เมื่อ ปลายฝัน หญิงสาวผู้มีอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยว ได้ย้ายบ้านตามแม่ที่แต่งงานกับสามีใหม่ ทำให้เธอได้พบกับภาพวาดเมืองจีนโบราณที่สวยงดงาม เธอจึงลองสัมผัสกับมัน แต่พบว่าพลังงานบางอย่างกลับดึงดูดเธอให้ทะลุเข้าไปในเมืองจีนโบราณ และได้พบกับ น่าหลานเยี่ย อ๋องใจโฉด เขาทั้งปากร้ายและบ้ากาม แถมยังชอบหยอดมุกหวาน ๆ ให้เธอเขินอีกด้วย เรื่องราวชวนฮาจึงบังเกิดขึ้น
ดูเพิ่มเติมกรุงเทพมหานคร 2565
"ฝัน เก็บของเสร็จหรือยังลูก แม่กับลุงรอนานมากแล้วนะ"
"เสร็จแล้วค่ะแม่"
ปลายฝัน หญิงสาวอายุ 25 ปี เธอมีอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยวนักท่องเที่ยวชาวจีน แม้จะรายได้ไม่มากเท่าใดนักเพราะเธอเพิ่งจะเริ่มทำงานนี้ได้ไม่นาน แต่เธอก็รักในอาชีพนี้มากเหลือเกิน
พ่อของปลายฝันเสียชีวิตไปเมื่อสามปีที่แล้ว เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ต่อมาแม่ของเธอได้แต่งงานใหม่กับคนที่ทำงานเดียวกัน และกำลังจะพาเธอย้ายไปอยู่ที่บ้านของสามีใหม่ เดิมทีปลายฝันไม่อยากจะตามไปด้วยเท่าใดนัก เธอเคยขอแม่ว่าอยากแยกไปเช่าคอนโดอยู่เพียงลำพัง แต่แม่กลับบอกว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
ปลายฝันไม่ชอบพ่อเลี้ยงคนนี้สักเท่าใดนัก ตาแก่นี่ชอบส่งสายตาแทะโลมมาให้เธอเวลาที่แม่เผลอ จากนี้ไปเธอคงต้องคอยระวังตัวให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว
เธอมองดูบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ที่นี่เป็นบ้านของพ่อเลี้ยง เขาบอกว่ามันเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น บ้านปูนหลังใหญ่ ด้านในประดับโคมแดงและภาพวาดของชาวจีนโบราณ ให้อารมณ์เหมือนกับว่าเธอกำลังยืนอยู่ที่เมืองจีนอย่างไรอย่างนั้น
"ห้องของหนูฝันอยู่ทางนั้นนะลูก ติดกับห้องของลุงกับแม่ เวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันทัน"
ปลายฝันหันไปพยักหน้าให้พ่อเลี้ยงอย่างขอไปที ก่อนจะรีบเปิดประตูและเข้าไปจัดเรียงของในห้อง เธอไม่ลืมที่จะล็อกประตูให้แน่นหนา สายตาของตาแก่นั่นช่างน่ากลัวเหลือเกิน
เฮ้อ เหนื่อยจัง!!!
หลังจากที่จัดเรียงข้าวของส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปลายฝันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า เธอลางานหนึ่งวัน เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้เหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน
เธอหยิบนิยายจีนโบราณขึ้นมาอ่าน มันเป็นนิยายจีนเล่มใหม่ที่ องค์หญิงโนเนม เพิ่งจะวางขายเมื่อเร็ว ๆ นี้ บอกเล่าเรื่องราวของอ๋องใจโฉดที่ดื่มสุราเมามาย ทำตัวไร้แก่นสาร แถมยังจีบหญิงเก่งอย่างน่าตกใจ แล้ววัน ๆ ก็คอยแต่จะฟันคอคนอื่น แต่พล็อตก็สนุกดีนะ อ่านฆ่าเวลาได้ไม่น่าเบื่อ
ปลายฝันอ่านนิยายไปเรื่อยเปื่อย พลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นภาพวาดหน้าต่างเมืองจีนที่สวยงามห้อยอยู่ที่ฝาผนังบนหัวเตียงนอนของเธอ มันคล้ายกับประตูหน้าต่างบนกำแพงเมืองจีนเหมือนในนิยายที่เธอเคยอ่านเจอ
สวยดีนี่!!! ให้อารมณ์เหมือนศิลปะสมัยจีนโบราณเลย
ปลายฝันยื่นมือเรียวสวยขึ้นไปลูบบริเวณภาพวาดนั้น แต่ทว่าราวกับมันมีแรงดึงดูดบางอย่าง ที่ดึงกระชากร่างของเธอให้ทะลุเข้าไปในภาพวาดนั้น
เมืองหลวงเฟิ่งหวง
รัชศกหลิงหวางปีที่ 20
"ชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรับสั่งให้เข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ"
"ไปบอกเสด็จพี่ว่าข้ากำลังร่ำสุราอยู่ ไม่สามารถเข้าวังหลวงได้ตามรับสั่ง"
"โธ่ ชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่อยากถูกบั่นคอขาดก็รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าซะ!!!"
"พ่ะย่ะค่ะ!!!"
ราชเลขาทำได้เพียงก้มหน้างุดและเดินออกจากตำหนักอ๋องอย่างอับจนหนทาง
ชินอ๋องน่าหลานเยี่ย เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวาง อายุปีนี้ก็ยี่สิบหนาวแล้ว ตอนที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ปีแรก น่าหลานเยี่ยอายุได้เพียงหนึ่งขวบปี เขาเป็นพระโอรสที่เกิดจากกุ้ยเฟย แต่เพราะว่าพระมารดาล้มป่วยลงและตายจากไป ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางจึงเป็นผู้เลี้ยงดูและรักน่าหลานเยี่ยเป็นอย่างมาก แต่ก่อนเขาเป็นเด็กน้อยที่น่ารักและสอนง่าย แต่ทว่าพอเติบโตขึ้นมากลับกลายเป็นอ๋องไร้ประโยชน์ ไม่ดื่มสุราก็ชื่นชมสาวงาม ชีวิตวัน ๆ ช่างไร้แก่นสารเสียเหลือเกิน
น่าหลานเยี่ยยกจอกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะหันไปมองสาวงามที่เขาเรียกมาปรนนิบัติ นางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในหอคณิกาบุปผาหอม เขากับนางภายนอกดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แต่ทว่าแท้จริงแล้วนางเป็นหน่วยสืบข่าวกรองให้แก่เขา ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันบุรุษและสตรีเลยแม้แต่น้อย
น่าหลานเยี่ยภายนอกดูเหมือนเป็นอ๋องไร้ประโยชน์ เมามายไม่เว้นวัน แต่แท้จริงแล้วเขาเพียงเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น เสด็จพี่เองก็ทรงคิดว่าเขาเป็นน้องชายตัวปัญหา แต่ทว่าทุกการเคลื่อนไหวในวังหลวง เหล่าขุนนางที่คิดคด หรือแม้แต่คำเล่าลือถึงเขาในทางที่ดีและไม่ดี ย่อมรับรู้ถึงหูของเขาอย่างไม่มีตกหล่น
ยามนี้เหล่าขุนนางกำลังเพ่งเล็งเขา เสด็จพี่ครองราชย์มายี่สิบปี มีพระสนมมากมายแต่กลับไร้ซึ่งพระโอรสสืบทอดราชบัลลังก์ เหล่าขุนนางจึงเกรงกลัวว่าเขาที่เป็นอ๋องไร้ประโยชน์จะคิดก่อกบฏขึ้นมา
บัดซบ!!! เขาไม่เคยอยากขึ้นเป็นฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย!!!
"วันนี้เจ้ากลับไปก่อน หากมีความเคลื่อนไหวจากทางเหล่าขุนนาง ก็ให้รีบกลับเข้ามารายงานข้า"
"เพคะท่านอ๋อง"
น่าหลานเยี่ยพยักหน้าก่อนจะสะบัดมือให้นางออกไป เขายกจอกสุราขึ้นมาดื่มอีกครั้ง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
นั่นมัน!!! สตรีประหลาดที่ใดกัน
น่าหลานเยี่ยจ้องมอง ปลายฝัน เขม็ง นางใส่เสื้อผ้าวาบหวิวเสียเหลือเกิน เรียวขางามที่แสนเย้ายวนนั้นทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
นางเป็นใครกัน เหตุใดจึงแต่งตัวประหลาดเช่นนี้?
ปลายฝันรู้สึกราวกับฝันไป เธอได้ทะลุมาอีกมิติหนึ่งอย่างนั้นหรือ จากรูปวาดหน้าต่าง ยามนี้มันกลับกลายเป็นหน้าต่างจริง ๆ ที่นี่คล้ายตำหนักอะไรสักอย่างหนึ่ง มันดูใหญ่โตโอ่อ่าและสวยงาม ที่สำคัญอากาศค่อนข้างเย็นไม่น้อย เธอสวมเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนขาสั้นธรรมดาเท่านั้น ยิ่งเพิ่มความหนาวให้มากขึ้นไปอีกเท่าตัว
ปลายฝันลองยื่นมือไปสัมผัสกับหน้าต่างบานนั้น เธอกลับพบว่าเธอสามารถข้ามเวลากลับไปที่บ้านได้อีกด้วย
ข้ามไปข้ามกลับได้ อะเมซิ่งสุด ๆ!!!
ลองข้ามอีกสักรอบ!!!
ในขณะที่ปลายฝันกำลังข้ามกลับไปกลับมาอย่างสนุกสนานนั้น จังหวะที่นางกำลังจะจับภาพวาดอีกรอบเพื่อกลับไปยังห้องนอน ก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด
"เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใดกัน เหตุใดจึงแต่งตัวเช่นนั้น?"
ปลายฝันหันไปมอง ก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาสวมชุดสีขาวคล้ายกับชุดของชาวจีนโบราณ และยังรวบผมขึ้นอย่างลวก ๆ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพสวรรค์ กลิ่นสุราจากกายของเขาสร้างความเคลิบเคลิ้มให้แก่ปลายฝันไม่น้อย
ภาษาจีน?
เธอชื่นชอบภาษาจีนมาก ๆ จึงได้เรียนภาษาจีนอย่างลึกซึ้งจนสามารถสื่อสารได้อย่างดีเยี่ยม ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ข้ามเวลามาในเมืองจีนเช่นนี้
"เอ่อ ที่นี่คือที่ไหนคะ เอ่อ ยุคไหน?"
น่าหลานเยี่ยขมวดคิ้วมุ่น ภาษาจีนที่ฟังดูสำเนียงประหลาดของสตรีตรงหน้าทำให้เขาครุ่นคิด นางมิใช่สตรีในเมืองหลวงเฟิ่งหวงหรอกหรือ ไม่น่าใช่!!! การแต่งกายของนางดูประหลาดยิ่งนัก
"ที่นี่คือเมืองเฟิ่งหวง เมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุด เป็นเมืองหลวงที่แคว้นต่าง ๆ ยอมศิโรราบให้ ว่าแต่เจ้า มาจากที่ใดกัน แต่งตัวประหลาดจริงเชียว หรือว่า เป็นพวกกบฏ!!!"
น่าหลานเยี่ยชักดาบขึ้นมาพาดไว้บนลำคอของปลายฝัน จนเธอรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
ดีนะที่ชักดาบ ไม่ได้ชักอย่างอื่น!!!
บ้าบอ!!! นี่ฉันคิดบ้าอะไรวะเนี่ย!!!
"ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ใช่กบฏ!!!"
"หืม? ตอบข้ามามิเช่นนั้นข้าจะบั่นคอเจ้าให้ตายสิ้นตรงนี้เสีย!!!"
"ข้าไม่ใช่กบฏ ข้ามาจากหน้าต่างบานนี้เจ้าค่ะ!!!"
ปลายฝัน เอ่ยภาษาจีนโบราณขึ้นมาตอบโต้กับเขาทันที น่าหลานเยี่ยขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องมองไปยังหน้าต่างตรงกำแพงตำหนักอ๋องที่อยู่ติดกับเรือนนอนของเขาด้วยแววตาสงสัย
"เจ้าเป็นผีเร่ร่อนรึ จึงทะลุหน้าต่างตรงกำแพงมาที่ห้องนอนของข้าได้"
"เอ่อ ไม่ใช่ผีเจ้าค่ะ ข้ามาจากอีกโลกหนึ่ง"
"พูดจาประหลาด!!! ตายเสียเถอะ!!!"
"อย่าเจ้าค่ะ โว้ยยย หนีดีกว่า!!!"
ปลายฝันรีบกระโดดทะลุหน้าต่างกลับมายังห้องนอนของตนเองทันที ใจของเธอเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นตกใจ ให้ตายสิ!!! เกือบโดนตัดคอเสียแล้ว แต่ชายหนุ่มคนนั้นเขาช่างหล่อเหลาเหลือเกิน ตรงสเป็กเสียจริงเชียว
น่าหลานเยี่ยที่ได้เห็นเต็มสองตาว่านางหายเข้าไปในหน้าต่างตรงกำแพงก็รู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อย เขาชะโงกหน้าเข้าไปมองด้วยความหวาดระแวง แต่ก็ไร้ร่องรอยของนาง มีเพียงเหล่านางกำนัลที่กำลังกวาดลานพื้นภายในจวน
นางหายไปที่ใดกัน!!! นางเป็นผีรึ?
หมายเหตุ:ที่ของนางเอกคือภาพวาดนะคะ พอข้ามไปหาพระเอก ตรงนั้นจะเป็นหน้าต่างโล่ง ๆ ประตูมิติจะเชื่อมกันค่ะ
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น
ความคิดเห็น