ไทเฮา “ในเมื่อเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงเจิ้งกล่าวเช่นนี้ คิดดูแล้วแม่นางอวิ๋นผู้นี้คงจะมีความสามารถอยู่บ้างจริง”ยังไม่ทันที่พระนางจะกล่าวจนจบดี อยู่ ๆ หมอหลวงที่ยืนรั้งอยู่ด้านท้ายสุดผู้หนึ่งก็เดินออกมาประสานมือแล้วกล่าวว่า “ขอไทเฮาทรงคิดดูอีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้สตรีผู้นี้จะเข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้าง ทว่านางยังอายุน้อยเช่นนี้ เกรงว่าคงมิได้พบเจอโรคมามากมายเท่าไรนัก”“ที่ช่วยชีวิตคุณชายน้อยสกุลลู่มาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแค่แมวตาบอดบังเอิญจับหนูตายได้ก็เท่านั้น”“พระวรกายของฝ่าบาทมีค่าดั่งทองคำหมื่นชั่ง จะให้หมอสตรีที่มีประสบการณ์เพียงไม่เท่าไรมากรักษาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”อวิ๋นฝูหลิงกวาดสายตามอง แล้วจำได้ทันทีว่าคนที่กล่าววาจาเช่นนี้ก็คืออวิ๋นกานซงนางยังไม่ได้คิดบัญชีกับอวิ๋นกานซงเลย นึกไม่ถึงว่าเขาจะกระโดดออกมาเองเช่นนี้อวิ๋นฝูหลิงยิ้มเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “แม้ข้าจะอายุน้อย แต่สกุลของข้านั้นเป็นหมอ ซึมซับมาตั้งแต่เด็ก กอปรกับที่ข้ามีพรสวรรค์โดดเด่น วิชาแพทย์ของข้าย่อมไม่อาจพิจารณาได้ตามปกติทั่วไป”“ยิ่งไปกว่านั้น บุตรนอกจวนที่ขโมยเรียนวิชาแพทย์ยังเข้ามาเป็นหม
องค์ชายสามแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อก่อนเห็นว่าน้องเจ็ดของเขาผู้นี้นั้นฉลาดเฉียบแหลมยิ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้เพียงเพื่อสตรีนางหนึ่ง เขาถึงได้หน้ามืดตามัวขนาดนี้โรคที่กระทั่งเจ้าสำนักโอวหยางยังรักษาไม่ได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าสตรีอย่างอวิ๋นฝูหลิงจะรักษาได้ต่อให้นางจะมีความสามารถจริง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวขอแค่เล่นอุบายกับตัวยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อให้นางเป็นฮว่าถัว[1]กลับชาติมาเกิด ก็ไม่อาจรักษาอาการของเสด็จพ่อได้ถึงตอนนั้นเซียวจิ่งอี้ก็จะถูกลงโทษไปพร้อมกันด้วยหากจะทำให้โทษทัณฑ์นี้ร้ายแรงมากขึ้น จะกล่าวหาว่าพวกเขาวางแผนปลงพระชนม์ฝ่าบาทก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงถึงตอนนั้นพอถูกตั้งข้อหาว่าวางแผนปลงพระชนม์ ไม่ว่าจะเซียวจิ่งอี้จะได้รับความโปรดปรานมากเพียงไร ก็สามารถขดรากถอนโคเขาออกมาได้ทั้งยวง แล้วเขาก็จะไม่อาจสร้างความคุกคามใด ๆ ได้อีกส่วนคนที่เหลือนั้น บางคนเป็นกังวล บางคนลำพองใจ แล้วก็มีคนที่ยืนมองดูอยู่เฉย ๆ โดยไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยไทเฮากวาดตามองอวิ๋นฝูหลิงเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองเซียวจิ่งอี้ “ในเมื่อเจ้ากล้ารับรอง เช่นนั้นก็ให้นางรักษาฝ่าบาทเถิด”“รักษาหายย่อมได้รับพระร
มีบางคนที่เห็นแล้วไม่สบอารมณ์นัก ถึงกับอดเบ้ปากออกมาไม่ได้ ทั้งยังโน้มตัวไปกระซิบกระซาบกับคนข้าง ๆ อีก“นี่ยังไม่ทันได้ตรวจพระอาการเลย นางก็วางท่าใหญ่โตเสียแล้ว ถึงกับให้เจ้าสำนักโอวหยางไปเป็นลูกมือนางเชียวหรือ?”“พูดจาเสียใหญ่โต หากอีกประเดี๋ยวรักษาฝ่าบาทไม่ได้ นางได้เจอดีแน่!”“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าสำนักโอวหยาง ก่อนหน้านี้ก็ช่วยพูดแทนแม่นางอวิ๋น ยามนี้ยังจะมาลดตัวเป็นฝ่ายออกตัวว่าจะเป็นผู้ช่วยให้นางอีก?”อวิ๋นกานซงพูดได้ถูกจังหวะยิ่ง ทั้งยังเติมเชื้อไฟความไหม้พอใจให้แก่ทุกคนอีก“พวกเราจะมีใครบ้างที่ไม่ใช่หมอมีชื่อ นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวก็ยังคิดจะปีนขึ้นไปเหยียบอยู่บนหัวพวกเราหรือไร?”“ข้ากลับละอยากดูนักว่านางจะมีความสามารถอะไร โรคที่แม้แต่พวกเรายังรักษาไม่ได้ นางที่ยังอ่อนเยาว์จะรักษาได้?”“ออกจะพูดจาใหญ่โตไปสักหน่อย หากนางรักษาไม่ได้ ตัวนางจะตายไปคนเดียวก็แล้วไปเถิด หากพัวพันมาถึงพวกเรา...”ครั้นเหล่าหมอหลวงทั้งหลายได้ยินคำพูดเช่นนี้ของอวิ๋นกานซง ใบหน้าของพวกเขาจึงยิ่งไม่พอใจหนักภายในชั่วพริบตาหมอหลวงเจิ้งมองอวิ๋นกานซงด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้
อวิ๋นฝูหลิงหยิบห่อเข็มที่พกติดตัวขึ้นมาใช้มือหนีบเข็มทองขึ้นมาหนึ่งเล่ม ปักลงไปที่จุดชวีฉือของฮ่องเต้จิ่งผิง ตามด้วยจุดเหอกู่...กระทั่งฝังจนถึงเข็มที่เก้า หน้าผากของอวิ๋นฝูหลิงจึงเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อส่วนเหล่าหมอหลวงในตำหนักทั้งหลาย พอเห็นศาสตร์ฝังเข็มของอวิ๋นฝูหลิง ยามนี้จึงเงียบเสียงไม่ปริปากพูด ทั้งยังตกตะลึงกันทั้งหมดกระทั่งหลังฝังเข็มที่สิบสามแล้วเสร็จ มีบางคนถึงกับอดพูดเสียงหลงออกมาไม่ได้ “หรือว่านี่จะเป็นศาสตร์สิบสามเข็มสกุลอวิ๋น!”โอวหยางหมิงมองไปทางคนที่พูด พยักหน้าให้แล้วกล่าวชมเชย “ไม่เลว เป็นศาสตร์สิบสามเข็มสกุลอวิ๋นจริงๆ!”ในใจของโอวหยางหมิงทั้งตื่นเต้นทั้งภาคภูมิใจศาสตร์ฝังเข็มของท่านอาจารย์นั้นใต้หล้านี้ไม่เป็นสองรองใคร ถึงขนาดที่เขียนคัมภีร์ศาสตร์ฝังเข็มออกมาเล่มหนึ่งโดยเฉพาะเขาถือเป็นศิษย์ที่เรียนศาสตร์ฝังเข็มได้ดีที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ทว่าเรียนมาได้เพียงสองถึงสามในสิบส่วนของท่านอาจารย์เท่านั้นทว่าเมื่อได้เห็นอวิ๋นฝูหลิงคลำหาจุดแล้วฝังเข็มได้อย่างชำนาญ เห็นได้ชัดว่าศาสตร์ฝังเข็มของนางอยู่เหนือกว่าเขาอีกทั้งศาสตร์ฝังเข็มที่อวิ๋นฝูหลิงใช
“เทียบยานี้...” โอวหยางหมิงมีใบหน้าสองจิตสองใจอวิ๋นฝูหลิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วกล่าวว่า “ข้าจำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรเหล่านี้ รบกวนท่านปู่โอวหยางหาคนไปจัดยามาให้ข้าอย่างครบถ้วนก็พอเจ้าค่ะ”โอวหยางหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย เรียกหมอคนหนึ่งที่ตามมาได้ให้ไปจัดยาที่โรงโอสถหลวงมาเดิมทีคนอื่น ๆ อยากจะดูเทียบยาที่อวิ๋นฝูหลิงเขียนขึ้นสักหน่อย จนใจที่โอวหยางหมิงทำการรวดเร็ว ไม่ได้ให้พวกเขาดูแม้แต่น้อยตอนนั้นเอง อยู่ ๆ เกากงกงที่คอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ ๆ ก็ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ลดแล้ว ฝ่าบาทพระปรอทลงแล้ว!”หมอหลวงเจิ้งและคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้น จึงพากันก้าวเข้ามาดู พบว่าความร้อนในพระวรกายของฮ่องเต้จิ่งผิงลดลงมาบ้างแล้ว พระปรอทมิได้สูงอย่างก่อนหน้านี้อีกคิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางอวิ๋นผู้นี้จักเก่งกาจจริง ๆ ใช้เพียงแค่การฝังเข็มก็ทำให้ฮ่องเต้จิ่งผิงพระปรอทลดลงได้ครั้นข่าวกระจายไปถึงด้านหน้าตำหนัก ไทเฮาและคนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจออกมายาว ๆสวรรค์คุ้มครอง ในที่สุดพระอาการของฝ่าบาทก็ดีขึ้นเสียทีองค์หญิงใหญ่ผิงเล่อสวดพระนามของพระพุทธองค์ออกมา แล้วอิงแอบอยู่กับไทเฮาพลางตรัส “เสด็จแม่ ครานี้ต้องขอบคุณเ
โอวหยางหมิงเห็นดังนี้ก็ยิ่งสงสัยแล้วหมอหลวงท่านอื่นก็คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเช่นกันก่อนหน้านี้แม่นางอวิ๋นเขียนเทียบยา ให้คนไปจับยาที่โรงโอสถหลวงไม่ใช่หรือ?เหตุใดตอนนี้ก็มาช่างวัตถุดิบยาที่นี่แล้ว?นี่นางจะทำอะไรกันแน่?หลังจากอวิ๋นฝูหลิงจับยาเสร็จหนึ่งชุด ก็ไปเลือกหม้อยาที่ใช้สำหลับต้มยาหนึ่งใบ ใส่วัตถุดิบยาที่เตรียมไว้ทั้งหมดลงไปในหม้อ แล้วเติมน้ำเข้าไปอีกทีหลังจากนั้นจึงจะสั่งให้ขันทีน้อยคนหนึ่งย้ายเตาเล็กไปที่ตำหนักของฮ่องเต้จิ่งผิงส่วนนางถือหม้อยาเดินตามหลังรอหลังจากไปถึงตำหนักแล้ว อวิ๋นฝูหลิงวางหม้อยาลงไปบนเตาเล็ก ทำการต้มยาด้วยตัวเองโอวหยางหมิงไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถาม “แม่นางอวิ๋น ยานี่?”อวิ๋นฝูหลิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ยาของฝ่าบาท ข้าต้มเองจึงจะวางใจ”เหมือนโอวหยางหมิงนึกถึงอะไรบางอย่าง เผยให้เห็นสีหน้าทีครุ่นคิดเมื่อหมอหลวงท่านอื่นได้ยิน กลับยิ่งงงงวยแล้วคนที่ถูกส่งไปจับยาที่โรงโอสถหลวงให้ฝ่าบาทยังไม่กลับมาไม่ใช่หรือ แล้วนี่นางต้มยาอะไร?ผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่ถูกส่งไปจับยาก็กลับมาแล้วอวิ๋นฝูหลิงรับห่อยามาดมดู หลังจากนั้นยื่นให้โอวหยางหมิง“ท่านเป็นเจ้าสำนักของส
หลังจากหมอหลวงหลายท่านตรวจดู พบว่ายาในห่อยามีปัญหาจริงๆหนึ่งคือโหราเดือยไก่ถูกเปลี่ยนเป็นโหราเดือยไก่สดที่มีพิษสองคือรากเปลือกไป๋เซียนในเทียบยาถูกเปลี่ยนเป็นรากเปลือกโบตั๋น ถ้าหากไม่ตรวจอย่างละเอียด อาจสับสนได้ง่ายมากในเมื่อยามีปัญหาจริงๆ เช่นนั้นย่อมต้องตรวจสอบต่อไปและสิ่งที่จะตรวจสอบต่อจากนี้ ก็คือคนที่เคยแตะต้องห่อยาโชคดีที่เรื่องเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ไล่จากผู้ช่วยหมอที่ไปจับยาที่โรงโอสถหลวง ตรวจสอบลึกลงไป ทุกคนที่เกี่ยวข้องถูกจับทั้งหมดทันทีหลังจากการสอบสวน สุดท้ายหมอที่จับยาของโรงโอสถหลวงคนนั้นสารภาพ เป็นเพราะเขาไม่ระวังจับยาผิด ทำให้วัตถุดิบยามั่วไปหมดสำหรับวิธีพูดเช่นนี้ เซียวจิ่งอี้ไม่ยอมรับทันทีที่เกิดเรื่อง เขาก็ตระหนักถึงปัญหาที่แฝงอยู่ในนั้นแล้วตำหนักข้างก็มีวัตถุดิบยาให้ใช้ ทว่าอวิ๋นฝูหลิงหลับสั่งให้คนไปเอายาที่โรงโอสถหลวงกลับมาห่อใหญ่ไม่นานเขาก็ตระหนักว่าอวิ๋นฝูหลิงอาจจะจงใจทำเช่นนี้ ใช้แผนซ้อนแผนหลังจากผ่านการตรวจสอบทีละขั้น ยิ่งทำให้เขามั่นใจข้อนี้และจุดประสงค์ของคนที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือทำให้อวิ๋นฝูหลิงเกิดข้อผิดพลาด หลังจากนั้นเขาก็จะถูกถามหาควา
องค์ชายสามกระสับกระส่าย ไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่นแล้วและเซียวจิ่งอี้และคนอื่นกลับสังเกตเห็นคำว่า ‘พระบัญชา’ ของจั่วเยี่ยนฝ่าบาทสามารถออกคำสั่งแล้ว หรือเขาฟื้นแล้ว?เซียวจิ่งอี้รีบถามทันที “ผู้บัญชาการจั่ว เสด็จพ่อฟื้นหรือยัง?”จั่วเยี่ยนพยักหน้า “แม่นางอวิ๋นรักษาฝ่าบาทฟื้นแล้วขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนกรูกันเข้าไปในตำหนักโดยมีไทเฮานำหน้าเมื่อเข้าไปในตำหนัก ฮ่องเต้จิ่งผิงฟื้นแล้วจริงๆเพียงแต่เขายังป่วยอยู่ สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ดูไม่มีชีวิตชีวาอะไร ประกอบกับเจ็บคอเพราะติดไข้หวัดลมเย็น หลังจากมอบหมายไม่กี้คำ ก็นานหลับไปแล้วไทเฮาเห็นเขาหลับตา อดรู้สึกแน่นหน้าอกไม่ได้“แม่นางอวิ๋น เหตุใดฝ่าบามนอนหลับไปอีกแล้ว?”อวิ๋นฝูหลิงรีบอธิบาย “ทูลไทเฮา พระวรกายฝ่าบาททรงอ่อนแอเพราะประชวร การนอนหลับในเวลานี้ เป็นสัญญาณซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเพคะ”ไทเฮาพยักหน้า นี่จึงจะวางใจ“ฝีมือการแพทย์ของเจ้าเยี่ยมจริงๆ รักษาฝ่าบาทให้ดี หลังจากฝ่าบาทหายดีแล้ว ย่อมมีรางวัลให้เจ้า!”เวลานี้ ไทเฮารู้สึกถูกชะตากับอวิ๋นฝูหลิงมากขึ้นหลายส่วนอย่างไรก็ตาม หมอที่ดีนั้นหายาก
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ