หลังจากการพูดคุยและทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน เฉิงป๋อเหวินก็ได้ให้พ่อบ้านจัดเตรียมห้องพักของเด็กทั้งสองอยู่เรือนใกล้กับเรือนของเขา เพื่อที่ตัวเขาจะได้ไปหานางได้ง่าย ส่วนตัวเขากลับไปที่ห้องหนังสือเพื่อจัดการงานที่เหลือต่อให้เสร็จ แต่เมื่อกลับมาที่ห้องหนังสือ ก็พบกับน้องชายของตนเองที่กำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“พี่ใหญ่”
เฉิงเจ๋อเจาเข้ามานั่งรออยู่ที่นี่ได้สักพักใหญ่แล้ว ตัวเขาไม่อาจทนเก็บความอยากรู้ของตนเองได้ เพราะดูจากการกระทำของพี่ชายของตน เขาคิดว่าที่มาของเด็กทั้งสองจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน รวมถึงอาจสร้างปัญหาให้แก่จวนแม่ทัพได้ในภายหลัง
“เด็กสองคนนั้นเป็นใคร เหตุใดท่านจึงให้พ่อบ้านจัดการให้อยู่เรือนบุปผาแห่งนั้น?”
“เด็กคนนั้นเป็นบุตรสาวของข้า”
“บุตรสาวของท่าน!!!”
เฉิงเจ๋อเจ่าตกใจกับคำตอบที่ได้รับเป็นอย่างมาก
พี่ใหญ่ของเขาที่ทำตัวราวอสุราไร้หัวใจที่เคยกำจัดลูกตัวเองได้ไม่กระพริบตาผู้นี้ แต่อยู่ๆมาวันนี้กลับบอกว่ามีบุตรสาวแล้ว และบุตรสาวของเขายังอายุราวแปดเก้าขวบแล้วด้วย?
หากนับตามอายุของเด็กสาว เมื่อแปดเก้าปีก่อนพี่ใหญ่ยังรบอยู่ชายแดนไม่ได้กลับมาประจำที่เมืองหลวง ส่วนตัวเขาก็พึ่งจะเข้ามานั่งตำแหน่งกุนซือหกเจ็ดปีหลังมานี่เท่านั้น
“นางเป็นบุตรสาวของท่านกับหญิงคนใด?”
แม้จะเป็นคำถามที่ละลาบละล้วง แต่ตัวเขาจำเป็นต้องรู้ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขสถานการณ์ต่อจากนี้
“เยว่ซิน” น้ำเสียงราบเรียบที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ ทำให้เฉิงเจ๋อเจาคาดเดาความคิดของพี่ชายไม่ได้
เยว่ซิน…
เฉิงเจ๋อเจาจำสตรีคนนี้ได้ แม้จะเคยพบกันแค่ช่วงเวลาสั้น ๆในตอนนั้น แต่สตรีที่งดงามราวกับเทพธิดาผู้นั้นเขากลับจำได้ไม่เคยลืม
เมื่อสิบปีก่อนเขายังเป็นเพียงคุณชายรองเฉิงที่ต้องอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลคนในบ้านแทนพี่ชาย มีเพียงพี่ชายใหญ่เท่านั้นที่มุ่งหน้าไปชายแดนเพื่อเข้าร่วมสงคราม ทำให้เขาสองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากัน จนกระทั่งมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนถูกรอบปลงพระชนม์ ทำให้แม่ทัพปราบตะวันตกต้องยกทัพกลับเมืองหลวง
ในตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับสตรีคนนั้น เขายังจำได้ว่าในตอนนั้น พี่ชายของเขามีสายตาหลงใหลนางมาเพียงใด แต่แล้ววันหนึ่งนางก็หายตัวไป รวมถึงพี่ใหญ่เองก็กลายเป็นคนไร้อารมณ์ยากจะเข้าถึงมากยิ่งขึ้น เรื่องของสตรีที่มีนามว่าเยว่ซินจึงกล่าวเป็นนามต้องห้ามสำหรับคนใกล้ชิดเขา
“พรุ่งนี้เช้าที่โต๊ะอาหารให้คนเตรียมอาหารเพิ่มอีกสองชุด ส่งคนไปแจ้งทุกคนด้วย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังแม่ทัพใหญ่รับคำสั่ง พร้อมเดินออกไปทันที
เฉิงเจ๋อเจามองพี่ชายพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พรุ่งนี้เกรงว่าที่โต๊ะอาหารเช้าจะต้องเกิดสงครามย่อมๆเสียแล้ว
ยามเฉิน (07.00น.-08.59น.)
เหล่าเจ้านายทั้งหลายในเรือนแม่ทัพถูกเชิญให้มาร่วมโต๊ะอาหารในมื้อเช้าของวัน ทำให้เหล่าสาวใช้ทั้งหลายต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง น้อยครั้งนักที่ท่านแม่ทัพจะเรียกในทุกคนในบ้านมาร่วมทานอาหารพร้อมหน้า โอกาสที่จะได้เจอเจ้านายทั้งหลายในบ้านที่อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง
“น้อยครั้งนักที่ครอบครัวเราจะได้มาทานอาหารเช้าพร้อมหน้ากันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ของเราจะมีข่าวดีอะไรหรือไม่?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่กำลังนั่งรออยู่ภายในห้องอาหารกล่าวขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“นั่นสิเจ้าคะ น่าจะเป็นข่าวที่น่ายินดียิ่งกระมัง” เยว่เอินอวี้ ฮูหยินรองท่านแม่ทัพกล่าวเสริม
เฉิงเจ๋อเจามองหน้าสตรีทั้งสองคนด้วยแววตาเรียบนิ่ง แต่ภายในใจกลับรู้สึกยินดีอย่างน่าประหลาด หากทั้งสองคนนี้รู้ข่าวที่พี่ชายของเขาจะแจ้ง อาหารมื้อเช้านี้คงไม่น่าจะทานลงอีกต่อไป เฉิงเจ๋อเจามองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพร้อมยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงผู้นี้ คือภรรยาเอกของท่านผู้เฒ่าเฉิงคนก่อน มีสถานะเป็นแม่เลี้ยงของพวกเขา เพราะพวกเขาสองพี่น้องนั้น เกิดจากอนุของท่านผู้เฒ่าเฉิงคนก่อนเท่านั้น แต่เมื่อพี่ชายใหญ่ได้เลื่อนยศเป็นท่านแม่ทัพ ท่านแม่ของพวกเขาจึงถูกเลื่อนระดับให้เป็นฮูหยินรองในภายหลังต่อมา
ส่วนเยว่เอินอวี้ ฮูหยินรองของพี่ใหญ่ ถูกแต่งเข้ามาเมื่อห้าปีก่อน เป็นบุตรสาวฮูหยินเอกของเยว่กั๋วกง ซึ่งเป็นญาติห่างๆของมารดาเลี้ยงอีกที ตอนแรกนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจะจัดการให้นางแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินเอก แต่เมื่อถึงวันงาน ท่านแม่ทัพใหญ่เฉิงจัดเตรียมพิธีแต่งตั้งให้เป็นเพียงฮูหยินรองเท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้จวนเยว่กั๋วกงไม่พอใจแม่ทัพหนุ่มเป็นอย่างมาก จนกระทั่งตอนนี้
เพียงไม่นาน คนที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เฉิงป๋อเหวินเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยชุดแม่ทัพสีดำปักดิ้นสีเงิน เพียงแค่เขาเดินเข้ามา บรรยากาศภายในห้องก็ดูเหมือนจะเย็นเหยือกลง
ทุกคนภายในโต๊ะอาหารต่างยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพอีกฝ่ายยกเว้นเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่เดิม ใช้เพียงแววตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจมองไปที่อีกฝ่ายเท่านั้น
“คารวะฮูหยินผู้เฒ่า” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกกล่าวทักทายมารดาเลี้ยงที่นั่งอยู่ถัดออกไป
นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยิ่งเยือกเย็นมากขึ้นไปอีก ทำให้ไม่มีใครอยากทานอาหารมื้อเช้าเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉิงเจ๋อเจาเห็นท่าไม่ดี รีบกระตุกชายเสื้อบุตรชายของตนเองที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้รีบห้ามปราบสงครามเย็นที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ทันที
“ท่านลุง วันนี้ท่านมิต้องเข้าวังอย่างนั้นหรือขอรับ” เฉิงจางจิ้ง บุตรชายของเฉิงเจ๋อเจาวัยสิบปีได้รีบกล่าวถามท่านลุงใหญ่ทันทีเพื่อทำลายบรรยากาศ
“อืม” น้ำเสียงที่ราบเรียบตลอดมาดูอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อคุยกับหลานชายของตนเอง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศดูดีขึ้น เฉิงเจ๋อเจาก็รีบสั่งให้สาวใช้นำอาหารเข้ามาทันที โดยไม่ต้องรอให้พี่ชายใหญ่เป็นคนสั่ง
อาหารขึ้นโต๊ะแตกต่างจากทุกๆวันอย่างชัดเจน ราวกับว่าจะมีงานเลี้ยงย่อมๆ ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป บางคนมีสีหน้าสงสัยแต่มิกล้าถาม บางคนเพียงเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจเท่านั้น มีเพียงเฉิงเจ๋อเจาเท่านั้นที่ดูไม่ดีมีความแปลกใจใดๆ เนื่องจากพอจะรู้ความเป็นมาอยู่เล็กน้อย
“เอ๊ะ วันนี้จะมีแขกมาหรือเจ้าคะท่านพี่ น้องไม่เห็นจะรู้เลย” เยว่เอินอวี้ที่สังเกตเห็นว่า บนโต๊ะอาหารที่เดิมจะจัดครบกับเจ้านายทั้งหมดในบ้านทุกคน แต่วันนี้กลับเพิ่มขึ้นมาอีกสองชุด โดยที่ทั้งสองชุดกลับถูกจัดลงข้างเก้าอี้ว่างด้านข้างท่านแม่ทัพที่ถูกเว้นไว้โดยปกติอีกด้วย
“ท่านแม่ทัพ คุณหนูทั้งสองมาถึงแล้วขอรับ”
ยังไม่ทันทีจะได้คำตอบจากร่างสูง พ่อบ้านใหญ่ก็เดินเข้ามารายงานทันที
“อืม พาพวกนางเข้ามา”
คุณหนู? เพียงคำเรียกสั้นๆก็ทำเอาทุกคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะอาหารต่างตกใจจนหัวใจแทบจะเต้นทะลุออกมา
หรือเมื่อคืนนี้ท่านแม่ทัพจะรับอนุเข้ามาเพิ่ม? ไม่ใช่รับมาเพิ่มเพียงคนเดียว แต่กลับรับมาเพิ่มถึงสองคน?
ทุกสายตาต่างจ้องมองไปที่ประตูทางเข้า ราวกับจะมองให้ทะลุประตูไปด้านนอกเพื่อให้ได้เห็นมันชัดๆ
แต่เมื่อพ่อบ้านใหญ่เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พวกเขากลับไม่เห็นสตรีนางใดเดินตามมาทั้งนั้น มีเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆเพียงสองคนเดินตามพ่อบ้านมาเท่านั้น
“เสี่ยวซิง เสี่ยวถาน มานี่สิ” น้ำเสียงเรียกเด็กทั้งสองทำเอาทุกคนที่อยู่ภายในโต๊ะอาหารต่างขนลุกเกลียว แม้แต่เฉิงเจ๋อเจาที่รู้สถานะของเด็กทั้งสองอยู่แล้วยังอดขนลุกกับน้ำเสียงของพี่ชายตนเองมิได้
เฉิงเข่อซิงที่เดินตามพ่อบ้านมายังห้องอาหารแห่งนี้เมื่อเห็นว่าบิดาของตนเองกวักมือเรียกตนเอง รอยยิ้มสว่างไสวก็กระจ่างเต็มใบหน้า หันไปคว้ามือพี่สาวและวิ่งไปหาบิดาด้วยความดีใจทันที
เฉิงป๋อเหวินยิ้มออกมุมปากเล็กน้อย รีบยื่นมือออกไปจับตัวบุตรสาวเอาไว้ก่อนจะขยับเก้าอี้ให้นางนั่งอยู่ด้านข้างของเขา ส่วนกู้ฟ่านถานนั่งอยู่เก้าอี้ถัดไป
“เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่?”
“หลับสบายมากเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนหลับง่ายมากๆอยู่แล้ว” น้ำเสียงใสราวกับระฆังแก้วกล่าวตอบออกมา นั้นยิ่งทำให้รอยยิ้มที่มีเพียงมุมปากของท่านแม่ทัพแย้มกว้างเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ซึ่งการกระทำของทั้งคู่นี้ ต่างตกอยู่ในสายตาของทุกคนที่อยู่ภายในโต๊ะอาหาร
…………………………