ตอนที่ 8
“ท่านแม่ทัพ เด็กทั้งสองคนนี้…” เยว่เอินอวี้ที่พึ่งเคยเห็นสามีผู้เย็นชาของตนเองเป็นแบบนี้ อดเสียมารยาทถามขึ้นไม่ได้
“อ่อจริงสิ ข้าเกือบลืมแนะนำไป นางมีนามว่าเฉิงเข่อซิง เป็นบุตรสาวของข้า”
เฮือกก
ไม่เพียงแต่คนในโต๊ะเท่านั้นที่ตกใจ เหล่าบรรดาสาวใช้ที่อยู่ภายในห้องเองก็ตกใจจนหน้าซีดเช่นกัน
“มะ หมายความว่าอย่างไร!!??” เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ไม่อาจเก็บความตกใจของตนเองได้อีกต่อไปตวาดถามขึ้น
“หึ เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเองแล้ว ว่านางคือบุตรสาวของข้าจริงๆ และเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น!!” ประโยคสุดท้าย เฉิงป๋อเหวินเน้นย้ำมันเป็นพิเศษ ทำให้คนที่เคยมีชนักติดหลังต่างหน้าซีดไปตามๆ กัน
“หากนางเป็นบุตรสาวของเจ้า แล้วมารดาของนางล่ะ!!”
เป็นเช่นนี้เอง ตำแหน่งฮูหยินเอกที่เจ้าเด็กนี่เว้นว่างไว้ ก็เพื่อเช่นนี้เอง
ราวกับคาดเดาทุกอย่างที่เก็บเอาไว้หลายปีได้ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็แทบอยากจะระเบิดออกมาให้สิ้น นางคิดว่าตนเองสามารถควบคุมลูกเลี้ยงผู้นี้ของตนเองไว้ได้แทบทั้งหมด แต่เมื่อมาถึงตอนนี้นางเองถึงได้เข้าใจ
แฮ่กๆๆ
ร่างชราเริ่มหอบหายใจแรงมากขึ้น มือที่เหี่ยวย่นกุมหน้าอกของตนเองไว้แน่นเพราะแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง
“ฮูหยินผู้เฒ่า!!” เยว่เอินอวี้รีบเข้ามาประคองหญิงชราอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนางจึงมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าสามีของตนเองคล้ายจะรีบให้เขาเรียกคนมาช่วยอีกฝ่าย
แต่เมื่อหันไปสบตาของอีกฝ่าย กลับพบได้เพียงแววตาที่ไร้ความรู้สึก นี่เป็นครั้งแรกที่นางเริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวเขา
เฉิงเข่อซิงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นร่างของหญิงชราที่ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านย่าของนางทรุดลงไปกองที่พื้นเช่นนั้น นางจึงมองหน้าบิดาคล้ายจะคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่าย เสียดายที่บิดาไม่ได้มองมาที่นาง นางจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำสิ่งใด
“ท่านพ่อ…” แต่หากปล่อยไปเช่นนี้อาจไม่ดีก็ได้
“พ่อบ้าน พาฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปพักผ่อนที่เรือนของตนเอง แล้วส่งคนไปเชิญหมอหลวงมาดูอาการ”
“ขอรับ”
เมื่อสั่งการเสร็จ เฉิงป๋อเหวินจึงหันกลับมามองใบหน้าของบุตรสาวตนเองด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง
“เจ้าทานอาหารต่อเถอะ ฮูหยินผู้เฒ่าร่างกายไม่แข็งแรงแต่ไหนแต่ไร มักมีอาการแน่นหน้าอกเช่นนี้ทุกครั้ง เจ้าอย่าได้กังวล”
เมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงจากลูกสาวตัวน้อยของตน เฉิงป๋อเหวินก็รีบปลอบโยนนางด้วยความเป็นห่วงทันที
เฉิงเข่อซิงเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เพราะหากบิดากล่าวมาเช่นนี้ นางเองก็รู้ว่าตนเองไม่ควรถามเรื่องนี้กับบิดาอีก ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากครอบครัวสกุลเนี่ยของนางมากเลยเกิน
เมื่อเห็นอาหารน่ากินมากมายวางเรียงรายกันอยู่ ร่างเล็กๆ ก็สลัดความอยากรู้อยากเห็นเมื่อครู่ของตนเองไปทันที
โดยเฉพาะขาหมูมันวาวที่วางอยู่ด้านหน้าของนางชิ้นนั้น มันช่างน่ากินอะไรเยี่ยงนี้
ขาหมูชิ้นนั้นคล้ายกำลังกวักมือเรียกนางไปลิ้มลองรสชาติของมันอยู่
“หึๆๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินสิ่งใด พ่อจึงสั่งให้ห้องครัวทำอาหารมาหลายๆ อย่างให้เจ้าเลือก” เมื่อเห็นท่าทางเคลิบเคลิ้มจนน้ำลายไหลของอีกฝ่าย ก็ทำให้เขาอดขบขันขึ้นมาไม่ได้
มือหนาเอื้อมมือไปตักขาหมูชิ้นนั้นใส่ชามเบื้องหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ ช่วยนางหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้เด็กสาวทานมันได้สะดวก
“เสี่ยวถาน หากเจ้าชอบสิ่งใดก็บอกสาวใช้ด้านหลังได้” เฉิงป๋อเหวินหันไปบอกเด็กสาวอีกคนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายน้อยใจที่เขาดูแลเพียงบุตรสาวของตนเอง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ” กู้ฟ่านถานที่อยู่ด้านข้างกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยท่าทีสำรวมต่างจากเฉิงเข่อซิงเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่า เด็กทั้งสองคนนี้มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านพ่อตามเสี่ยวซิงเถอะ เจ้าสาบานเป็นพี่น้องกับเสี่ยวซิงแล้ว ก็เหมือนเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนหนึ่ง”
เพียงได้ยินประโยคนั้น เป็นครั้งแรกที่กู้ฟ่านถานเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายตรงๆ ก่อนจะพบใบหน้าที่อ่อนโยนมองมาที่นาง แม้จะไม่อ่อนโยนเท่าที่เขามองเสี่ยวซิง แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้นางรู้สึกดีใจมากแล้ว
“เจ้าค่ะ ทะ ท่านพ่อ” น้ำเสียงที่ขานรับนั้นสั่นและเบาเล็กน้อย แทบจะไม่ได้ยิน แต่ทุกคนกลับได้ยินมันชัดเจน
อวี้ชางเซียง ฮูหยินเอกของเฉิงเจ๋อเจามองพิจารณาเด็กสาวทั้งสองไม่วางตา ก่อนจะปรายตามองสตรีอีกสามคนที่ยังอยู่ร่วมโต๊ะอาหาร ทั้งสามคนคืออนุของท่านแม่ทัพใหญ่ และทั้งสามคนตอนนี้ก็แสดงอาการท่าทางคล้ายกัน นั้นก็คือกักเก็บความไม่พอใจเอาไว้ด้านใน
มุมปากของนางกระตุกยิ้มร้ายกาจอย่างหาได้ยาก ช่างเป็นมื้ออาหารที่วิเศษเสียจริง ดูท่าแล้วพี่ชายใหญ่ของสามีตอนนี้คงจะได้เวลาลับคมดาบที่อยู่ในฝักเสียแล้วกระมัง
มื้ออาหารผ่านไปอย่างทุลักทุเล ทำให้มีอาหารเหลืออยู่มาก เพราะอาหารมากมายกลับไม่มีคนทานลง มีเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ เท่านั้น ที่ยืนลูบพุงโตๆ ของตนเองด้วยสีหน้าทุกข์ใจ
“เป็นอะไร แน่นท้องเกินไปอย่างนั้นหรือ?” เฉิงป๋อเหวินที่เห็นบุตรสาวของตนเองมีสีหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดรีบถามขึ้น
เขาได้ยินมาว่า เด็กเล็กไม่สามารถกินเยอะในคราวเดียวได้ อาจจะทำให้ปวดท้อง และมื้อเช้าที่ผ่านมา ลูกสาวตัวน้อยผู้น่ารักของเขากลับกินขาหมูขาใหญ่ลงไปถึงสองขา ยังไม่รวมกับขนมหวานมากมายที่อีกฝ่ายกินลงไปในคราวเดียวนั่น
“พ่อบ้านเฉิน รีบไปตามหมอหลวง!!” เพราะกลัวว่าบุตรสาวจะปวดท้องมากเกินไป แม่ทัพใหญ่จึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้
“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ปวดท้อง”
“เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไร เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น เจ็บปวดที่ใดบอกข้ามาเถอะ” ท่านแม่ทัพเฉิงกล่าวถามบุตรสาวของตนเองอีกครั้งด้วยความร้อนรน
แม่ทัพใหญ่ที่ต่อให้มีดาบใหญ่แทงทะลุอกยังมีท่าทีนิ่งเรียบ แต่ตอนนี้กลับกระวนกระวายเพียงเพราะบุตรสาวมีสีหน้าขมวดคิ้วแน่น
“ข้าเสียดายอาหารที่เหลืออยู่เจ้าค่ะ ของพวกนั้นพวกเขาจะเอาไปทิ้งหรือไม่?เก็บไว้ให้ข้ากินต่อมื้อต่อไปมิได้หรือเจ้าคะ”
ยังมีอาหารหลายอย่างที่นางยังไม่ได้ลองชิมเลย หากยังเป็นตอนที่นางอยู่ที่สกุลเนี่ย คงโดนท่านลุงและท่านน้าทั้งหลายดุเป็นแน่ ที่ทานอาหารมากเช่นนี้ และยังปล่อยให้อาหารเหลืออีก
แม่ทัพใหญ่มองหน้าบุตรสาวพร้อมเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ
“อาหารมื้อนี้ต่อให้เหลือก็ส่งต่อให้บ่าวไพร่ หากเจ้าชอบมากถึงเพียงนั้น พ่อจะให้พ่อครัวทำอาหารเหล่านี้ให้เจ้ากินทุกมื้อก็ยังได้ จะเสียดายไปทำไม?”
เฉิงเข่อซิงที่ได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหัวน้อยๆ ของตนเองทันที
“ข้ารู้ว่าท่านดีใจที่ได้พบข้า แต่อาหารเหล่านี้สิ้นเปลืองเกินไป ทำเพียงอาหารทั่วไปก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่คนที่เรื่องมากเรื่องกินนัก”
เพราะนางถูกสอนมาตั้งแต่เล็กให้รู้จักคุณค่าของอาหารและเงินทอง นางจึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
แต่ไม่ใช่กับเฉิงป๋อเหวิน
“ที่บ้านของข้ามีเงินทองและสมบัติล้ำค่ามากมาย ต่อให้เจ้าใช้อยากสิ้นเปลืองทั้งชีวิตก็ใช้ไม่หมดหรอก อย่าได้กังวลไป”
ตัวเขาออกรบมาสิบกว่าปี ย่อมมีสมบัติและสิ่งของล้ำค่ามากมายที่ฮ่องเต้ประทานให้ สมบัติเหล่านี้ถูกเก็บไว้แทบไม่ได้ใช้ ตอนนี้เขามีบุตรสาวแล้ว เขาอยากจะยกสมบัติทั้งห้องให้แก่นาง เพื่อให้นางไม่ต้องน้อยหน้าคุณหนูจวนใดและเมืองหลวงแห่งนี้
“ข้าอายุเพียงแปดหนาว จะใช้เงินสิ้นเปลืองไปกับสิ่งใดกันเชียวเจ้าคะ?”
ขอเพียงมีอาหารให้นางกินครบสามมื้อ นางก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปซื้อสิ่งใดแล้ว
เฉิงเข่อซิงคิดในใจ
“หึ วันนี้แหละที่เจ้าจะต้องใช้มัน วันนี้พ่อมีงานที่ต้องไปจัดการที่หนึ่ง อาสะใภ้ของเจ้าจึงอาสาพาเจ้าไปเดินเลือกเสื้อชุดที่ตลาดในเมือง”
“ซื้อชุด?” เฉิงเข่อซิงมองหน้าบิดาด้วยสายตาตื่นเต้น
นางไม่เคยไปเที่ยวตลาดในเมืองมาก่อน เพราะส่วนใหญ่นางใช้ชีวิตอยู่แค่เพียงในจวนและในป่าหมื่นบุปผาเท่านั้น เมื่อได้ยินว่าจะได้ไปท่องเที่ยว จะไม่ให้นางตื่นเต้นได้อย่างไร!!
………………………