“ท่านประธานมาแล้ว เสียงของพนักงานคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ระหว่างที่กำลังนั่งรอให้ครบองค์ประชุม เรียกได้ว่าทุกคนพร้อมแล้วเหลือแต่เจ้านายที่เพิ่งมาถึง และเมื่อส่งสัญญาณ ผู้บริหารและพนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมก็ลุกขึ้นเพื่อต้อนรับเจ้านาย จังหวะเดียวกันนั้นเจ้านาย หรือทุกคนเรียกติดปากว่าท่านประธานก็เดินดุ่มๆ เข้ามาทางประตูด้านหน้าซึ่งตรงกับหัวโต๊ะพอดี สีหน้าเขาเคร่งเครียด หงุดหงิด เหมือนพร้อมจะเหวี่ยงตลอดเวลาทำให้ทุกคนไม่กล้ามองหน้าได้แต่กล่าวทักทาย
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ” ทุกคนกล่าวทักทายพร้อมกัน “สวัสดีครับ ขอโทษที่ทำให้รอนาน Accident นิดหน่อย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เรียบที่สุด ทว่าปิดไม่มิดด้วยแววตาและสีหน้าที่หงุดหงิดเอามากๆ “Accident เหรอครับ เกิดอะไรขึ้นครับ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ก้องการุณผู้ช่วยคนสนิทถามขึ้น “เปล่า แค่พูดเปรียบเทียบน่ะ เราประชุมกันเถอะ” “เอ่อ ท่านมีอะไรกังวลใจครับ ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อน แล้วนี่เสื้อสูทไปเปื้อนอะไรมาครับ เหมือนโคลนน่ะ” ก้องการุณถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน “ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยจัดการ จริงๆ งานประชุมวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเครียด แต่ผมมีเรื่องรบกวนใจนิดหน่อย ถ้าแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมา เตือนผมด้วยก็แล้วกันครับ” “จะพักก่อนก็ได้นะครับท่าน” ผู้บริหารคนหนึ่งบอก “ไม่ มันได้เริ่มแล้ว ผมไม่มีปัญหาอะไร ไม่อยากเสียเวลา เอ่อ วันนี้มีอะไรจะรายงานผมบอกได้เลย” “จะว่าไม่มีเรื่องเครียดก็ดูจะแปลก แต่ผมขออนุญาตแจ้งว่า เรื่องสร้างเฟตใหม่ทางผู้รับเหมา ขอขยายเวลาทำงาน และขยายเวลาส่งมอบออกไปอีกสักหกเดือนครับท่าน คือเสร็จไม่ทันกำหนด” ผู้จัดการคนหนึ่งอธิบายขึ้น “หกเดือน! ก็รู้ว่ามันไม่ได้ มีการผิดสัญญา มีการฟ้องร้อง พร้อมจ่ายไหมล่ะ แล้วทำไมต้องขอขยายเวลา” ตฤณพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “คือ จากที่ทางผู้รับเหมาได้เปลี่ยนบริษัทจัดซื้ออุปกรณ์และสั่งไป ผมได้ตรวจสอบด้วยพบว่าของไม่ได้มาตราฐานเหมือนเมื่อก่อนเลย ลดเกรด กลัวจะสร้างความเสียหายระยะยาว เลยจะขอเปลี่ยนกลับไปใช้บริษัทใหม่ ซึ่งมันต้องใช้เวลานิดหน่อยครับ” “ทำไมต้องทำอะไรให้มันเสียเวลาหลายขั้นตอน ไม่เข้าใจ มันเสียหายไปถึงลูกค้าของเรา ที่เขาจองจนเต็มแล้ว ผมจะบอกเขาว่ายังไง หืม เฮ้อ! บอกบริษัทผู้รับเหมาแก้ไขปัญหาของตัวเองและจ่ายค่าเสียหาย ส่วนปัญหาของเราคือลูกค้า ให้ฝ่ายขายไปจัดการ” ท่านประธานหนุ่มบอกเสียงเรียบผิดวิสัย เพราะปกติจะหงุดหงิดกับเรื่องแบบนี้มากพอสมควร “เอ่อ ดูท่านจะเออออง่ายนะครับ ดูแปลกๆ ปกติพวกเราโดนด่าแล้วนะเนี่ย” ก้องการุณถามด้วยความสงสัย “นั่นน่ะสิ ไม่ดีเหรอ เขามีปัญหาอะไรให้เขาจัดการกันเอง ไม่เกี่ยวกับเรา ส่วนเราทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าพอใจ รับบ้านช้าก็ว่าน่าหงุดหงิดพอแล้ว หาอะไรแถมๆ เขาไป” “แถมเหรอครับ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน “ตกใจอะไรกัน” “แถมสมาชิกสปอร์ตคลับสักปี อะไรก็ว่าไปครับ ไม่ได้ซื้อ 1 หลังแถม 1 หลัง คิดอะไรกัน” “ก็ปกติคุณท่านไม่ใจดีแบบนี้ วันนี้มาแปลก ไหนบอกว่าหงุดหงิดกับบางเรื่อง” ก้องการุณบอกอีกครั้ง “ไม่รู้สิ ผมพูดอะไรก็อัดคลิปไว้ด้วย เผื่อผมลืม เอ่อคุณ... คุณเปี๊ยก หัวหน้าฝ่ายบุคคล ผมให้เวลาหาเลขาผู้หญิงให้ผมสองเดือนแล้ว ได้เรื่องหรือยังครับ” ประธานหนุ่มไล่ถามไปเรื่อย จะได้เคลียร์กันไป “เอ่อ ได้แล้วค่ะท่าน นัดมาวันนี้ แต่เปี๊ยกขอสัมภาษณ์ก่อนแล้วค่อยให้ท่านสัมภาษณ์ต่อ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลวัยเดียวกับเจ้านายตอบ “ทำไมต้องให้ผมสัมภาษณ์ต่อ รับหรือไม่รับก็ตัดสินใจไปเลยไม่ได้เหรอครับ” “ก็ นี่เป็นเลขาท่าน ถึงเปี๊ยกรับตรงสเปก ท่านอาจจะไม่รับ แต่เห็นว่าโปร์โฟล์โอเค เลยอยากให้ท่านเห็นด้วยและรับทราบค่ะ” “ผมมีเวลาให้ครึ่งชั่วโมงไม่เกินกว่านั้น ถ้าผมไม่รับก็จะหาใหม่ใช่ไหม” “ก็ทำนองนั้นค่ะ ต้องให้ท่านพอใจด้วย” “เฮ้อ! ปวดหัวจริง มีอะไรรายงานผมอีกไหม” “เรื่องสำคัญก็จะมีเรื่องเลื่อนรับมอบงานนั่นแหละครับ ต้องลงรายละเอียด อีกเรื่องก็ผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ครับ” “หนึ่งชม.นับจากนี้ เริ่มเลย” ตฤณบอกกับทุกคนด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายขึ้น จากความหงุดหงิดใจที่เกิดจากอุบัติเหตุแบบไม่คาดฝันเมื่อเช้า มาจนถึงที่ทำงาน พาลให้เขาหน้าบึ้งไม่พูดคุยอะไรกับใคร แต่พยายามที่จะไม่เหวี่ยงเพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เวลาจริงจังก็คือจริงจังแบบไม่ซีเรียส ไม่ชอบชวนลูกน้องทะเลาะและไม่ชอบสร้างบรรยากาศมาคุในบริษัทนี่แหละเขา ตฤณ ศิริทรัพย์ ประธานหนุ่มรูปหล่อ วัย 37 ปี เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีรายได้ติด Top 10 ของเมืองไทย เขาเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่เอาจริงเอาจังเวลาทำงาน หลังจากนั้นเขาก็ผ่อนคลายไม่เคร่งเครียดจึงเป็นที่รักของพนักงานทุกคน เวลาอารมณ์ดีเขากวนประสาทลูกน้องเก่งด้วยซ้ำ แต่มีนิสัยเสียอย่างคือ ด้วยความที่เป็นคนรวยมาก มักใช้เงินแก้ปัญหาจนเกิดปัญหาบ้างก็มี อยากได้อะไรต้องได้ทันทีทันใด เอาแต่ใจกับบางเรื่อง สั่งปุ๊บได้ปั๊บ เงินถึง เงินพร้อม บางคนที่ไม่รู้จักก็จะพูดง่ายๆ ว่าชอบเอาเงินฟาดหัวนี่เอง อย่างเมื่อเช้านี่ไงใช้เงินแก้ปัญหา แต่ใช้ผิดคน“เฮ้อ!” ตฤณถอนหายใจพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงาน หนักๆ หลังจากออกจากห้องประชุม “วันนี้มันวันอะไร เก้าเท้าไหนออกจากบ้าน” ตฤณบ่นพลางหลับตา “ถอดเสื้อสูทก่อนดีไหมครับท่าน มีรอยโคลนน่ะ” ผู้ช่วยบอก ตฤณจึงได้ลืมตาแล้วก้มดูเสื้อสูทตัวเอง “ให้ตายสิ ซวยชิบเป๋งเลย” เขาสบถพร้อมกับถอดออกแล้วส่งให้ผู้ช่วย “เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” ผู้ช่วยรับมาไว้และมองสีหน้าเจ้านายด้วยความเป็นห่วง “เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นครับ” ผู้ช่วยถามเพราะเขาออกมาก่อนเจ้านาย “อ
“แต่ผมรับคุณ!” ตฤณตอบทันที ซึ่งตอนแรกยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกว่าจะรับหรือไม่ แต่พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ“ฉันไม่ทำ! ลาก่อน” เธอว่าก่อนจะเอี้ยวเพื่อจะเดินไปเปิดประตูห้อง ทว่าคราวนี้เขากลับเดินไปคว้าเอกสารจากเธอเอาไว้เสียดื้อๆ“ผมรับคุณ! รับเดี๋ยวนี้ด้วย” ตฤณยิ้มยียวนอีกต่างหาก “เอาคืนมา! เอกสารของฉัน” เธอเดินไปยื้อแย่ง ทว่าเขาไม่ให้แถมยังเดินกลับไปนั่งอีก “ก็คุณเป็นเลขาผม ผมต้องเก็บเอกสารไว้สิ” ตฤณหน้ามึนมาก เธอคิดพลางกัดฟัน“ฉันไม่ทำงานที่นี่ เอาเอกสารมา ฉันจะกลับ” “จะไม่ทำเหรอครับ มันมีความเสียหายเกิดขึ้นนะ ค่าเสียเวลาน่ะมันเกิดขึ้นเยอะเลย” เขาขู่ยิ้มๆ และเมื่อเธอพิจารณาดีๆ มันเสียเวลาหลายขั้นตอนจริงๆ นั่นแหละ แต่เธอจะไม่ทำงานกับคนที่เธอด่าเมื่อเช้าแน่ๆ “ฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ย” “ทำไมไม่คิดว่าตัวเองมีบุญบ้างล่ะครับ หืม ผมเป็นประธานบริษัทนะ คุณเป็นเลขาผม นับว่าบุญมาก ผมรับคนยากมากด้วย” นี่เขาชมตัวเองเหรอเนี่ย“ฉันซวยตั้งแต่เช้าเพราะคุณ”“ตอนนี้ไม่ซวยแล้วจ้ะ ผมรับคุณเข้าทำงาน ง่ายดีออกจะได้ไม่ต้องบ่น” “ฉันไม่เหมาะกับที่นี่ ฉันเรียนไม่เก่งด้วย เกรดไม่ดีไม่ได้เรื่อง”“ฮ่าๆ แต่ด่าเก่ง
“พรุ่งนี้เจอกันครับ ตรงต่อเวลาหน่อยนะ ผมไม่ชอบคนมาสาย แล้วก็... ซื้อน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋หน้าปากซอยมาฝากด้วย” เขาเอ่ยไล่หลัง ทำเอาเธอชะงักแล้วหันกลับมามอง“ฉันจะไม่มาทำงานกับคุณ จำไว้ด้วย” เธอตอบอย่างหนักแน่น แต่เขากลับยิ้มกริ่มเนี่ยนะ“เดี๋ยวคุณก็ได้มา สาวน้อย” เขาบอกพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ เท่านั้นแหละเธอก็สะบัดหน้าแล้วเดินจากไปทันที“หึหึ ซวยซ้ำซ้อนเหรอ ใครจะคิดว่าที่คุณไป คือที่นี่ เขาเรียกว่าพรหมลิขิต ก้องมานี่ซิ” ตฤณเอ่ยเรียกผู้ช่วยหนุ่ม ซึ่งโต๊ะทำงานอยู่ติดกับประตูด้านหน้า “ครับท่าน” ก้องการุณรีบเดินมาหาเจ้านายทันที “ผู้หญิงคนนั้น อยู่ซอยเดียวกับบ้านเรา ตอนนี้ให้คนตามเธอ อยากรู้ว่าจะไปไหนทำอะไรบ้าง บ้านหลังไหน ที่สำคัญโสดหรือเปล่า แต่ก็น่าจะโสดแหละไม่งั้นต้องมีแฟนมาส่ง” “เกี่ยวอะไรกับโสดหรือไม่โสดเหรอครับ” ก้องการุณถามพลางหรี่ตามอง เจ้านายหนุ่มชะงักไปนิด ก่อนจะตอบแบบยิ้มๆ “อยากได้” ตอบเสร็จเขาก็เดินกลับเข้าห้องทันที “อยากได้เหรอ ชอบผู้หญิงร้ายๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่” ก้องการุณเอ่ยเบาๆ แต่ก็ไปตามที่สั่ง ส่วนเจ้านายหนุ่มก็เดินเข้ามาในห้องทำงาน ยิ้มกริ่มแบบคนเจ้าเล่ห์ นึกถึงใบหน้
“แน่นอน” “เธอน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับท่านประธานนะคะ” “เหวี่ยงแบบไหนล่ะ” “ก็ท่านเป็นแบบนี้ไง เธอก็หัวขบถนิดๆ นะคะ เป็นตัวของตัวเอง” “ไม่นิดล่ะผมว่า มากเลยล่ะ มากแบบ มากมาก” เขาย้ำพร้อมกับชักสีหน้าในทันที “อ้าว ก็ไหนบอกว่ายังไม่ได้สัมภาษณ์อะไรมาก ทำไมถึงรู้ล่ะคะ” “ก็... ผมดูคนออกก็แล้วกันน่า”“สรุปว่ารับเธอใช่ไหมคะ เปี๊ยกจะได้ให้คนจัดโต๊ะทำงานไว้รอ” “ไม่ต้อง เรื่องจัดโต๊ะทำงาน เดี๋ยวผมจัดการเอง” “หืม เหมาะเหรอคะท่าน” “คุณบอกว่าเธอพอฟัดพอเหวี่ยงกับผม ผมก็จะจัดการเองไง เอาเบอร์มือถือมาด้วย” “โอเคค่ะ” ว่าแล้วเธอก็หยิบกระดาษโน๊ตออกมาจดเบอร์โทรศัพท์ของปั้นหยาแล้วส่งให้เขาทันที “ขอบคุณ” เขารับโน๊ตมาพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เปี๊ยกขอตัวนะคะ”“ตามสบายครับ” เมื่อเขาอนุญาต เธอก็ขอตัวออกไปทันที โดยที่ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าปั้นหยาปฏิเสธการทำงาน แต่เขาจะใช้วิธีของเขาทำให้เธอมาจนได้นั่นแหละน่า ต่อมา ทางปั้นหยาก็กลับมาถึงบ้านเช่าด้วยท่าทางอ่อนเพลีย หมดแรง ด้วยการทิ้งตัวลงบนโซฟา แต่ยังไม่ทันจะได้หายเหนื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นกริ้ง! กริ้ง! กริ้ง! เสียงโทรศัพท์มือถือ
ขณะที่ปั้นหยากำลังยืนมองบ้านแต่ละหลังอย่างเพลินๆ อยู่นั้น จังหวะเอี้ยวตัว ก็ต้องตกใจเมื่อมีรถเก๋งสีดำจอดอยู่นิ่งๆ มองไม่ออกว่าคนในรถคือใคร แต่คนในรถมองมาที่เธอ เท่านั้นแหละความกลัวก็แล่นจับใจ จนต้องรีบกลับเข้าบ้านปิดประตูรั้วทันที แล้วแอบมองผ่านหน้าต่าง ซึ่งยังเห็นว่ารถจอดอยู่ “มองมาในบ้านด้วย” ปั้นหยาตกใจ ก่อนจะหลบหน้าเข้าไปดังเดิม พร้อมกับปิดผ้าม่าน“เขามาหาเพื่อนมั้ง อย่าคิดมาก” ปั้นหยาปลอบใจตัวเอง จากนั้นจึงเข้าห้องแล้วจัดการธุระส่วนตัวในทันที เพื่อจะได้ลืมๆ เรื่องวันนี้ ส่วนคนที่มาทำให้ปั้นหยากลัวนั้น ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอเห็นหรือเปล่า แต่เท่าที่สังเกตเธอน่าจะรู้ตัว แต่คงไม่เห็นหน้ากัน พอสืบอะไรได้นิดหน่อยแล้วก็กลับบริษัทเพื่อไปรายงานความคืบหน้ากับเจ้านายแสนเจ้าเล่ห์ ตกเย็นในวันเดียวกัน เป็นเวลาเลิกงานของท่านประธานอย่างตฤณ แต่ยังไม่กลับบ้านเสียทีเดียว เขาแวะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส พร้อมกับพบปะเพื่อนๆ เพื่อพูดคุยไปด้วยตามประสานักธุรกิจพันล้าน ตุบตับ! ตุบตับ! ตุบตับ! เสียงหมัดหนักๆ ของตฤณ รัวใสกระสอบทรายไม่ยั้ง ตามด้วยเสียงหอบหายใจ กระสอบทรายขนาดใหญ่เหวี่ยงไปมาตามการรัวหมัดเป็น
“คนนี้ข้าจอง” ตฤณบอกเสียงเข้ม“อะไรนะ! แกจะจองพนักงานสาวทุกคนไม่ได้” “ข้าจองคนนี้ มีอะไรป่ะ แล้วไม่เคยจองพนักงานโว๊ย บ้าเหรอ” “ทำเสียงดุ! ทำเสียงดุ! ชักอยากจะเห็นจริงๆ แล้วสิ ว่าแต่อายุเท่าไหร่ จบอะไรมา มาสมัครงานกับแกได้ยังไง แล้วชอบตั้งแต่แว๊บแรกเลยเหรอวะ” “อยากรู้อยากเห็นนะเราน่ะ” ตฤณว่าให้เพื่อนอีกครั้ง“อย่ามาชักสีหน้าเคร่งน่า หวงเหรอ ไม่เอาก็ได้ แต่บอกมา” “พรหมลิขิตมั้ง” “โว้วววว” เสียงเพื่อนๆ ในยิมโห่แซวขึ้นมาอีกแล้ว เรียกว่าหมั่นไส้จะดีกว่า“อะไร! ทุกคนไม่รู้จักพรหมลิขิตหรือบุพเพสันนิวาสเหรอ รักแรกพบไรงี้” “เว่อร์มากไอ้ตฤณ ไม่ใช่รักแรกพบหรอก แต่คนอย่างแก พวกเอาแต่ใจ คนไหนสวยก็จะจองเลยไม่ให้ใครมาตัดหน้า” “เอ่อ ฉันจะเอาคนนี้ อย่ามายุ่ง” “ว่าแต่ชื่ออะไรวะ บอกหน่อยสิ สัญญาไม่ยุ่ง” “ชื่อคุณหยาครับ ชื่อจริงปั้นหยา” ผู้ช่วยแทรกขึ้นอีก“ชื่อน่ารักอะไรอย่างงี้ ตัวจริงก็ต้องน่ารักแหงๆ” “ไม่! ไม่น่ารัก! ด่าเก่งมาก” ตฤณโผลงออกมาด้วยความลืมตัว เพราะเขายังจำเรื่องเมื่อเช้าได้ เธอด่าไฟแลบมาก “อะไร ได้ด่ากันแล้วเหรอ” “ก็... เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ฉันเห็นเธอด่าคนอื่นน่ะ” พอได้สติตฤณก็ร
“เป็นเพราะบ้านเราอยู่ช่วงต้นซอย ออกจากบ้านคือไปทำงานอย่างเดียว เราไม่มีเวลาได้ขับชมบ้านเรือนคนขนาดนี้เลยครับ” “เอ๊ะ! เดี๋ยว หลังนี้คล้ายๆ กับที่บอกเลย ชะลอชะลอ” ตฤณบอกด้วยความตื่นเต้น พลางขยับตัวชิดประตู “มีไฟเปิดอยู่ จุดสังเกตมีดอกไม้สีเหลืองอยู่ริมรั้ว ดอกอะไรจำไม่ได้ น่าจะใช่นะ” “ถ้าเป็นบ้านเธอจริง น่าจะอยู่คนเดียวนะครับเนี่ย” “น่าจะเป็นสาวเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ แต่ว่าบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็มีคนอยู่นี่ ไม่เหงา ไม่เปลี่ยวแต่ว่า... น่าห่วง” คำสุดท้ายตฤณเอ่ยเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดหมายเลข “จอดตรงนี้ก่อน” ตฤณบอกระหว่างรอสายกริ้ง! กริ้ง! กริ้ง! เสียงโทรศัพท์ของอีกฝั่งหนึ่งดังขึ้น ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังนั่งกินต้มบะหมี่เพียงลำพัง โทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะขวามือ ทั้งส่งเสียงและสั่นจนเธอวางมือจากชามบะหมี่แล้วหันไปหยิบขึ้นมาดูเบอร์ “ใครอ่ะ” ปั้นหยาเอ่ยลอยๆ แต่ก็ต้องรับสายเพราะคนรู้จักอาจมีธุระก็เป็นได้“สวัสดีค่ะ” เธอกดรับสายพร้อมกับทักทายน้ำเสียงสุภาพ ทว่าปลายสายกลับเงียบกริบ “สวัสดีค่ะ ได้ยินไหมคะเนี่ย” เธอถามอีกครั้ง“ได้ยินครับ” ตฤณตอบกลับเสียงสดใส พร้อมกับรอยยิ้มผุดขึ
“ทำไมคุณท่าน ไปแกล้งอำเธอแบบนั้นล่ะครับ” กันระพีถามยิ้มๆ ขณะที่กำลังเปิดประตูรถให้เจ้านายหนุ่มลง“ใครว่าฉันแกล้งอำ” ตฤณตอบแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นอกเสียจากเดินยิ้มแล้วขึ้นบ้านไปเลย “ไม่ได้แกล้งอำเหรอ แล้วเห็น... ทำไมเราไม่เห็นอะไร” กันระพีเอ่ยลอยๆ จากนั้นจึงได้เอารถไปเก็บแล้วกลับห้องพักเช่นกัน ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “น้าเองค่ะคุณท่าน” แม่บ้านเคาะประตูห้องนอนของตฤณเบาๆ พร้อมกับเอ่ย ส่วนในมือถือถาดอาหาร ไม่นานนักตฤณก็มาเปิดประตูให้ ขณะที่เขาอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงิน กลิ่นครีมอาบน้ำหอมสดชื่น บวกกลิ่นอาฟเตอร์เชฟ เหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่“เห็นว่าค่ำแล้ว น้าเลยยกอาหารขึ้นมาให้ข้างบน” “ขอบคุณครับ เอ่อ นี่ก็สองทุ่มแล้ว ไปพักผ่อนเถอะครับ” “ยังก่อนค่ะ เดี๋ยวรอคุณท่านกินเสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวน้าจะมาเก็บนะคะสักสี่ทุ่มน้าถึงจะกลับห้อง”“ตามใจครับ”“ถ้ากินเสร็จวางไว้ที่โต๊ะหน้าห้องก็ได้นะคะ เดี๋ยวน้าขึ้นมาอีกรอบ” “โอเคครับ” ตฤณรับถาดอาหารเอาไว้ แล้วแม่บ้านก็ลงไปทันที เขาปิดห้องอีกครั้งแล้วรีบกินอาหารที่นำมาให้ โดยไม่ได้แต่งตัวแต่อย่างใด กินไปพลางก็นึกถึงตอนที่แกล้งอำปั้นหยาไปพลาง สัมผัสได้ว่าเธอกลัว น
“ได้ครับ ผมจะได้บอกหนุ่มๆ เตรียมตัว เอ่อแล้วคุณหยาต้องไปด้วยหรือเปล่า” อันนี้ก้องการุณแสร้งถามให้ดังขึ้นไปงั้นเองแหละ“มีแต่ผู้ใหญ่แล้วก็ผู้ชาย คุยเรื่องงานกัน” ตฤณตอบเสียงเรียบ“ขอโทษค่ะ ยิ่งคุยเรื่องงานหยาก็ยิ่งต้องไป ท่านบอกเองว่าความจำไม่ดีต้องมีคนช่วยจำ” ปั้นหยารีบขันอาสาทันที“มีก้องไปแล้ว และนี่เป็นงานกลางคืน” ตฤณปรับน้ำเสียงให้นุ่มน่าฟังขึ้น ประเดี๋ยวจะหาว่าทำเสียงเข้มใส่“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ ดึกยังไงคุณก็ไปส่งหยาอยู่ดี”“เฮ้อ” เถียงไม่ได้เขาก็ถอนใจเชียว“จะไปยิมก่อน จะไปด้วยไหมล่ะครับคุณเลขา” ตฤณไม่ตอบเรื่องให้เธอไปด้วยหรือเปล่า แต่แสร้งถามเรื่องอื่น“อุ้ย! ดีเลยค่ะ หยาอยากรู้ว่ามาดอย่างท่านประธานเนี่ย แค่ไปวิ่ง ยกเวท หรือว่ามีอย่างอื่นอีก” ทำไมเธอชวนง่ายจัง ไม่ปฏิเสธเขาเลย“จ้ะ งั้นก็ไป” ดูเหมือนเขาจะตามใจเธอเก่งเสียเหล
“สำรวจได้ แต่ไม่ใช่ให้เดินเฉิดฉายแผนกช่างหรอกนะ” พูดถึงแผนกช่างเท่านั้นแหละก้องการุณถึงกับอดขำไม่ได้“ไอ้ก้อง มีปัญหาเหรอ”“เปล่าครับท่าน”“แค่นี้ก็ต้องดุด้วย” เธอว่าแล้วก็เดินผ่านเขาเข้าห้องไปทันที เขาปรายตามองก้องการุณนิดหน่อยก่อนจะเข้าไปจัดกับเลขาตัวดีต่อ“ตอบคำถามผมก่อน ทำไมโทรไปไม่รับ แล้วลงไปนานมาก”“จะเรียกใช้งานหรือว่าคิดถึงคะท่าน”“หืม เอ่อ อยากให้คิดถึงไหมล่ะ ก็ทั้งนั้นแหละ”“ก็บอกแล้วหยาเข้าห้องน้ำ รับสายไปด้วยปลดทุกข์ไปด้วยก็เขินนะคะ ท่านประธานก็โทรจี้จัง แล้วนี่อะไรคะทำท่าหงุดหงิดใส่หยา”“ผมทำท่าหงุดหงิดอย่างนั้นเหรอ”“ดุอีกด้วยค่ะ คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นเลขแปดเชียว เคยคุยกันแล้วนะคะเนี่ย”“ผมขอโทษ มีอะไรรบกวนใจนิดหน่อย เลยพาล”&ldquo
สุดท้าย เธอทนไม่ไหวคว้าแฟ้มที่เขาเซ็นแล้วออกไปทันที ไม่อยากโทรเรียกให้พนักงานขึ้นมารับ เพราะตอนนี้เธอเสียสมาธิอยากจะออกไปจากห้องก่อน“หน้ายุ่งๆ นะครับ หืม” ก้องการุณเอ่ยปากแซวยิ้มๆ“เขาเป็นคนที่... อยากจะ” ปั้นหยาเอามือข้างที่ว่างทำท่าบีบอากาศพร้อมกัดฟันแน่น“เสน่ห์แรงใช่ไหมล่ะ” นี่เขาแซวหรือเนี่ย“เปล๊า! ขี้โมเม ขี้ตู่ต่างหากแล้วขี้หึงด้วย ทั้งที่... หื้ม”“หึๆ แล้วนั่นจะไปไหนครับ”“เอาแฟ้มไปให้ฝ่ายการเงินค่ะ” ปั้นหยาตอบแบบขอไปที ก่อนจะเดินฉับๆ ออกไปเลย “หึๆ เจ้านายก็ควรจะเจอคนแบบคุณหยาเนี่ยนะ ปกติเจอแต่คนยอมๆๆ ลูกเดียว คนนี้ขบถสุดๆ” ก้องการุณเอ่ยลอยๆ และยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุขขณะที่ปั้นหยาลงลิฟต์มาที่ชั้นการเงิน เดินลัดเลาะไปที่โต๊ะเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งเป็นเลขาของผู้จัดการ“อุ้ย! คุณหยามาเองเลย น
"หยาก็ว่าเขาโอเคนะคะ ไม่ได้เลวร้ายอะไรสักหน่อย คุยกันได้ไม่เสียหายนี่""ถ้าใครที่มาเห็นอาจจะมองว่าไม่เหมาะนะครับ ผมเป็นห่วง เขามาจีบคุณหยาด้วยหรือเปล่า""เปล่าหรอกค่ะ เขาไม่ไวไฟเหมือนเจ้านายคุณก้องหรอกน่า""เขาเป็นคนอันตรายคนหนึ่งนะครับ""หากจะพูดแบบนั้น หยาว่าท่านประธานก็ไม่ต่างกันค่ะ เขามาพึ่งใบบุญท่านประธาน หยาว่าน่าจะให้โอกาศนะคะ อย่าเห็นแก่ประโยชน์เกินไปนัก ยังไงก็ญาติกันไม่ใช่เหรอ" นี่เธอมองโลกในแง่ดีจังเลย เขาคิดพลางหรี่ตามอง"ผมว่าคุณหยาไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไม่ควรไว้ใจใคร ผมบอกแล้ว เคยเล่าให้ฟังแล้วด้วยว่าสองบ้านไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่""หยามองให้เป็นเหตุเป็นผลค่ะ ไม่ได้ไว้ใจใครมากแต่ก็ไม่ได้ระแวงไปซะหมด" พูดจบเธอก็กลับเข้าห้องทำงาน แต่กลับต้องเผชิญกับสายตาพิฆาตของเจ้านาย ทว่าเธอก็ทำเป็นไม่สนใจ แสร้งดูงานบนโต๊ะไป กระทั่งเขาเดินมาหาแล้วเอามือค้ำโต๊ะก่อนจะโน้มตัวเข้าหาเธอ“วันนี้อยากให้โบนัสพิเศษจังเลย”“โบนัสพิเศษเนื่องในอะไรคะ”“ดูแลแขกของผมเป็นอย่างดี ต้อนรั
“เอ่อจริงสิ ผมลืมดื่มน้ำ” ดูเหมือนอาทิตย์อยากจะเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากเซ้าซี้มากเกินไป จึงแสร้งหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม“อืม คุณเลขาชงให้เนี่ย สดชื่นจังเลยครับ” เขาพูดพลางหันไปยิ้มให้ปั้นหยาเล็กน้อย“จริงสิ ทำไมเฮียให้เลขาเข้ามานั่งในห้องครับ”“ก็เผื่อเวลาแบบนี้ ไม่ต้องเรียกให้ยุ่งยาก”“แต่บางเรื่องเลขาไม่ควรรู้”“ฉันว่าเลขาควรรู้ทุกอย่างนะ ไม่งั้นจะให้ช่วยงานทำไม”“แม้กระทั่งเรื่องบนเตียงของเฮีย ควรรู้และจัดสรรให้ด้วยหรือเปล่าครับ”“ถ้าถึงเวลาอาจจะให้ช่วยก็ได้”“ว่าแต่คุณเลขา ชื่ออะไรนะครับผมจำไม่ได้” เขาหันไปถามปั้นหยาเป็นหลัก“ชื่อปั้นหยาค่ะ เรียกหยาเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”“ชื่อน่ารักเชียว เรียกผมซันด์เฉยๆ ก็พอ ผมไม่ใช่ท่านประธานแบบเฮียตฤณ”“ค่ะคุณซันด์เฉยๆ ก็ได้”“ทำไมเลขาเฮียว่าง่ายกว่าเมื่อวานนี้อีก เมื่อวานดูถมึงทึงยังไงก็ไม่
“สวัสดีค่ะ คุณ... เอ่อ ใช่คุณคนเมื่อวานหรือเปล่าคะ” ปั้นหยากล่าวทักทายพร้อมกับถามอย่างสุภาพ “ใช่ครับ ผมอาทิตย์ ขอพบเฮียตฤณได้ไหม” ให้ตายสิ พอพูดกับปั้นหยานี่คนละน้ำเสียงเชียว ก้องการุณคิด “เชิญค่ะ ท่านรออยู่” ปั้นหยาบอกอย่างยิ้มแย้ม ก่อนจะเปิดประตูให้และผายมือเชิญให้เดินนำ “เอ่อ ผมขอน้ำหวานๆ สักแก้วดื่มให้ชื่นใจหน่อยนะครับคุณเลขา” “ได้ค่ะ” ปั้นหยาตอบเสียงหวานเช่นเคย เรียกได้ว่าต่างจากเมื่อวานมาก หรือเมื่อวานเธออาจจะปรับตัวไม่ได้ หรืออารมณ์ไม่ดี อาทิตย์คิด จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาพี่ชาย ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกชายของลุงเพียงคนเดียว ส่วนผู้ติดตามรออยู่ด้านนอก “สวัสดีครับเฮีย ขอโทษที่ไม่ได้นัดล่วงหน้า” “ปกตินายก็ไม่เคยนัดล่วงหน้าอยู่แล้วนี่ นั่งลงก่อนสิ” “คือ ที่เราคุยค้างกันเอาไว้เมื่อวานน่ะครับ วันนี้ผมให้เจ้าหน้าที่แจกแจงเอกสารมาให้เฮียอ่าน แล้วคิดว่าเฮียน่าจะทราบแล้วว่า คุณป๊อบเปลี่ยนมาดีลงานกับบริษัทผม” “รู้เมื่อวานนี้” “คือ พอคุณป๊อบจะมาสั่งของ สำหรับโปรเจคใหญ่ของเฮีย ผมก็มีของไม่พอ เลยต้อง
“โอเค” เขาตอบรับแบบง่ายๆ ก่อนจะดื่มน้ำ ส่วนเธอก็รีบเข้ามาพยุงเขาด้วยความลืมตัว เพราะคิดว่าอาการยังไม่ดีขึ้น เขาเองก็ลืมจนหันไปสบตาเธออย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน สองสายตาสบประสานกันอย่างจังงัง เหมือนมีบางอย่างเข้ามาปั่นป่วนในใจอย่างประหลาด“เอ่อ เดินไหวไหมคะ ที่จุกๆ เมื่อคืนระบมหรือเปล่า” ปั้นหยาแสร้งถามแก้เขิน“มีนิดหน่อยครับ ขอบคุณมาก”“ไปค่ะ” ว่าแล้วปั้นหยาก็พยุงเขาออกจากห้อง ไปเจอกับผู้ติดตามจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนเห็นดังนั้นก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้านายเลือกที่จะให้ความสำคัญกับเลขาคนนี้จริงๆ ฉะนั้นต้องรู้โดยอัตโนมัติว่าห้ามแตะเป็นอันขาด และต้องให้เกียรติกว่าคนอื่น“เชิญครับคุณท่าน” กันระพีบอกพร้อมกับเปิดประตูให้เจ้านายขึ้นไปนั่งก่อน แล้วปั้นหยาจึงตามขึ้นนั่งเคียงข้าง เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อความเหมาะสม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังหาเรื่องขยับเข้าหาเธออยู่ กระทั่งกันระพีเคลื่อนรถออกไปจากหน้าบ้าน และตามด้วยรถผู้ติดตามอีกสองคันและเหมือนเมื่อวาน พอถึงหน้าปากซอยเขาก็ให้ปั้นหยาลงไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปลาท่
“หึๆ หึๆ คุณหยาเนี่ยรู้มากเกินอายุนะครับ” “เขาก็ไม่ได้เด็กแล้วนะ แค่อายุน้อยกว่าเราเป็นสิบปี ยิ่งวัยรุ่นสมัยเนี้ยะ รู้เยอะกว่าเราก็มี”“ที่อายเนี่ยเพราะต้องเข้าห้องน้ำ ขณะที่คุณหยาอยู่ในห้องใช่ไหมครับ รู้สึกคุณท่านจะใจแข็งนะครับ”“หยุดพูดเลย ทั้งโดนไล่ที่ โดนไล่เข้าห้องน้ำ เอาแต่หัวเราะเยาะ รู้ถึงไหนอายถึงนั้น” เขาบ่นเป็นหมีกินผึ้งเชียว พลางลุกเข้าห้องน้ำช้าๆ“แต่ก็ได้ใจน่า ผมเชื่ออย่างนั้น”“โทรตามด้วย มาให้ทันมื้อเช้า ฉันจะกินข้าวเช้าที่นี่”“ครับผม อาบน้ำเถอะครับ” ก้องการุณรับคำ ก่อนจะออกไปจากห้อง ส่วนเจ้านายก็อาบน้ำแต่งตัวอย่างทุลักทุเลเพราะปวดหลัง ปวดจริงๆ เขาไม่เคยนอนพื้นแข็งๆ มาก่อน ตั้งแต่เกิดมาก็นอนเตียงนุ่มๆ อย่างเดียวเท่านั้น แม่คุณคนนี้มาเปิดประสบการณ์เหลือเกินต่อมา ปั้นหยาถูกโทรตามให้มาที่บ้านของตฤณอีกครั้ง โดยมีกันระพี คนขับรถไปรับถึงบ้าน เธอก็มาแต่โดยดีและตรงไปยังห้องอาหารแต่ไม่เห็นตฤณอยู่“สวัสดีค่ะน้
“แค่จูบเอง คุณมันบ้า หยาจะลงไปนอนข้างล่าง”“ไม่... คุณต้องรับผิดชอบ”“ไม่ค่ะ เราตกลงกันแล้ว อย่ามาผิดคำพูด”“ผมไม่ไหวแล้ว” เขาทำน้ำเสียงอ้อนก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ขณะที่เธอคิดว่าต้องรู้สึกสนิทแค่ไหนถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ได้“โทรบอกก้อง ให้เรียกเด็กๆ ขึ้นมาสักคนไป” สิ้นคำของเขาเท่านั้นแหละเธอก็ขว้างหมอนใส่ทันที“โอ๊ย! อะไร ก็คุณทำไม่ได้ ก็ต้องคนอื่นสิครับ”“เข้าห้องน้ำไปเลยค่ะ ไป!”“ไม่ได้ ไม่ชอบช่วยตัวเอง”“หยาก็ช่วยคุณไม่ได้ และจะไม่ให้ใครมายุ่งด้วย มานี่เลย” ว่าแล้วเธอก็ลงจากเตียงแล้วเดินไปดึงเขาเข้าห้องน้ำ ขณะที่เขาเอามือปิดกลางลำตัวเอาไว้“หยา... ใจร้าย” “คุณทำได้ คุณเก่ง หยาเชื่อ ใจเย็นๆ นะคะ” ยังมีหน้ามาปลอบใจเขาอีก พูดเสร็จก็ดันเขาเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนวิธีจบปัญหานี้ของเขาคืออาบน้ำ เอาน้ำเย็นชะล้างร่างกายให้เย็นลง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องจบด้วยความสุขที่สร้างได้ด้วยมือ