แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: หลันซานอวี่
น้ำท่วมที่โหมกระหน่ำกลืนกินบ้านเรือนและไร่นาในพริบตา

บ้านเรือนต้านแรงซัดของกระแสน้ำไม่ไหว ถูกซัดจนพังทลาย กลายเป็นเศษซากกระจัดกระจายไปทั่ว

ชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้น ก็ถูกน้ำท่วมม้วนเข้าไปในพริบตา

คนเหล่านี้ไม่ทันได้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ หลังจากลอยคออยู่ในน้ำครู่หนึ่ง ก็ถูกน้ำท่วมพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ชาวบ้านคนอื่นเห็นสถานการณ์ อดไม่ได้ที่จะหน้าซีด ตอนนี้แทบจะใช้มือและเท้าปีนขึ้นยอดเขาอย่างสุดชีวิต

โดยเฉพาะพวกชาวบ้านที่อยู่ท้ายขบวน พวกเขาเห็นคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาถูกน้ำท่วมกลืนกินต่อหน้าต่อตา

อีกเพียงนิดเดียว พวกเขาก็เกือบจะถูกฝังท่ามกลางน้ำท่วมแล้ว!

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลาสนใจสัมภาระที่หนักอึ้งบนแผ่นหลังแล้ว โยนของทิ้งก็ปีนขึ้นเขาอย่างสุดชีวิต

ในเวลาเช่นนี้ สิ่งของจะสำคัญกว่าชีวิตได้อย่างไร!

อวิ๋นฝูหลิงกุมศีรษะปีนขึ้นเขา ระหว่างนั้นหันกลับมาดูสถานการณ์ของน้ำท่วมแวบหนึ่ง

น้ำท่วมที่อยู่ใต้เขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมู่บ้านจมไปแล้ว อีกทั้งปริมาณน้ำยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าจะท่วมสูงถึงไหล่เขา

อวิ๋นฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

เวลานี้เอง หญิงสาวคนหนึ่งที่แบกลูกไว้ข้างๆ นาง ไม่รู้เพราะเหตุใดเท้าของนางเหยียบไม่มั่นคง จู่ๆ ก็ล้มหน้าหงายไปข้างล่าง

หญิงสาวตกใจจนกรีดร้อง สองมือโบกไปมากลางอากาศสองสามครั้ง ราวกับอยากคว้าอะไรสักอย่างเพื่อถ่วงสมดุล ทว่าไม่มีประโยชน์

มือของอวิ๋นฝูหลิงไว้กว่าสมอง รอตอนที่นางรู้สึกตัวอีกที ก็คว้าแขวนของหญิงสาวและออกแรงดึงแล้ว

หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นตระหนักว่าได้รับการช่วยเหลือ ก็รีบอาศัยแรงของอวิ๋นฝูหลิงยืนให้มั่นคง จากนั้นก็ขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงไม่หยุด

อวิ๋นฝูหลิงอาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม รู้ว่าหญิงสาวคนนี้คือเจิ้งซื่อ[1] เป็นสะใภ้ใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้าน

นางยิ้มให้เจิ้งซื่อ หลังจากเตือนให้ระวังหน่อยแล้ว ก็หมุนกายปีนขึ้นยอดเขาต่อ

เจิ้งซื่อถูกรอยยิ้มของอวิ๋นฝูหลิงทำให้อึ้งไปชั่วขณะ

ในความทรงจำของนาง สุขภาพของอวิ๋นฝูหลิงไม่ดีนัก เวลาส่วนใหญ่ล้วนป่วยออดๆ แอดๆ

อีกทั้งไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้าน มักจะอยู่แต่บ้านไม่ค่อยออกมา

เพราะเจิ้งซื่อเป็นสะใภ้ใหญ่ของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้าน และตระกูลอวิ๋นก็มาขออาศัยอยู่ในหมู่บ้าน อย่างไรพ่อสามีของตนก็ต้องถามไถ่บ้าง ด้วยเหตุนี้นางจึงพอไปมาหาสู่กับตระกูลอวิ๋นอยู่บ้าง

คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงที่ดูอ่อนแอ กลับมีแรงมากเช่นนั้น เมื่อครู่ถึงกับสามารถดึงนางกับลูกสองคนไว้ได้

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเวลาที่อวิ๋นฝูหลิงยิ้มงามยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ยิ้ม ราวกับเป็นเทพธิดาก็ไม่ปาน ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมองตาค้าง

เจิ้งซื่อหวนคืนสติ รีบหันไปมองโจวฉางจี๋ ลูกชายที่นางแบกอยู่บนหลัง

โชคดีที่ก่อนออกจากบ้าน เจิ้งซื่อใช้ผ้ามัดลูกชายไว้บนร่างกายตัวเอง เมื่อครู่นางไม่ระวังจนล้ม ลูกชายจึงไม่ได้ถูกเหวี่ยงออกไป

โจวฉางจี๋ที่อายุสี่ขวบกอดคอเจิ้งซื่อไว้แน่น เบ้าตาแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าได้รับความตกใจ แต่กลับรู้ความไม่ได้ร้องไห้งอแง

เจิ้งซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก ปลอบโยนลูกชายเบาๆ

หัวหน้าหมู่บ้านโจวพาลูกๆ ของเขาไปช่วยชาวบ้านอพยพไปหลบภัยบนภูเขา ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านฟางซื่อดูแลผู้หญิงและเด็กทั้งครอบครัวคนเดียว ยากจะหลีกเลี่ยงการดูแลที่ไม่ทั่วถึง

เมื่อครู่เห็นเจิ้งซื่อเกือบกลิ้งตกลงไป นางตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น

นางกับเจิ้งซื่ออยู่ห่างกันระยะหนึ่ง อย่างไรก็ช่วยคนไม่ทัน

โชคดีที่อวิ๋นฝูหลิงดึงไว้ได้ทันท่วงที จึงช่วยพวกเขาสองแม่ลูกเอาไว้

โจวซิ่งเอ๋อร์ลูกสาวคนโตของเจิ้งซื่อดิ้นหลุดออกจากมือของฟางซื่อผู้เป็นย่า วิ่งไปหามารดากับน้องชาย

“ท่านแม่ ท่านกับน้องชายไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ?”

เจิ้งซื่อส่ายศีรษะ “พวกเราไม่เป็นอะไร เจ้าไปประคองท่านย่าเถิด รีบเดินขึ้นเขาเร็ว ถึงยอดเขาแล้วจึงจะนับว่าปลอดภัย”

โจวซิ่งเอ๋อร์เห็นมารดากับน้องชายไม่เป็นอะไรจริงๆ จึงวิ่งกลับไปข้างกายฟางซื่อ ประคองนางเดินขึ้นเขาต่ออย่างเชื่อฟัง

สะใภ้คนอื่นของตระกูลโจวก็มองไปทางเจิ้งซื่ออย่างกังวลเช่นกัน เมื่อครู่พวกนางก็ตกใจมาก

แม้ระหว่างสะใภ้อย่างพวกนางจะมีเรื่องกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราว แต่ความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ย่อมไม่หวังว่าจะเกิดเรื่องกับเจิ้งซื่อ

เมื่อเห็นพวกเจิ้งซื่อแม่ลูกไม่เป็นอะไร คนตระกูลโจวจึงจะประคองกันและกันเดินขึ้นยอดเขาต่อ

ไม่รู้ว่าปีนอยู่นานเท่าไร ในที่สุดชาวบ้านที่รอดชีวิตก็ปีนถึงยอดเขาเฟิ่งลั่ว

ชาวบ้านเหนื่อยจนทิ้งก้นนั่งลงกับพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมา

มองลงไปจากยอดเขา น้ำได้ท่วมสูงถึงไหล่เขาแล้ว

บ้านเรือนส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้เขาถูกน้ำท่วมซัดจนพังทลาย ส่วนบ้านเรือนหลายหลังที่แข็งแรง ก็ถูกน้ำท่วมจนเห็นแค่หลังคาเล็กน้อย

และไร่นาที่อยู่ใต้เขายิ่งถูกน้ำท่วมทั้งหมด

นึกถึงผลผลิตที่ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยวในไร่นา ชาวบ้านที่ตั้งสติได้ปวดใจจนร้องไห้

“อาหารของข้า…”

“อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวแล้ว คราวนี้หมดสิ้นแล้ว!”

“สวรรค์ไม่มีตา!”

“ฝายเจียงหลิงแตกได้อย่างไร?”

“ใช่ ปีที่แล้วราชสำนักพึ่งจัดสรรเงินมาซ่อมแซมฝายไม่ใช่หรือ?”

“บ้านกับนาจมหมดแล้ว พวกเราทำอย่างไรดี?”

“ราชสำนักน่าจะช่วยผู้ประสบภัยกระมัง?”

ชาวบ้านถกเถียงเจ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งคำ ในแววตาล้วนเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสนของวันข้างหน้า

อวิ๋นฝูหลิงหาก้อนหินก้อนหนึ่งนั่งลงพักผ่อน

แม้ร่างกายร่างนี้ถูกหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณฟื้นฟูแล้ว แต่นางอุ้มอวิ๋นจิงมั่วปีนขึ้นยอดเขา ก็เหนื่อยจนหอบเช่นกัน

ฝนค่อยๆ หยุดตก ดวงอาทิตย์โผล่พ้นออกมาจากก้อนเมฆอีกครั้ง

อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามองตำแหน่งของดวงอาทิตย์แวบหนึ่ง คาดว่าตอนนี้น่าจะประมาณบ่ายสองบ่ายสามแล้ว

อวิ๋นจิงมั่วที่ถูกคลุมอยู่ใต้เสื้อกันฝนอดไม่ได้ที่จะบิดตัวไปมา

เขาถูกอวิ๋นฝูหลิงมัดไว้ตรงหน้าอก ยากจะหลีกเลี่ยงความอึดอัด

อวิ๋นฝูหลิงเห็นการเพิ่มขึ้นของน้ำท่วมใต้ภูเขาค่อยๆ ช้าลง ตามการเพิ่มขึ้นนี้ ยากจะท่วมมาถึงยอดเขาในวันสองวัน

นางรู้สึกว่าตอนนี้นับว่าปลอดภัยแล้ว จึงแกะเชือกที่หมัดอวิ๋นจิงมั่วออก

และถือโอกาสนี้ถอดเสื้อกันฝนกับหมวกหวายออก

อวิ๋นจิงมั่วได้รับอิสระ รีบลงมาจากตัวอวิ๋นฝูหลิงทันที

เขากระโดดอยู่ตรงที่เดิมสองสามครั้ง หันมาเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของอวิ๋นฝูหลิง ก็รีบใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบน่องให้นาง

“ท่านแม่เจ็บใช่หรือไม่? มั่วมั่วทุบให้ท่านแม่ก็ไม่เจ็บแล้ว…”

ท่านแม่อุ้มเขาวิ่งมาตั้งไกลเช่นนี้ ต้องเจ็บขามากแน่ๆ

เขาเห็นท่านตาในหมู่บ้านทำงานที่นาจนบ่นว่าปวดเอว ลูกชายของท่านตาก็ทุบเอวเช่นนี้ให้ท่านตา

อวิ๋นฝูหลิงคิดไม่ถึงว่าลูกที่ได้มาเปล่าๆ คนนี้จะเอาใจใส่เช่นนี้ ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงจะตั้งสติได้ ดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอดแล้วหอมบนแก้มของเขาทีหนึ่งทันที

“เหตุใดมั่วมั่วของแม่จึงน่ารักเช่นนี้? แม่รักเจ้าที่สุดเลย!”

เมื่อตระหนักว่าท่านแม่หอมเขา อวิ๋นจิงมั่วอึ้งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเขินอายจนหน้าแดง

เมื่อก่อนท่านแม่ไม่ค่อยชอบเข้าใกล้เขา น้อยครั้งที่จะกอดเขา และยิ่งไม่เคยหอมเขา

ท่านแม่มักจะนอนป่วยโทรมอยู่บนเตียง และร้องไห้เงียบๆ คนเดียว สายตาที่มองเขาก็มักจะเต็มไปด้วยความโกรธและเศร้าโศก

แม้อวิ๋นจิงมั่วจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ชอบความเศร้าโศกและความหดหู่เช่นนั้นโดยสัญชาตญาณ

เขาชอบท่านแม่ในตอนนี้มากกว่า ยิ้มให้เขา กอดเขา หอมเขา

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ท่านแม่บอกว่ารักเขา

เด็กมีความอ่อนไหวต่ออารมณ์ของคนรอบข้างมาก

อวิ๋นจิงมั่วสงสัยมาโดยตลอดว่าท่านแม่ไม่ชอบเขาใช่หรือไม่

แต่ตอนนี้อวิ๋นจิงมั่วมั่นใจแล้ว ที่จริงท่านแม่รักเขามาก!

อวิ๋นฝูหลิงกำลังหยอกล้อกับลูกชาย จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายสายหนึ่งพุ่งมาหา

----------------------------------------------

[1] ซื่อ เป็นคำเรียกหญิงที่แต่งงานแล้ว โดยจะเรียกนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 4

    อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามอง ก็มองเห็นตรงจุดที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตร มีชายฉกรรจ์รวมกลุ่มกันห้าหกคน คนกลุ่มนี้กำลังคุยอะไรบางอย่าง และยังชี้มาทางนางเป็นระยะหนึ่งในนั้นก็คือชายที่ผอมเหมือนลิง คนที่หนีออกจากบ้านนางก่อนหน้านี้สายตาของลิงผอมปะทะสายตาของอวิ๋นฝูหลิงพอดี เขาจ้องเขม็งใส่นางแวบหนึ่ง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีเจตนาร้ายแตกต่างจากคนที่วิ่งหนีกระเจิงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เหมือนมีที่พึ่งอะไรบางอย่างอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้ว เกิดความหวาดระแวงขึ้นในใจทันทีนางจมจิตใต้สำนึกเข้าไปในมิติ เริ่มรื้อค้นในเรือนไผ่ชาติที่แล้วนางปรุงผงยาป้องกันตัวไว้ไม่น้อย อีกทั้งทำมาจากวัตถุดิบที่ปลูกในมิติทั้งหมด ประสิทธิภาพรุนแรงกว่าผงยาทั่วไปหลายเท่าอวิ๋นฝูหลิงเลือกผงยามาสองสามห่อ นำออกมาจากมิติโดยอาศัยการบดบังของแขนเสื้อ แล้วแอบใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อนางเหลือบมองพวกลิงผอมแวบหนึ่งถ้าหากคนเหล่านี้ไม่ยุ่งกับนางก็ช่างเถอะ แต่ถ้าหากกล้าลงมือกับนาง นางจะให้พวกเขาได้ลิ้มลองรสชาติของการตายทั้งเป็นแน่นอนขณะเดียวกัน ชายที่ผอมเหมือนลิงกำลังฟ้องพรรคพวก“ลูกพี่อู๋ ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงนะ พวกพี่ใหญ่ข้าล้

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 5

    โจวโหย่วเหลียงเพิ่งมารวมตัวกับครอบครัวบนยอดเขา ก็ได้รู้เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงช่วยชีวิตลูกเมียของเขาจากปากเจิ้งซื่อเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายหลังจากตั้งสติได้ เขาก็บอกเรื่องนี้กับบิดามารดาของตน จากนั้นก็ถือลูกเดือยถุงหนึ่ง พาลูกเมียมาขอบคุณเมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงบ่ายเบี่ยง โจวโหย่วเหลียงที่เป็นผู้ชายก็ไม่สะดวกที่จะคะยั้นคะยออวิ๋นฝูหลิง ได้แต่ขอบคุณบุญคุณที่ช่วยชีวิตของอวิ๋นฝูหลิงอยู่ข้างๆ อย่างจริงใจจากนั้นก็ดึงโจวฉางจี๋มาตรงหน้าก่อนมาโจวฉางจี๋ก็ถูกอบรมก่อนแล้ว เขากล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนิ่ม “ขอบคุณป้าอวิ๋น!”อวิ๋นฝูหลิงเห็นใบหน้าเล็กที่อวบอิ่มและรูปร่างอ้วนเล็กน้อยของเขา ดวงตาที่เหมือนองุ่นดำก็สดใสขึ้นมาทันทีและรู้ด้วยว่าเขาเป็นที่รักของคนตระกูลโจว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถกินจนได้รูปร่างเช่นนี้ในครอบครัวชาวนาอวิ๋นฝูหลิงเห็นเขาน่ารักมาก อดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของเขา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร!”พูดจบก็หันไปพูดกับสองสามีภรรยา “สถานการณ์เช่นก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าใครพบเจอก็ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทุกคนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันและกันเป็นสิ่งที่สมควรทำ พวกเจ้าไม่จำต้อง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 6

    โหวซานได้ยินดังนั้นก็นึกว่านี่เป็นแผนการที่ลูกพี่อู๋คิดขึ้นเพื่อกำราบอวิ๋นฝูหลิง สีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อยอีกอย่างอวิ๋นฝูหลิงรูปงาม ลูกพี่อู๋อยากจะลองลิ้มรสชาติของนางก่อนก็เป็นเรื่องปกติโหวซานนึกว่าเดาใจลูกพี่อู๋ถูก จึงหัวเราะแล้วหันไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่ลูกพี่อู๋ จากนั้นเอ่ยขึ้น“หญิงสาวที่งดงามขนาดนี้ หากฆ่าทิ้งคงเสียดายแย่ ไม่สู้ให้นางได้เล่นสนุกกับลูกพี่อู๋ก่อน รอให้พี่น้องทุกคนสนุกกันเต็มที่แล้ว ข้าค่อยสังหารนาง เพื่อแก้แค้นให้พี่ใหญ่ก็ยังไม่สาย”ลูกพี่อู๋ได้ยินดังนั้น แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม ทว่าในดวงตากลับเหี้ยมเกรียมขึ้นทันใดเขาอยากจะตบแต่งอวิ๋นฝูหลิงด้วยใจจริง ย่อมทนฟังโหวซานเหยียดหยามนางด้วยคำพูดเช่นนี้ไม่ได้ชายจมูกงุ้มหลายคนเห็นสีหน้าของลูกพี่ พลันรู้ได้ทันทีว่าเขาโมโหแล้วแต่โหวซานยังไม่รู้ตัว ยังคงพูดจาหยาบโลนต่อไปไม่หยุดดวงตาอวิ๋นฝูหลิงเยือกเย็น ทว่าใบหน้ากลับยิ้มแย้ม “ได้สิ งั้นข้าจะเล่นสนุกกับพวกเจ้าก่อน”พอดีกับยามนี้ที่มีสายลมพัดผ่านไปยังทิศทางของพวกลูกพี่อู๋อวิ๋นฝูหลิงฉวยโอกาสตอนทุกคนเผลอ โปรยผงยาหนึ่งห่อผงยาโชยไปตามลมใส่หน้าพวกลูกพี่อู๋ จากนั้นถูกพวกเขา

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 7

    สายตาอวิ๋นฝูหลิงหันมองหินลูกเล็กที่ตกอยู่ข้างกายโหวซานก้อนนั้นใช้เพียงหินก้อนเล็กก้อนเดียวก็สามารถฆ่าคนได้ อีกฝ่ายย่อมไม่ธรรมดาอวิ๋นฝูหลิงแหวกพงหญ้าออก ทันใดนั้นสบเข้ากับดวงตาดำขลับล้ำลึกภายในพงหญ้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรสีดำปักลายสีทองนั่งอยู่มือขวาของเขาถือกระบี่ป้องกันไว้ตรงหน้า ดูระมัดระวังอย่างมากสายตาที่มองอวิ๋นฝูหลิงเต็มไปด้วยความระแวงชายหนุ่มดูเหมือนคนอายุยี่สิบกว่า ใบหน้าหมดจด คิ้วโก่งดั่งภาพวาด เป็นคนที่รูปงามมาก ทว่าท่าทางตึงเครียดของเขาในตอนนี้ ทำให้รังสีรอบตัวเขาดูขึงขังขึ้นมากอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกแค่ว่าช่วงตาของชายหนุ่มดูคุ้นเคย แอบคิดในใจว่าหรือจะเป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมรู้จักแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องตนอย่างแปลกหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เคยรู้จักเจ้าของร่างเดิมมาก่อนอวิ๋นฝูหลิงจึงไม่คิดอะไรอีกนางสังเกตเห็นริมฝีปากที่ขาวซีดของชายหนุ่ม ใบหน้าเขาซีดเผือด จากนั้นได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จึงรู้ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสหากไม่รีบรักษาแล้วห้ามเลือด เกรงว่าคงยืนหยัดได้อีกไม่นาน เขาอาจจะตายเพราะเสียเลือดมากเกินไปอวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด แล้วนำผงยาออกมาจากกระเป๋าหนึ่งขว

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 8

    อวิ๋นฝูหลิงจ้องลูกพี่อู๋หนึ่งครั้งเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ อีกทั้งสามารถทำให้ลูกน้องเชื่อฟัง เชื่อใจ และทำตามได้ถือเป็นคนเก่งคนที่มีความสามารถเช่นนี้หากยอมศิโรราบต่อนาง รับใช้นาง ต่อไปต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีอวิ๋นฝูหลิงที่ได้ลูกน้องใหม่สี่คน สั่งให้พวกเขาไปตามหาแหล่งน้ำและเก็บฟืนทันทีอวิ๋นฝูหลิงถือคติตบหัวแล้วลูบหลัง จึงแจกจ่ายถุงยาให้พวกเขาคนละหนึ่งอันถุงยานี้อวิ๋นฝูหลิงปรุงขึ้นอย่างตั้งใจ เมื่อสวมใส่ติดตัวจะมีสรรพคุณขับไล่งูและแมลง เป็นสิ่งจำเป็นเมื่ออยู่ในป่าในเขาก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงพาอวิ๋นจิงมั่วไปมาในป่าอย่างตามใจ เพราะมีถุงยานี้ติดตัวทั้งสองเมื่อพวกของลูกพี่อู๋รู้ว่าถุงยาสามารถขับไล่งูและแมลง รู้ว่านี่เป็นของดีจึงรีบสวมติดตัวทันทีความขุ่นเคืองที่ต้องกินยาถอนพิษเพราะไม่มีทางเลือก จึงค่อยสลายไปบ้างเมื่อมีพวกลูกพี่อู๋ไปตามหาฟืนและแหล่งน้ำ มือหนึ่งของอวิ๋นฝูหลิงจูงอวิ๋นจิงมั่ว ส่วนอีกมือหนึ่งถือฟืนที่เพิ่งเก็บได้เมื่อครู่ จากนั้นย้อนกลับไปจุดที่ชาวบ้านรวมตัวกันหลังจากเซียวจิ่งอี้จัดการแผลบนร่างกายเสร็จแล้ว เขาแหวกพงหญ้าและมองเห็นแผ่นหลังของอวิ๋นฝูงหลิงพอดีเขากำขวดยาที

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 9

    อวิ๋นฝูหลิงคิดแต่จะช่วยคน จึงขี้เกียจสนใจนาง ไม่แม้แต่จะช้อนตามองสักนิดเด็กสาวเห็นอวิ๋นฝูหลิงไม่สนใจนาง ใบหน้างามแดงเถือกทันที เหมือนถูกเหยียดหยามอย่างมาก“นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ หรือเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?”ขณะนี้ ท่ามกลางฝูงชน ชายวัยกลางคนร่างท้วมอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่นางน้อย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่พี่ชายเจ้าช่วยไม่ได้ ใช่ว่าคนอื่นจะช่วยไม่รอดนะ”ท่ามกลางชาวบ้านมีคนไม่พอใจคำพูดของเด็กสาว แต่เห็นนางแต่งตัวหรูหรา แค่ดูก็รู้ว่าฐานะไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าต่อว่าส่งเดชตอนนี้เมื่อเห็นมีคนพูดขึ้น พวกเขาจึงรีบสำทับทันที“ตัวเองช่วยไม่ได้ ยังไม่ยอมให้คนอื่นช่วยหรือ?”“ไม่เคยเห็นคนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย”“หมอหนุ่มผู้นี้ดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ วิชาแพทย์จะเก่งกาจสักเพียงใด?”เดิมทีคนตระกูลเฉินยังฝากความหวังให้หมอหนุ่มช่วยลูกหลานตัวเอง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าช่วยไม่ได้ นอกจากรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ยังพาลโกรธอีกฝ่ายไปด้วยยามนี้เมื่อเห็นเด็กสาวเอ่ยปากเหน็บแนม ซ้ำยังขวางไม่ให้คนช่วยลูกตัวเอง ทำให้พวกเขายิ่งโกรธ ทันใดนั้นจึงด่าทอไปพร้อมพวกชาวบ้าน

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 10

    อวิ๋นซานหูจับแขนเสื้อติงหมิงรุ่ยแล้วเขย่าไปมาพลางออดอ้อน “ท่านพี่ นางก็แค่โชคดีเหมือนแมวตาบอดจับหนูตายได้ จะไปมีความรู้วิชาแพทย์ที่สูงส่งได้อย่างไร!”ติงหมิงรุ่ยถูกนางปลอบ จึงสบายใจขึ้นมาบ้างใช่สินะ ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ที่มีความรู้ระดับภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้นแต่เขาไม่เหมือนกัน เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เกิดมาในตระกูลแพทย์อีกทั้งมีชื่อเสียงแต่เด็ก ภายหน้าต้องสอบเข้าสำนักหมอหลวง มียศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นหมอหลวงที่มีชื่อเสียงหนำซ้ำแวดวงการแพทย์ยังเป็นพื้นที่ของบุรุษมาโดยตลอดแม้สตรีจะเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่สังคมไม่ยอมให้พวกนางมานั่งรักษาอยู่ในสำนักอย่างเปิดเผยอย่างมากก็แค่ได้เข้าไปเป็นหมอหลวงระดับล่างสุดในสำนักหมอหลวง เป็นลูกมือให้พวกหมอหลวงชายเท่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ ติงหมิงรุ่ยสบายใจขึ้นมาก จากนั้นกลับมามั่นอกมั่นใจอีกครั้งความวุ่นวายในตระกูลเฉินดำเนินไปสักพักใหญ่ถึงจะสงบลงจากการเตือนสติของผู้ใหญ่บ้านโจว สองสามีรรยาเฉินเหล่าเอ้อร์ถึงจำบุญคุณของอวิ๋นฝูหลิงได้จากคำซุบซิบของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้อวิ๋นฝูหลิงพอปะติดปะต่อเหตุการณ์ของตระกูลเฉินได้แม่เฒ่าเฉินเป็นม่ายสามีตาย

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 11

    อวิ๋นฝูหลิงชิมน้ำแกงเห็ดคำหนึ่ง ต่อหมั่นโถวอีกคำด้วยความเพลิดเพลินหลังคราวโลกวิบัติอมนุษย์ครองเมือง พืชพันธุ์กลายพันธุ์ ทำให้อาหารขาดแคลน จะหาเห็ดป่าหอมหวานสดใหม่เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกแม้ต่อมาฐานปฏิบัติการจะพยายามวิจัยเพาะพันธุ์พืชบางชนิด แต่ผลผลิตที่ได้กลับน้อยนิดหมั่นโถวสิบกว่าลูกที่อวิ๋นฝูหลิงเก็บเอาไว้ในมิติ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางใช้เส้นสาย พึ่งคะแนนสมทบซื้อมาได้อย่างยากลำบากเมื่อครู่ให้พวกลูกพี่อู๋ทั้งสี่คนไป อาลัยอาวรณ์เสียจนหืดขึ้นคอแต่ถ้าอยากให้ม้าวิ่งก็มีแต่ต้องให้อาหารม้านางต้องการชักนำพวกลูกพี่อู๋มาเป็นพวกของนางโดยเบ็ดเสร็จ ให้พวกเขาจงรักภักดีเชื่อฟังนางอย่างสุดจิตสุดใจแต่เพียงผู้เดียว การลงทุนด้วยหมั่นโถวขาวสี่ลูกนี้จึงนับว่าได้หว่านเมล็ดแล้วอีกอย่าง จากการสังเกตคร่าวๆ โลกนี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในช่วงระส่ำระสาย การหุงหาอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากนักอวิ๋นฝูหลิงมีความคิดแล่นโลดอยู่ในใจ วางแผนชีวิตวันข้างหน้าของตนทว่าลูกพี่อู๋ทั้งสี่ต่างเมียงมองดูหมั่นโถวขาวในมือ ค่อยๆ กลืนน้ำลายลงเฮือกหมั่นโถวจากแป้งขาวเชียวนะ!แม่นางอวิ๋นไม่เพียงแต่แบ่งอาหาร

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 630

    เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 629

    ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 628

    จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 627

    อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 626

    อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 625

    ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 624

    ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 623

    เซียวจิ่งอี้ดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน “นี่เป็นจดหมายที่จิงมั่วเขียนมาให้เจ้า เสด็จพ่อสอดมาในสาส์นของข้ากับพระราชโองการ แล้วให้จุดพักม้าส่งมาให้พร้อมกัน”ทั้งสองคุยไปพลางเดินไปพลาง ยามนี้ก็ขึ้นไปบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วอวิ๋นฝูหลิงนั่งอยู่ภายในเก๋งรถม้า ยื่นมือออกไปรับจดหมายที่เซียวจิ่งอี้ส่งให้จดหมายทั้งใหม่และตุง ดูแล้วหนาไม่น้อยอวิ๋นฝูหลิงดึงกระดาษจดหมายออกมา แล้วก้มหน้าอ่านจิงมั่วนั้นมีสติปัญญาปราดเปรื่อง บัดนี้ตัวอักษรที่ใช้เป็นประจำส่วนใหญ่ล้วนอ่านออกและเขียนได้แล้วเพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วเป็นเพราะว่าเขาอายุยังน้อย ข้อมือยังไม่แข็งแรงมากพอ ดังนั้นตัวหนังสือจึงเขียนออกมาได้กระยึกกระยือ ไม่งดงามทว่าในสายตาของอวิ๋นฝูหลิง กลับรู้สึกว่าเขียนได้เท่านี้ก็ยอดเยี่ยมแล้วเพราะถึงอย่างไรตอนที่นางมีอายุเท่ากับจิงมั่วในยามนี้ ก็ไม่ได้ฉลาดเฉลียวและขยันเท่านี้บุตรชายข้านี่ช่างเก่งกาจจริง ๆ !อวิ๋นฝูหลิงตั้งใจอ่านข้อความในจดหมายทีละคำทีละประโยคจนจบในจดหมาย เซียวจิงมั่วถามถึงสารทุกข์สุกดิบของอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้ จากนั้นถึงเริ่มเล่าถึงชีวิตของเขาในเมืองหลวงช่วงนี้

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 622

    ผู้ป่วยระดับกลางค่อนข้างลำบากกว่าผู้ป่วยอาการเบาอยู่บ้างแต่ก็ยังมีความหวังที่จะรักษาหายขาดเพียงแต่คนที่ทนต่อความทรมานได้นั้น จะว่าไปแล้วก็น้อยกว่าผู้ป่วยอาการเบามากโขด้วยอย่างไรแล้วยามที่ผู้ป่วยระดับกลางอาการอยากกำเริบ ก็อาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยอาการเบาส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรงนั้น ส่วนใหญ่ร่างกายจะพร่องไปหมดแล้วเพราะการเสพขี้ผึ้งทองเมื่อถึงขั้นนี้ก็แทบจะไม่มีคนที่อดทนต่อความทรมานที่ต้องเลิกเสพได้เลย ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงไม่ยอมเลิกเสพ พวกเขาต้องการแค่ขี้ผึ้งทองเท่านั้นต่อให้เสพขี้ผึ้งทองแล้วต้องตาย ก็ไม่สนสำหรับคนพวกนี้ หากเปรียบเทียบกันระหว่างความตายก็ความทรมานที่ไม่อาจเสพขี้ผึ้งทองได้นั้น ความตายกลับเป็นสิ่งที่พอจะอดทนรับได้มากกว่าทว่าเพราะเสพขี้ผึ้งทองมากเกินไป ร่างกายของพวกเขาจึงกลายเป็นตะเกียงขาดน้ำมัน เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วสิ่งที่อวิ๋นฝูหลิงทำให้คนเหล่านี้ได้ ก็มีเพียงพยายามบรรเทาความทรมานของพวกเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ บ้างในช่วงชีวิตที่เหลือตะวันเคลื่อนเดือนคล้อย เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า สถานการณ์ของเมืองจินโจวก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status