น้ำตาไหลพราก นี่แหละมั้งเหตุผลที่ทำให้พวกเธอคบกันได้นาน
“ฮือ…! พรีม” เธอโผเข้ากอดพริมรตาอย่างหาที่พึ่ง หลังจากที่ทนนั่งเครียดอยู่คนเดียวมาทั้งวัน
“แล้วแกจะเอายังไงต่อ จะปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไป หรือจะให้ผู้ชายคนนั้นรับผิดชอบ” ถึงแม้เพื่อนจะกำลังรู้สึกแน่ แต่พริมรตาจำเป็นต้องถามต่อ
“จะรับผิดชอบได้ยังไง ในเมื่อฉันยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร” สิ้นเสียง พริมรตาถึงกับดันไหล่เพื่อนออกมามองหน้าให้ชัดๆ ทันที
“ให้ตายสิ นี่แกเมาถึงขั้นจำหน้าคนที่ตัวเองมีอะไรด้วยไม่ได้ นี่แกกินหรือแกอาบวา” ก็ว่าจะไม่บ่นแล้วเชียว แต่แบบนี้พริมรตาก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน
“ฮือๆๆ ก็ฉันนึกว่าเขาเป็นคุณภากร ฉันก็เลย ฮือๆๆ” เธอเล่าไปก็ฟูมฟายไปด้วย แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่บ่นบ้างพริมรตาคงอกแตกตาย
“อย่าบอกนะว่าแกตั้งใจไปหาคุณภากรเพื่อมีอะไรกับเขา ไอวา…แกใช้สมองส่วนไหนคิดเนี่ย”
สายของอีกวันที่เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเมื่อยขบ ราวกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก แต่มันก็หนักจริงๆ นั่นแหละ เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะได้ก้าวออกจากห้องน้ำ ก็กินเวลาไปโข นับว่ายังโชคดีที่ไม่เป็นปอดบวมตายไปซะก่อน แต่เชื่อเถอะ ต่อให้หนาวแค่ไหน เขาก็สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นร้อนระอุได้ไม่ยาก พอนึกมาถึงตรงนี้ เธอก็ร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างไม่ได้ “ไม่ๆๆ ห้ามคิดเด็ดขาด” เธอส่ายหน้าขับไล่ความคิดหื่นห่ามพวกนั้นออกไป แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งห้ามภาพเมื่อคืนก็ยิ่งฉายชัด ก็ห้องน้ำของคุณเขาน่ะสิดันมีกระจกรอบด้าน (ไม่รู้จะเอาไว้ส่องอะไรนักหนา) ภาพร่วมรักระหว่างเขาและเธอจึงฉายชัดเต็มสองตา ทั้งตอนที่สะโพกสอบกำลังขยับโยกโก่งก้นใส่เธอแรงๆ ตอนที่เธอต้องเอามือยันไว้ที่กระจก เพื่อให้เขาเข้าหาจากทางด้านหลัง หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าขาเพื่อโรมรันกุหลาบแรกแย้มของเธออย่างเอาเป็นเอาตาย และทั้งหมดทั้งมวลนี้นั้นก็เป็นเพราะเขาหื่นห่ามและตะกละตะกลาม ครั้นพอนึกถึงความหื่นของเจ้าของห้อง เธอก็อดที่จะมองหาไม่ได้ กระทั่งพบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่เขาติดเอาไว้บนหัวเตียง เธอรีบดึงมันออกมาอ่าน “
กระทั่งเมื่อขาทั้งสองข้างหยุด เขาก็หันมาขยับอย่างอื่นแทน สะโพกผายถูกยกเผยอตั้งรับ สะโพกสอบจึงขยับส่งมอบตัวตนทั้งหมดที่มีเข้าออกรัวเร็ว ประหนึ่งความอดทนอดกลั้นทั้งหมดสะบั้นลง ไม่มีแล้วความเนิบนาบ มีแต่ความแข็งกร้าวที่กำลังตอกอัดดุดัน เนินสาวถูกกระแทกกระทั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ต่างฝ่ายต่างสัมผัสถึงเนื้อแท้ของกันและกัน เล็บคมยังคงจิกลงบนไหล่ผาย แต่กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกได้เท่ากับความเสียดเสียวจากเนินสาวอวบอูมที่กำลังโอบรัดตัวตนเขาอยู่“มะไม่ไหวแล้ว” เธอบอกเสียงกระท่อนกระแท่น พลางส่ายหัวไปมาจนเส้นผมปลิวไสว ช่างเป็นภาพที่ยั่วกิเลสจนเขาต้องกัดฟันกรอด ข่มกลั้นความกำหนัดที่กำลังพลุ่งพล่านไม่ให้มันระเบิดออกมาซะก่อน เขาจำต้องถอดถอนตัวตนออกมาเพื่อคลายความเสียวซ่านที่กำลังร้อนระอุ ก่อนจะยกกายสาวให้เป็นฝ่ายสวมครอบท่อนเอ็นลำใหญ่ที่กำลังดีดเด้งซ้ำๆ เขาทำราวกับว่าเธอไร้น้ำหนัก ที่สามารถยกขึ้นๆ ลงๆ ได้ตามอำเภอใจ ในขณะที่เธอก็กำลังหวีดร้องกับท่วงท่าที่ทั้งเจ็บทั้งจุกจากขนาดมหึมาของเขา แต่ท่อนเนื้อที่กำลังเสียดสีก็ทำเธอเสียดเสียวได้ในเวลาเดียวกันกระทั่งเธอถูกวางลงบนที่นอนหนานุ่ม ตอนนั้นเธอถึงได้รู้
ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการโรมรันเนินสาวสะคราญ เธอเองก็ค่อยๆ ดึงตัวขึ้นมามองศีรษะที่กำลังขยับอยู่กลางกายสาวนัยน์ตาปรือปรอย เธอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงกำลังหดหาย ประหนึ่งถูกเขาดูดกลืนไป แต่ถ้าจะให้หยุดตอนนี้ เธอคงแทบขาดใจตาย เช่นเดียวกับเขาที่ทำราวกับว่าอดอยากมาเป็นแรมปี และเธอคืออาหารอันโอชะที่เขาจะต้องกลืนกินไม่ให้เหลือ “ฉะฉันไม่ไหว” เธอกัดฟันบอกเสียงกระท่อนกระแท่นเต็มที “ไม่ไหวก็ไม่ต้องทน” สิ้นเสียงเขาก็ก้มลงไปอีกครั้ง พร้อมทั้งส่งนิ้วจุ่มจ่อมจนลึกสุดโคน ก่อนจะขยับเป็นจังหวะเดียวกันกับเรียวลิ้นร้ายกาจ กายสาวที่กำลังหดเกร็งรุนแรงตอดรัดตลอดนิ้วเรียวจนเขาเจียนคลั่ง อยากจะส่งดุ้นยักษ์ของตัวเองเข้าไปแทนที่ซะเดี๋ยวนี้ แต่ยังก่อน เขายังอยากยืดเวลาแห่งความสุขให้นานกว่านี้ เมื่อยังส่งดุ้นยักษ์เข้าไปไม่ได้ นิ้วเรียวจึงต้องทำหน้าที่บรรเลงความหฤหรรษ์ต่อไป จนกว่าเธอจะได้เรียนรู้บทเรียนแรก ขณะที่นิ้วเรียวกำลังขยับเข้าออก ริมฝีปากเขาก็กำลังโรมรันติ่งสยิว ด้วยการดูดเม้มสลับตวัดไปมา กระทั่งกายสาวเกร็งกระตุก ส่งสัญญาณว่าเธอเรียนสำเร็จไปขั้นนึงแล้ว แต่นี่แค่จุดเริ่มต้น ถึงเวลาที่
“ชาติ” เขาตอบสั้นๆ พลางยกนมขึ้นดื่มอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้นมในแก้วกระฉอกออกมาเลอะที่เสื้อ “บ้าเอ๊ย!” เขาสบถอย่างหงุดหงิด พลางถอดเสื้อที่เลอะออก เผยมัดกล้ามเป็นลอนสวยงามให้คนมองถึงกับลอบกลืนน้ำลาย ครั้นพอเจ้าของกล้ามหันมามอง เธอจึงรีบแก้เก้อด้วยการยกนมในมือขึ้นดื่มบ้าง แต่เพราะลนลานเกินไป นมจึงหกเลอะที่เสื้อเธอด้วยอีกคน แล้วหกตรงไหนไม่หก ดันหกเลอะนมสดๆ ของเธอ แล้วที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้น เธอดันไม่ได้ใส่เสื้อชั้นในออกมา ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าดึกป่านนี้ เขาจะยังไม่หลับไม่นอน ทันทีที่รู้ตัว เธอก็พยายามจะหาอะไรมาเช็ด แต่ก็ช้ากว่าคนที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มแทบกระโจนเข้าหา ก่อนจะเม้มปากสลับงาบงับอกอวบตูมเต่งที่กำลังดุนดันเสื้อเชิ้ตราวกับคนหิวกระหาย รอยเปียกทำให้เขาเห็นส่วนยอดที่กำลังชูชันชัดเจน จนอดไม่ได้ที่ะสัมผัสมันอย่างตะกรุมตะกราม “อื้อ…! ยะอย่าค่ะ อ๊ะ!” เธอพยายามห้าม แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงครางน่าอาย เมื่อเขาเอาแต่ตะโบมจูบดูดเม้มอกอูมตูมเต่งของเธอราวอดอยากมาเป็นแรมปี ถึงแม้จะยังมีเสื้อเชิ้ตกางกั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเสียวซ่านน้อยลงเลย “อ
หลังจากแยกกับอรอินทร์ไป เขาก็กลับมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทีเกิดขึ้นตามลำพัง เขานั่งอยู่ในมุมมืดๆนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นแวววิวาห์เปิดประตูออกมา ดูจากสภาพแล้วก็เดาว่าเธอน่าจะอาบน้ำและเตรียมเข้านอนแล้ว แต่แทนที่เธอจะอยู่ในชุดนอนบางเบาที่เขาให้คนจัดเตรียมไว้ให้ เธอกลับเลือกที่จะหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ ของเขามาใส่ และเขาก็เพิ่งรู้วันนี้เอง ว่าเสื้อเชิ้ตแค่ตัวเดียว กลับทำให้เธอดูมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย และเธอกำลังตกเป็นเป้าสายตาของเสือร้ายอย่างเขาโดยไม่รู้ตัว เธอเดินตรงไปยังโซนห้องครัวเพราะคิดว่าเจ้าของห้องน่าจะหลับไปแล้ว ความจริงเธอเองก็ควรจะหลับไปแล้วด้วยเหมือนกัน ถ้าท้องเธอมันไม่ร้องประท้วงอยากได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสักชามสองชามขึ้นมาซะก่อน เธอคงนอนหลับสบายบนเตียงนุ่มๆ ไปแล้ว คงเป็นเพราะเธอใช้ความคิดเยอะไปกระมัง มื้อเย็นที่กินเข้าไปก็เลยถูกย่อยจนหมด คนที่นั่งอยู่ในมุมมืดเห็นทุกอากัปกิริยาของเธออย่างชัดเจน เขาเฝ้ามองเธอด้วยความรู้สึกสับสน ใช่! เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันดำเนินมาไกลถึงขนาดนี้ และคนที่เสี
“แทนที่จะนั่งกินที่ร้านสบายๆ ซื้อกลับมากินที่บ้านให้มันวุ่นวายทำไม แล้วกินแค่นี้มันจะไปอิ่มได้ยังไง” เขาบ่นอุบเมื่อเธอเลือกที่จะซื้ออาหารกลับมากินที่ห้อง แทนที่จะนั่งกินที่ร้านตามที่เขาบอก “ก็ฉันเป็นห่วงงาน กลัวทำไม่คุ้มค่าจ้างที่คุณจ่ายไง” พูดจบเธอก็ตักข้าวเข้าปาก ก่อนจะหันมาพิมพ์งานในแล็ปท็อปต่อ “กินข้าวให้เสร็จก่อนแวววิวาห์” เขาเตือน แต่เธอกลับยังกินข้าวไป ทำงานไปเหมือนเดิม จนเขาต้องเสียงเข้มขึ้น “แวววิวาห์” “ก็ได้ค่ะ” เสียงเข้มๆ กับสายตาดุๆ ของเขาทำให้เธอจำต้องวางมือจากงาน แล้วหันมาทานข้าวให้เป็นกิจลักษณะ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เธอรีบกินยิ่งกว่าเดิม “นี่! ทำไมต้องรีบกินขนาดนั้น เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก” เห็นเธอตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่าแบบไม่พัก เขาจึงต้องรีบทักท้วง “คือว่าตอนนี้สมองฉันมันกำลังแล่น ถ้าไม่รีบ ฉันกลัวว่าฉันจะลืมน่ะค่ะ ฉันอิ่มแล้วค่ะ” เธอบอกพลางรวบช้อนวาง ก่อนดื่มน้ำตาม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย “ทำไมต้องกลัว ในเมื่อมีฉันอยู่ตรงนี้ด้วยทั้งคน ถ้าเธอติดหรือสงสัยตรงไหน ก็แค่ถามฉัน อย่าลืมสิว่าโปรเจคนี้เธอไม่ได้ทำคนเดียว แต
“ขอโทษนะ” พูดจบเขาก็แก้เก้อด้วยการหันไปอีกทาง ทำเธอแอบยิ้มขันกับท่าทีของเขา แม้จะเป็นแค่คำพูดสั้นๆ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ “ไม่ยกโทษให้ จนกว่า…จะเปิดประตูให้ค่ะ” เธอเดินอ้อมไปยื่นข้อเสนอตรงหน้าเขา “ทำไมต้องเปิด” เขาเสียงเข้มขึ้นมาอีก “ก็ถ้าไม่เปิด แล้วเพื่อนฉันจะเข้ามายังไงล่ะคะท่านประธาน” เหตุผลของเธอทำเขาหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ จนเธอนึกหวาดระแวง “อยากได้ก็ล้วงเองสิ” เขาเอียงด้านข้างให้เธอล้วงกระเป๋ากางเกง “อย่านึกนะว่าฉันไม่กล้า” ว่าแล้วเธอก็ล้วงหมับเข้าไปทันที แต่เพราะกางเกงพอดีตัวของเขา มันเลยทำให้ล้วงค่อนข้างลำบาก อีกทั้งมันก็ใกล้กับอะไรบางอย่าง เธอจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง “ล้วงลึกขนาดนี้ ฉันชักอยากจ่ายแสนนึงแล้วสิ” ได้ยินแบบนี้ เธอถึงกับต้องรีบชักมือออก ราวต้องของร้อน “ไม่เห็นจะมีเลย คุณหลอกฉันรึเปล่าเนี่ย” เธอทำหน้าหงิกงอ “มันจะมีได้ยังไง ในเมื่อเธอล้วงผิดข้าง” เธอกัดฟันกรอดพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง ไม่นึกว่านอกจากจะร้ายกาจแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังเจ้าเล่ห์สุดๆ อีกด้วย แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้เธอไม่ต้องล้
พอถึงเวลาเลิกงาน เธอก็รีบเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่นั่งตูมอยู่นานสองนาน “ท่านประธานคะ ช่วยเปิดประตูให้ดิฉันด้วยค่ะ” เธอหันมาค้อมศีรษะพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ใช่! เธอกำลังอารมณ์ดีที่จะได้อิสรภาพกลับคืนมา อย่างน้อยช่วงเวลาเลิกงานก็เป็นเวลาที่เธอมีอิสระเต็มที่ “ไม่ได้ยินที่ฉันคุยกับเธียรชัยรึไง เธอจะต้องอยู่ทำงานกับฉัน จนกว่างานของเราจะเสร็จสมบูรณ์” ได้ฟัง หัวคิ้วของเธอขมวดมุ่น “แต่นี่มันนอกเวลางานแล้วนะคะ ฉันก็ต้องมีเวลาส่วนตัวของฉันบ้างสิ อีกอย่างคุณใช้งานฉันเกินเวลา มันผิดกฎหมายแรงงานนะคุณ” “จะผิดได้ยังไงในเมื่อฉันจ่าค่าล่วงเวลาให้เธอเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ไม่เชื่อก็ลองดูสิ” เขาบุ้ยปากไปทางกระเป๋าสะพายที่เธอถืออยู่ จนเธอจำต้องล้วงมือถือออกมาดูอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อจะพบกับจำนวนเงินหนึ่งหมื่นบาทที่ลอยมาเข้าบัญชีแล้ว “ค่าล่วงเวลาในแต่ละวันที่เธอจะได้รับ” แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้มันสูงและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย มันจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะลังเล แต่ถ้าต้องแลกมาด้วยอิสรภาพ เธอขอเลือก…เงินดีกว่า เอ๊ย! เลือกอิสรภาพดีกว่า อย่างน้อยตัวเธอ
“ก็ได้ งั้นฉันก็มีสิทธิ์ที่จะถามเหมือนกัน ว่าคุณให้คนขนของฉันขึ้นมาทำไม” เธอพยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้ฉุนเฉียวมากเกินไป “จากนี้ไปเธอจะต้องย้ายมามาทำงานที่นี่ จนกว่างานของเราจะจบ” “เพื่ออะไรเนี่ย ในเมื่ออยู่ที่ไหน ฉันก็ทำให้งานคุณได้เหมือนๆ กัน” เธอทำหน้ายุ่งๆ พยายามต่อรองเพื่อขอคืนอิสรภาพของตัวเอง “ก็…ก็เพื่อความลับที่ฉันบอกไง อย่าลืมสิ ว่าเรื่องโปรเจคนี้มีแค่เธอกับฉันที่รู้” เขาอึกอัก ก่อนจะยกเหตุผลนี่มาอ้าง “แต่ถึงฉันกลับไปทำที่แผนก ฉันก็ยังเก็บเป็นความลับได้นี่คะ” “ไม่ล่ะ ฉันไม่ไว้ใจใคร ทุกอย่างต้องอยู่ในสายตาฉันเท่านั้น เธอเองก็เหมือนกัน” เขาเผลอพูดในสิ่งที่คิด “ฉัน? ทำไมฉันต้องอยู่ในสายตาคุณ” เธอชี้มาที่ตัวเอง “ก็…ก็เธอกุมความลับของฉันไว้ไง เอาล่ะๆ มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ จะรอให้งานมันท่วมหัวก่อนรึไง” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะเขาเองก็เริ่มหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้แล้วเหมือนกันว่า…ทำไม ห้องทั้งห้องถูกความเงียบเข้าปกคลุม เมื่อคนในห้องต่างคนต่างจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาที่กำลังสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่