อวิ๋นซานหูที่เป็นคุณหนูสูงศักดิ์นิ้วทั้งสิบไม่เคยต้องซักผ้าถูทำความสะอาดเรือน ทำอันใดไม่เป็นสักอย่าง ที่ดีเพียงอย่างเดียวก็มีแค่ใบหน้างดงามนั่นก็เท่านั้นคนที่มีเพียงความงามทว่าไร้ซึ่งหัวสมอง มักพบจุดจบไม่ดีตอนนี้เหยากวงถึงเข้าใจเจตนาของอวิ๋นฝูหลิง จึงรีบมองอวิ๋นฝูหลิงด้วยสายตาเลื่อมใสทันที“พระชายาทรงมีพระปรีชายิ่ง เป็นหม่อมฉันเองที่โง่เขลาเพคะ”“เอาละ เจ้าไปทำธุระเถิด” อวิ๋นฝูหลิงยิ้มเล็กน้อย พลางก้มหน้าดูสมุดบัญชีต่อช่วงพลบค่ำ อวิ๋นซานหูประเมินเวลาดูแล้ว ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวนางเพิ่งก้าวออกจากห้อง ก็ถูกสาวใช้ขวางเอาไว้เสียแล้ว “แม่นาง ท่านมีกิจธุระอันใดให้ต้องจัดการสั่งบ่าวไปทำก็ได้เจ้าค่ะ”สาวใช้ยิ้มละไม ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมานั้นกลับแฝงไปด้วยความเย็นชาไม่ยอมให้โต้เถียงอวิ๋นซานหูรู้ดีว่าบ่าวรับใช้ในเรือนของนางเหล่านี้นั้นมีหน้าที่คอยรับใช้ปรนนิบัติ ทว่าในความเป็นจริงแล้วล้วนเป็นอวิ๋นฝูหลิงที่ส่งมาคอยจับตาดูนางต่างหากเมื่อก่อนครั้งที่ใบหน้าของนางยังไม่หายดี และนางยังหวังให้อวิ๋นฝูหลิงรักษาหน้าให้นาง ดังนั้นจึงไม่กล้าเนรคุณ เลยได้แต่อยู่ในเรือนอย่างว่าง่าย โผล่หน้าอ
อวิ๋นซานหูเคยได้ยินบ่าวรับใช้พูดคุยกัน ไม่ว่าอี้อ๋องจะยุ่งเพียงไร มักจะกลับมากินข้าวเย็นพร้อมกับอวิ๋นฝูหลิงสองแม่ลูกเสมอดังนั้นนางถึงได้คำนวณเวลา แล้วเดินไปตามการประดับเรือนในความทรงจำ ด้วยอยากจะไปขวางอยู่ระหว่างทางที่เซียวจิ่งอี้ต้องเดินผ่านเพื่อไปยังเรือนหลักใครจะคิดว่าตลอดทางมานี้ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวจิ่งอี้อวิ๋นซานหูอดร้อนใจขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้อวิ๋นฝูหลิงออกปากให้นางออกจากจวนเซียวอ๋องแล้ว แต่ทันทีที่นางก้าวออกจากเรือนก็มีสาวใช้คอยติดสอยห้อยตามทุกฝีก้าวอยู่ข้าง ๆ หากวันนี้ไม่เจอตัวเซียวจิ่งอี้ ดึงดูดความสนใจจากเขาไม่ได้ เช่นนั้นหากวันข้างหน้าคิดจะเข้าหาเขาก็ยากกว่าตอนนี้เสียอีกอวิ๋นซานหูกำลังสวดอ้อนวอนต่อสรวงสวรรค์ ใครจะคิดว่าจู่ ๆ จะได้ยินเสียงพูดคุยเข้าทันทีที่ได้ยิน นางก็จำได้ทันทีว่าน้ำเสียงนั้นเป็นของเซียวจิ่งอี้อวิ๋นซานหูอดปลื้มปีติอยู่ในใจไม่ได้ พลางแอบคิดว่าสวรรค์ช่างเอ็นดูนางเสียจริง ๆอวิ๋นซานหูเปลี่ยนทิศทาง เดินไปตามทิศทางที่เสียงดังลอดเข้ามาในทันทีทันใดยามนี้สาวใช้ผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล นางเปลี่ยนสีหน้าทันที คิดอยากเอื้อมมือออกไปรั้ง
แผนการของอวิ๋นซานหูล้มเหลว ทั้งยังถูกอวิ๋นฝูหลิงเห็นกันจะจะ คาหนังคาเขา ในใจพลันกระวนกระวายไม่เป็นสุข กำลังกลัดกลุ้มคิดไม่ตกว่าควรจะทำเช่นไรดีครั้นได้ยินอวิ๋นฝูหลิงพูดเช่นนั้น นางก็รู้แจ้งราวกับมีน้ำมนต์ราดลงบนศีรษะ พยักหน้าราวกับกำลังตำกระเทียมพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว จวนอ๋องใหญ่เกินไป ข้าเลยหลงทางโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วบังเอิญมาเจอท่านอ๋องเข้า...” ไม่รั้งรอให้นางได้กล่าวจนจบ อวิ๋นฝูหลิงก็หันไปมองสาวใช้ที่คอยตามอวิ๋นซานหูไม่ห่างผู้นั้นสาวใช้ผู้นั้นมีไหวพริบปฏิภาณยิ่ง รีบเอ่ยปากทันทีว่า “กราบทูลพระชายา บ่าวคอยตามแม่นางซานหูมาตลอดทาง ทั้งคอยเตือนนางเรื่องทางไปเรือนหลักอยู่หลายครั้งหลายหน ทว่านางกลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทั้งยังพูดว่าก่อนจะไปจากจวนอ๋องก็ขอเดินเล่นในจวนอ๋องสักหน่อย ด้วยวันข้างหน้าคงไม่มีโอกาสอีก”“เมื่อครู่บ่าวได้ยินเสียงพูดคุยของท่านอ๋อง เดิมทีคิดจะหลบเลี่ยงไป แต่พอแม่นางซานหูได้ยินเสียงของท่านอ๋องเข้า นางไม่เพียงไม่หลบเลี่ยง ซ้ำยังตรงดิ่งไปทางท่านอ๋องด้วยเพคะ”“เดิมทีบ่าวอยากจะขัดขวางไว้ ทว่าจนใจที่แม่นางซานหูเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ชั่วพริบตานั้นบ่าวเลยขวางไว้ไม่ทัน”คว
อวิ๋นฝูหลิงมองอวิ๋นซานหูถูกลากไปอย่างเย็นชาจะโทษก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ตนใจอ่อนเกินไปนางสามารถเอากิจการของจวนจี้ชุนโหวกลับคืนมา เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของครอบครัวอวิ๋นกานซง ในนั้นก็มีผลงานของอวิ๋นซานหูอยู่หลายส่วนเช่นกันแม้นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยน แต่อวิ๋นฝูหลิงก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง ฆ่าคนปิดปากโดยตรงดังนั้นเดิมทีนางได้เตรียมเส้นทางที่เป็นไปตามยถากรรมไว้ให้อวิ๋นซานหูถ้าหากนางมีความสามารถที่จะอยู่รอด ไม่ว่าเลือกเส้นทางใดก็เป็นทางที่นางเลือกเอง จะเป็นหรือร้ายล้วนเป็นชะตากรรมของนางแต่ตอนนี้นางกล้าเล่นกับไฟ อวิ๋นฝูหลิงย่อมเก็บนางไว้ไม่ได้แล้ว!หลังจากจัดการอวิ๋นซานหูเสร็จ อวิ๋นฝูหลิงยังไม่หายโมโหหางตานางเหลือบมองเซียวจิ่งอี้ที่อยู่ข้างๆ แม้รู้ว่าเรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งเขายังหลบเลี่ยงการเข้าใกล้ของอวิ๋นซานหูทันเวลา ทำให้แผนของนางไม่สำเร็จ จัดการได้ดีมากแต่นางก็ยังโมโหเซียวจิ่งอี้อย่างอธิบายไม่ถูก“ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ!”อวิ๋นฝูหลิงจ้องเขม็งใส่เซียวจิ่งอี้แวบหนึ่ง พูดทิ้งท้ายห้าคำนี้จบ ก็หมุนกายเดินจากไปแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเซียวจิ่ง
จิงมั่วทำปากจู๋ “พวกท่านสองคนเป็นพ่อแม่ของข้า พวกท่านทะเลาะกัน ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร?”ท่านพ่อไม่ได้เรื่อง เขาต้องลงมือเองแล้วถ้าหากไม่มีเขา ครอบครัวนี้จะทำอย่างไร!ท่าทางนั่นของท่านพ่อ แค่ดูก็ดูว่าง้อผู้หญิงไม่เป็นเขาที่เป็นลูกชายคนนี้ต้องช่วยแล้ว“ท่านแม่ ถ้าหากท่านพ่อทำผิดจริงๆ ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน และช่วยท่านระบายความคับข้องใจแน่นอน”“แต่โบราณว่าไว้ รู้ผิดรู้แก้ไขคือยอดคน หากท่านพ่อยอมรับผิด ท่านแม่ก็ให้อภัยเขาสักครั้งดีหรือไม่ขอรับ?”อวิ๋นฝูหลิงมองลูกชายที่ทำตาคาดหวังและไม่สบายใจ จึงจะตระหนักว่าความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเอง ส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวแล้วสำหรับจิงมั่ว ท่านพ่อท่านแม่ล้วนอยู่ข้างกาย มีครอบครัวที่สมบูรณ์ คือความปรารถนาที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขาไม่ต้องการให้ทุกสิ่งที่เขามีในวันนี้ถูกทำลายกลายเป็นเพียงความฝันอวิ๋นฝูหลิงจึงจะรู้ตัว ตนไม่ควรทำเช่นนี้นางลูบศีรษะของจิงมั่ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ไม่ได้ทะเลาะกับพ่อเจ้า แม่เจอปัญหาการค้าขายนิดหน่อย ดังนั้นจึงอารมณ์ไม่ดี” “แม่ผิดไปแล้ว แม่ไม่ควรให้ความรู้สึกแย่ๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเจ้า”กล่าวจบ อวิ๋นฝูหลิงคีบ
อวิ๋นฝูหลิงตกใจกับการกระทำของเซียวจิ่งอี้ กล่าวโดยไม่รู้ตัว “ท่านจะทำอะไร? รีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้นะ”เซียวจิ่งอี้หัวเราะเบาๆ “เจ้ายั่วข้าเอง เจ้าว่าข้าจะทำอะไร?”“คืนนี้ทิวทัศน์งดงาม พลาดไม่ได้”“ก่อนหน้านี้บอกว่าจะคลอดน้องสาวให้จิงมั่วไม่ใช่หรือ ข้าว่าเราควรพยายามให้มากๆ จึงจะถูก!”กล่างพลางอุ้มอวิ๋นฝูหลิงเข้าไปในห้องนอนเรือนหลักแล้วเช้าวันต่อมาตอนที่อวิ๋นฝูหลิงตื่น เซียวจิ่งอี้ไม่อยู่ข้างกายนางแล้วอวิ๋นฝูหลิงนวดเอวที่เมื่อยล้า แอบกัดฟันสาวใช้หงจูที่เฝ้าอยู่นอกม่านได้ยินเสียง ก็รีบถามผ่านม่านทันที “พระชายา ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”อวิ๋นฝูหลิงขานรับทีหนึ่งหงจูรีบดึงม่านออก ช่วยอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนชุดหงอวี้ที่อยู่ด้านข้างเดินออกจากห้องชั้นใน สั่งให้คนยกของที่ใช้ล้างหน้าล้างตาเข้ามาหงอวี้กับหงจูเป็นสาวใช้ที่ส่งมารับใช้อวิ๋นฝูหลิง หลังจากที่นางเข้าจวนอ๋องทั้งสองคนหนึ่งหนักแน่น คนหนึ่งมีไหวพริบ รับผิดชอบชีวิตประจำวันของอวิ๋นฝูหลิงอวิ๋นฝูหลิงถาม “ท่านอ๋องเล่า?”หงจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ ท่านอ๋องไปประชุมตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ก่อนไปยังได้กำชับให้พวกบ่า
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงแต่งตัวเสร็จ นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่นัดจะไปรักษา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็แบกกล่องยาออกจากจวนแล้วแต่ก่อนออกจากจวน อวิ๋นฝูหลิงแวะไปหาจิงมั่วก่อนทันทีที่เข้าเรือน ก็ได้ยินเสียงอ่านหนังสือแล้วอวิ๋นฝูหลิงส่งสัญญาณมือให้คนรับใช้ สั่งทุกคนห้ามส่งเสียงรอหลังจากเข้าใกล้แล้ว จึงได้ยินเสียงสอนหนังสือของอาจารย์อาจารย์เสวียนที่เซียวจิ่งอี้เชิญมาท่านนี้เป็นบัณฑิตชั้นสูงสองสาขา มีความรู้ความสามารถ แต่น่าเสียดายเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เหมาะกับแวดวงขุนนางต่อมาถูกเพื่อนร่วมงานจับผิด จึงลาออกจากการเป็นขุนนางด้วยความโกรธเซียวจิ่งอี้เสียดายความสามารถ จึงเชิญเขาเข้าจวนมาเป็นอาจารย์อาจารย์เสวียนไม่สนใจเส้นทางขุนนาง ดังนั้นจึงมุ่งความสนใจไปที่การเป็นอาจารย์ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อวิ๋นฝูหลิงฟังอยู่ครู่หนึ่ง คิดในใจว่าอาจารย์เสวียนท่านนี้พอจะมีของจริงๆคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ กวี ศาสนา สอนโดยไม่ต้องนึก สร้างสรรค์น่าสนใจขณะเดียวกับที่สอนจิงมั่วรู้จักตัวหนังสือ เขายังสอดแทรกปรัชญาชีวิต หรือบุคคลในประวัติศาสตร์ เล่าให้จิงมั่วฟังเหมือนเป็นนิทานส่วนจิงมั่วก็ฟังอย่างสนอกสนใจ เห
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงถามไถ่อย่างเรียบง่าย ก็ตรวจชีพจรให้วั่นเฉิง จึงจะเริ่มการเริ่มฝังเข็มของวันนี้สวินเส้าคังคอยเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งลงเข็มแรก สวินเส้าคังก็พบว่าวิชาเข็มของอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนไป วิชาเข็มที่ใช้ในวันนี้ไม่เหมือนที่ใช้เมื่อหลายวันก่อนรอหลังจากฝังเข็มเสร็จ บนหน้าผากอวิ๋นฝูหลิงเต็มไปด้วยเหงื่อ แทบจะหมดแรงแล้วเดิมทีการฝังเข็มต้องใช้สมาธิอย่างมาก เวลาลงเข็มต้องจดจ่อเป็นพิเศษอีกทั้งวันนี้นางยังเปลี่ยนวิชาเข็มชุดใหม่ ยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมแล้วสวินเส้าคังประคองอวิ๋นฝูหลิงไปนั่งเก้าอี้ที่ข้างๆ หลังจากนั้นหมุนกายไปรินน้ำชาอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งล่วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ตรงหน้าก็มีน้ำชาเพิ่มมาหนึ่งถ้วย“ขอบคุณศิษย์พี่สวิน!”อวิ๋นฝูหลิงรับน้ำชา เผยอยิ้มกล่าวขอบคุณรอหลังจากดื่มน้ำชาไปแล้วสองถ้วย สวินเส้าคังจึงจะเอ่ยปากขอคำชี้แนะ “ศิษย์น้องอวิ๋น วันนี้เจ้าเปลี่ยนวิชาเข็มชุดใหม่ วิชาเข็มชุดนี้ประณีตนัก”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ถกเถียงวิชาเข็มกับสวินเส้าคังหลายประโยคฮูหยินวั่นเฝ้าลูกชายอยู่ที่ด้านข้างเงียบๆ ไม่ได้รบกวนพวกเขาสองคนอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกว่าได
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ