แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: หลันซานอวี่
ระหว่างฟ้าดินที่ถูกหมอกปกคลุม เรือนไผ่สองชั้นหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลาง

ภายในเรือนไผ่เก็บทรัพยากรต่างๆ ที่อวิ๋นฝูหลิงรวบรวมมาได้ในโลกวิบัติ

อวิ๋นฝูหลิงเดินวนในเรือนไผ่หนึ่งรอบ พบว่าทรัพยากรเหล่านั้นยังอยู่ นางรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในทันที

ด้านซ้ายของเรือนไผ่เป็นแปลงสมุนไพร ปลูกสมุนไพรนานาชนิด

ส่วนด้านขวามีหินย้อยก้อนหนึ่ง ห้อยอยู่กลางอากาศ

ตรงปลายแหลมของหินย้อย มีน้ำหยดหนึ่งเกาะอยู่ หยดน้ำจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่

ส่วนด้านล่างของหินย้อยมีชามหินหนึ่งใบ ใช้สำหรับรองหยดน้ำที่หยดลงมาจากหินย้อย

เวลานี้ในชามหินรองน้ำได้ครึ่งชามแล้ว

น้ำนี้เทียบได้กับยาวิเศษ เป็นของที่ดีมาก

คนทั่วไปดื่มสามารถเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย ร้อยโรคไม่กล้ำกราย คนป่วยดื่มสามารถขจัดร้อยโรค ฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือผาดโผนในพริบตา

เวลาปรุงยาเพิ่มหนึ่งหยด สามารถกระตุ้นสรรพคุณยา เพิ่มประสิทธิภาพ

เพียงแต่หยดน้ำแห่งจิตวิญญาณนี่หยดช้ามาก เก็บมานานสามเดือนกว่าเพิ่งจะได้แค่ครึ่งชาม

แต่สามารถมีหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณเช่นนี้ครึ่งชาม อวิ๋นฝูหลิงก็ดีใจมากแล้ว

นางรีบนำหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณจากมิติมาดื่มสองอึกทันที

กระแสอุ่นสายหนึ่งกระจายจากลำคอไปทั่วร่าง

ไม่นาน นางก็รู้สึกว่าร่างกายร่างนี้เบาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

อาการเจ็บป่วยบนร่างกายหายไปทั้งหมดในพริบตา รู้สึกอุ่นไปทั่วทั้งตัว

นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าโชคดี ยังดีที่ของวิเศษอย่างมิตินี่ข้ามมิติมากับนางด้วย

อวิ๋นฝูหลิงกึ่งอุ้มอวิ๋นจิงมั่วขึ้น ป้อนหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณให้เขาหนึ่งคำเช่นกัน

พลันหางตาเหลือบไปเห็นศพสามศพที่นอนอยู่บนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ อวิ๋นฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตอนที่นางเพิ่งฟื้น พฤติกรรมที่อยู่ในจิตใต้สำนึกล้วนมีความเคยชินที่ถูกปลูกฝังจากโลกวิบัติแฝงอยู่ ดังนั้นทันทีที่เห็นพวกลามกที่อยากรังแกนาง ก็ฆ่าพวกเขาโดยไม่รู้ตัว

แม้พวกเขาล้วนเป็นกากเดนมนุษย์ สมควรตายอย่างยิ่ง แต่ที่นี่กลับไม่ใช่โลกวิบัติอันวุ่นวายอันตราย และไม่มีระบบเหมือนที่นางเคยอยู่เมื่อชาติที่แล้ว

ถ้าหากคนในหมู่บ้านพบเห็นศพในห้องของนาง หรือคนที่หนีไปก่อนหน้านี้พาคนมาแก้แค้นนาง สถานการณ์ล้วนไม่เอื้อต่อตัวนางเอง

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวเจ้าของร่างเดิมเพิ่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านหลินซานเมื่อสองปีก่อน อยู่ที่นี่ไม่มีรากฐานอะไรเลย

แผนเฉพาะหน้าตอนนี้คือรีบออกจากที่นี่จะดีกว่า!

อย่างไรห้วงมิติของนางก็ข้ามมิติมากับนางด้วยแล้ว

มีนิ้วทองคำ[1]นี้อยู่ ประกอบกับฝีมือการแพทย์ของนาง ไม่ว่าไปไหน นางกับลูกก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้!

ในเมื่อนางได้ครอบครองร่างกายของแม่เขาแล้ว เช่นนั้นก็มีความรับผิดชอบต่ออวิ๋นจิงมั่วลูกชายที่ได้มาเปล่าๆ คนนี้ อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ให้ดี

อวิ๋นฝูหลิงเพิ่งตัดสินใจ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตีฆ้องดังลั่นไปทั่ว

“แย่แล้ว ฝายเจียงหลิงแตกแล้ว น้ำใหญ่กำลังจะมาแล้ว ทุกคนรีบหนีขึ้นไปหลบบนภูเขา…”

สีหน้าอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนฉับพลัน

ชาติที่แล้วนางเคยผ่านประสบการณ์น้ำท่วมด้วยตัวเองมาแล้ว ถึงขั้นมีญาติและเพื่อนฝูงตายในเหตุการณ์น้ำท่วม

ภาพที่น่ากลัวเช่นนั้น จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ลืม

อวิ๋นฝูหลิงรีบหยิบห่อสัมภาระใบหนึ่งออกมาจากตู้ที่อยู่บนหัวเตียง นี่เป็นของที่สำคัญมากในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม

นางเก็บห่อสัมภาระเข้าไปในมิติ แล้วนำเสื้อกันฝนสีดำตัวใหญ่ออกมาจากมิติหนึ่งตัว

จากนั้นอุ้มอวิ๋นจิงมั่วขึ้น ใช้เชือกมัดเขาไว้กับหน้าอกของตัวเอง

จากนั้นก็เทของในตะกร้าไม้ไผ่ที่มีฝาใบหนึ่งตรงมุมกำแพงทิ้งทั้งหมด แล้วสะพายตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นหลัง

หลังจากนั้นอวิ๋นฝูหลิงก็สวมเสื้อกันฝน คลุมอวิ๋นจิงมั่วไว้ใต้เสื้อกันฝน

การกระทำทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่ถึงสองนาที

หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ อวิ๋นฝูหลิงวิ่งเข้าไปในสายฝนอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังเขาเฟิ่งลั่วที่อยู่ท้ายหมู่บ้านอย่างฉับไว

เขาเฟิ่งลั่วเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแถบนี้ ย่อมเป็นที่หลบภัยน้ำท่วมที่ดีที่สุดในตอนนี้

น้ำท่วมทะลักเร็วกว่ามนุษย์หลายเท่า ดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจำเป็นต้องปีนขึ้นไปหลบภัยบนยอดเขาของเขาเฟิ่งลั่วก่อนที่น้ำท่วมจะมาถึง

นางวิ่งขึ้นไปบนภูเขาแข่งกับเวลา ไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่ครู่เดียว

ระหว่างทางที่ผ่านกระท่อมในหมู่บ้าน ก็มีคนทำเช่นเดียวกับอวิ๋นฝูหลิงแล้ว เก็บข้าวของที่สำคัญสองสามชิ้น ก็วิ่งขึ้นเขาอย่างรวดเร็ว

และมีบางคนไม่อยากทิ้งทรัพย์สินที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิต อันนี้ก็จะเอา อันนั้นก็ไม่อยากทิ้ง ท่ามกลางเสียงเร่งเร้าที่ร้อนใจ ในที่สุดทั้งครอบครัวก็แบกสัมภาระที่หนักอึ้งออกไป

ทว่าของที่แบกหนักเกินไป ฝีเท้าก็ย่อมช้าตามไปด้วย จึงตามอยู่ข้างหลังผู้อื่น

“โหม่งๆ ๆ” เสียงฆ้องดังไม่หยุด

“รีบวิ่งขึ้นเขาเร็วเข้า!”

“ของไม่ต้องเอาแล้ว รีบหนีเร็ว!”

“น้ำท่วมกำลังจะมาแล้ว หนีเอาชีวิตรอดสำคัญกว่า!”

ชั่วขณะทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในความวุ่นวาย

เสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังลั่นท่ามกลางสายฝน ชาวบ้านนับไม่ถ้วนทยอยหนีขึ้นเขาเฟิ่งลั่ว

อวิ๋นฝูหลิงไม่มีเวลาสนใจคนอื่น แค่กอดอวิ๋นจิงมั่วไว้แน่น คิดจะวิ่งขึ้นเขาลูกเดียว

จนกระทั่งวิ่งถึงไหล่เขา นางจึงจะหยุดพักหายใจ

โชคดีที่นางดื่มหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณในมิติ จึงมีแรงวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ไม่เช่นนั้นอาศัยร่างกายที่ป่วยอิดๆ ออดๆ ไร้เรี่ยวแรงของเจ้าของร่างเดิม เกรงว่าอยากวิ่งก็วิ่งไม่ไว้ภายใต้ภัยน้ำท่วม

อวิ๋นฝูหลิงหันกลับไปมองใต้เขาแวบหนึ่ง ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนขึ้นเขาราวกับมด

ฝนไม่เพียงไม่หยุด กลับกันยิ่งตกหนักขึ้น

ชาวบ้านบางส่วนสวมเสื้อฟางและหมวกหวาย แต่ก็มีบางส่วนไม่มีอุปกรณ์กันฝน ได้แต่วิ่งตากฝนขึ้นเขา

ทว่าแม้เสื้อฟางกับหมวกหวายของยุคนี้สามารถกันฝนได้ แต่ประสิทธิภาพในการกันฝนสู้เสื้อกันฝนที่อวิ๋นฝูหลิงสวมใส่ไม่ได้เลย

ตอนนี้ทุกคนห่วงแต่ขึ้นเขาหนีเอาชีวิตรอด จึงไม่ได้มีคนสนใจเสื้อกันฝนที่แตกต่างจากคนอื่นของอวิ๋นฝูหลิง

อวิ๋นฝูหลิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ตอนที่กำลังจะขึ้นเขาต่อ จู่ๆ เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าอกก็ขยับตัว

ศีรษะน้อยๆ มุดออกมาจากคอเสื้อของเสื้อกันฝน พร้อมกับเรียกอวิ๋นฝูหลิง “ท่านแม่”

เสียงน้อยๆ อันนุ่มนวล ประกอบกับการแสดงออกที่งงงวยเล็กน้อย ทำเอาหัวใจอวิ๋นฝูหลิงละลายในพริบตา

อีกทั้งอวิ๋นจิงมั่วหน้าตาขาวเนียน เดิมทีก็น่ารักเหมือนกับก้อนแป้งข้าวเหนียว

ความชอบห้าส่วนของอวิ๋นฝูหลิงที่มีต่อเด็กคนนี้ เพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดส่วนในพริบตา

นางขานรับคำหนึ่ง กดศีรษะของอวิ๋นจิงมั่วเข้าไปในเสื้อกันฝนเบาๆ

“คนดีของแม่ อยู่เฉยๆ อย่าขยับ ระวังเปียกฝน…”

อวิ๋นจิงมั่วกะพริบตาปริบๆ

เมื่อครู่เขาชะโงกหน้าออกไป มีเม็ดฝนไหลหยดตกลงบนใบหน้าเขา รู้สึกเย็นๆ

เขายังรู้สึกว่าบนร่างกายถูกหมัดด้วยเชือก การเคลื่อนไหวถูกจำกัด

แม้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อวิ๋นจิงมั่วกลับกอดอวิ๋นฝูหลิงแน่น ไม่ขยับอีก

เวลานี้เอง มีเสียงกึกก้องสายหนึ่งดังมาจากระยะไกล จากนั้นผืนดินก็สั่นสะเทือน

เวลาเพียงแค่พริบตาเดียว น้ำท่วมที่เชี่ยวกรากพุ่งไปยังหมู่บ้านหลินซานอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ราวกับม้าป่าที่หลุดจากบังเหียน

สีหน้าอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนฉับพลัน ตะโกนจนเสียงแห้บโดยไม่รู้ตัว “วิ่ง! รีบวิ่งขึ้นยอดเขาเร็ว!”

ตะโกนเสร็จ นางก็วิ่งขึ้นบนยอดเขานำหน้าอย่างสุดชีวิต

แม้อวิ๋นจิงมั่วอายุน้อย กลับรู้สึกถึงอันตรายได้อย่างรวดเร็ว

เขากอดอวิ๋นฝูหลิงแน่นโดยไม่ส่งเสียง

หลังจากคนอื่นได้ยินอวิ๋นฝูหลิงตะโกน ก็เข้าใจในทันที รีบสับตีนแตกวิ่งไปยังยอดเขา

น้ำท่วมโถมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ เสียงที่กึกก้องสะเทือนจนหูอื้อ

----------------------------------------------

[1] นิ้วทองคำ เป็นคำที่ใช้เรียกโปรแกรมโกง มีสูตรโกง หรือมีความสามารถโกง
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (2)
goodnovel comment avatar
wilawan
สนุกมากเลยค่ะชอบมากขอบคุณนะค่ะ
goodnovel comment avatar
วัน เวลา ที่เปลี่ยนไป
สนุกมากค่ะ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 656

    เมื่อหลิงโหยวมองหนังสือสัญญาตรงหน้าให้ชัดเจนแล้ว มือทั้งสองก็สั่นระริกขึ้นมาในชั่วพริบตา จนเกือบจะถือกระดาษบาง ๆ แผ่นนั้นไม่อยู่นี่เป็นหนังสือสัญญาที่อวิ๋นฝูหลิงมอบให้เขา ในหนังสือสัญญาเขียนไว้ว่าต่อไปผลกำไรจากสำนักช่วยชีพในทุก ๆ ปีจะเป็นของเขาหนึ่งส่วนอย่าเห็นว่ามีเพียงแค่หนึ่งส่วน ว่ากันตามรายรับของสำนักช่วยชีพแล้ว เงินจำนวนนี้เป็นตัวเลขไม่น้อยเลยค่าจ้างสิบปีของหลิงโหยวในยามนี้ ยังมีมากไม่เท่าเงินหนึ่งส่วนนี้เลยหลิงโหยวตาแดงระเรื่ออย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกปั่นป่วนไปมา ในลำคอก็เหมือนมีก้อนสำลีอัดแน่น พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะผ่านไปพักหนึ่ง เขาถึงหาเสียงของตนเองเจอในที่สุด“คุณหนูใหญ่ นี่มันมีค่ามากเกินไป บ่าวรับไว้ไม่ได้หรอกขอรับ!” หลิงโหยวดันหนังสือสัญญากลับไปอวิ๋นฝูหลิงห้ามเขาไว้ แล้วนำหนังสือสัญญาไปวางไว้ด้านหน้าหลิงโหยวอีกครั้ง“ท่านลุงหลิง นี่เป็นสิ่งที่ท่านลุงควรได้รับ”“ถ้าไม่ใช่ว่ามีท่านคอยช่วยข้าจัดการดูแลสำนักช่วยชีพ ตัวข้าคนเดียวจะไปทำได้อย่างไร?”“อีกทั้งที่กิจการสำนักช่วยชีพรุ่งเรืองได้อย่างในทุกวันนี้ ก็เป็นความดีความชอบท่านลุงหลิงด้วย!”การที่สำนักช่วยชีพที

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 655

    ปีนี้ได้อาศัยวาสนาของพระชายาอี้อ๋อง หลาย ๆ ครัวเรือนจึงมีเงินเก็บอยู่ในมือขึ้นมาบ้างเมื่อมีเงินเหลืออยู่ในมือ กอปรกับมาถึงสิ้นปีแล้ว ย่อมอยากฉลองปีใหม่ดี ๆ สักหนขณะที่ทุกคนกำลังคิดวางแผนว่าปีนี้จะซื้อของอะไรมาเตรียมสำหรับวันปีใหม่ อยู่ ๆ ผู้ดูแลที่ดินก็ตีฆ้องเรียกให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่หน้าหมู่บ้านมีคนรั้งตัวผู้ดูแลที่ดินไว้ แล้วเอ่ยถาม “จะให้พวกเราไปทำอะไร?”ผู้ดูแลที่ดินหัวเราะพลางกล่าว “พวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง”ทุกคนเห็นว่าใบหน้าของผู้ดูแลที่ดินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จึงคาดเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องดีทุกคนเกาะกลุ่มกันเดินไปยังหน้าหมู่บ้าน แล้วจึงได้เห็นว่าที่หน้าหมู่บ้านมีรถเข็นจอดอยู่หลายคัน ทั้งมีคนกำลังขนของลงจากรถเมื่อได้มองดูให้ดี ก็มีทั้งเนื้อ ทั้งสุรา ทั้งผ้าทุกผู้คนยืนจับกลุ่มกันเป็นกระจุก ๆ ขณะที่กำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นเสียงตีฆ้องก็ดังขึ้น บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินออกมาครั้นทุกคนเงยหน้าขึ้นมา ก็จำได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้คือผู้ดูแลที่อยู่ใต้บัญชาของพระชายาอี้อ๋อง แซ่อู๋กิจธุระของสวนสมุนไพรบนเขาทุกอย่าง ล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของเขาลูกพี่อู๋เดินฝ่

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 654

    นี่ก็เป็นโอกาสที่จะดึงคนใต้บังคับบัญชามาเป็นพวก และซื้อใจคนเช่นกันหากไม่มอบประโยชน์ในเรื่องทรัพย์สินเงินทองให้ แล้วใครจะไปยอมถวายชีวิตให้เจ้าสุดหัวใจเล่า?นอกจากเงินค่าจ้างที่ได้รับตามปกติแล้ว ยังได้รับสวัสดิการพิเศษอีกก้อนหนึ่ง ใครบ้างจะไม่ดีใจ?ครั้นได้รับประโยชน์อันจับต้องได้ เข้าใจแล้วว่าอยู่กับนางแล้วทำงานได้เงิน ทั้งมีเนื้อให้กิน ย่อมทุ่มทำงานกับนางสุดหัวจิตหัวใจแน่หลังจากอวิ๋นฝูหลิงไตร่ตรองคร่าว ๆ อยู่ในใจ และเมื่อเซียวจิ่งอี้กลับมาในยามเย็นแล้ว อวิ๋นฝูหลิงจะหารือกับเขาเรื่องมอบสวัสดิการให้คนใต้บังคับบัญชาเมื่อก่อนเซียวจิ่งอี้ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ ล้วนมีพ่อบ้านฝูคอยจัดการเขาขบคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าจำได้ราง ๆ ว่าช่วงวันปีใหม่จะมีการมอบเงินเบี้ยเลี้ยงจำนวนหนึ่งเดือนให้”อวิ๋นฝูหลิงทราบเรื่องนี้มาจากพ่อบ้านฝูแล้ว จึงพยักหน้าพลางกล่าว “เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้จริง”“แต่ปีนี้ไม่เหมือนกัน ท่านแต่งข้าเข้ามา ทำให้ในจวนอ๋องมีนายหญิงแล้ว แน่นอนว่าต้องมีบรรยากาศอะไรใหม่ ๆ บ้าง”“มิเช่นนั้นก็จะไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของข้า จะมีข้าอยู่ในจวนอ๋องหรือไม่ล

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 653

    ตรวจฎีกามาตลอดทั้งเช้า ฮ่องเต้จิ่งผิงทรงกำลังเหนื่อยอยู่บ้างพอดียิ่งไปกว่านั้นเมื่อลองดูชั่วยามแล้ว อีกไม่นานก็ถึงยามกินข้าวกลางวันเซียวจิงมั่วมาหาในยามนี้ ก็จะได้ร่วมกินข้าวกลางวันกับเขาพอดีหลังเซียวจิงมั่วเข้ามาในตำหนัก ก็ทำการคารวะและถวายพระพรตามธรรมเนียมฮ่องเต้จิ่งผิงแย้มสรวลพลางโบกมือให้เซียวจิงมั่ว “ไม่ต้องมากพิธีไป เข้ามาให้เสด็จปู่ดูหน่อยเร็ว”เซียวจิงมั่วก้าวไปด้านหน้าตามพระกระแสรับสั่งยิ่งมองดูเซียวจิงมั่วพระราชนัดดาผู้นี้ ฮ่องเต้จิ่งผิงก็ยิ่งทรงรักใคร่รูปโฉมของเซียวจิงมั่วนั้นเป็นการรวมเอาข้อดีของเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงเข้าด้วยกัน แม้จะอายุน้อย ก็ดูออกว่าวันข้างหน้าจะต้องกลายเป็นคุณชายรูปงามสง่าผู้หนึ่งแน่นอนอีกทั้งเด็กน้อยผู้นี้ก็ไม่มีดีเพียงแค่รูปโฉมเท่านั้น ทว่ายังฉลาดเฉลียวอีกด้วย หลายวันมานี้ยามที่เข้าไปในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้จิ่งผิงก็มักจะได้ยินเหล่าอัครมหาเสนาบดีที่มาสอนวิชาแก่เหล่าองค์ชายและพระราชนัดดาเอ่ยปากชมเซียวจิงมั่วอยู่หลายครั้งอายุน้อยเพียงเท่านี้ ก็โดดเด่นกว่าลูกผู้พี่ที่อายุมากกว่าเขาเสียแล้วมีพระราชนัดดาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ในใจฮ่อ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 652

    พระราชนัดดาองค์อื่นที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นครั้นหันมองครอบครัวตนเอง ก่อนหน้านี้ไม่นานองค์ชายสามเพิ่งถูกฮ่องเต้จิ่งผิงติเตียนไป ทั้งยังกักตัวเขาไว้ในจวนอ๋องพระชายาองค์ชายสามรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจมากเป็นพิเศษในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หากมิใช่เพราะต้องการเลี่ยงมิให้ผู้อื่นจับผิด แล้วกุมจุดอ่อนของจวนองค์ชายสามไว้ได้อีก วันนี้พระชายาองค์ชายสามคงไม่เหยียบย่างมาถึงที่นี่แน่ก็แค่งานเลี้ยงวันเกิดของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นอีกทั้งมิใช่งานเลี้ยงใหญ่โตที่มีความหมายพิเศษอันใด ควรค่าแก่การที่นางซึ่งเป็นถึงผู้อาวุโสมากกว่าต้องมาร่วมงานถึงที่นี่เชียว?จนใจที่ยามนี้สถานการณ์ของจวนองค์ชายสามมิสู้ดี กอปรกับเจ้าเด็กน่าชังอย่างเซียวจิงมั่วได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้จิ่งผิง หลายครั้งหลายคราวก่อนหน้านี้ถึงขั้นพาเขาไปท้องพระโรงด้วย หลังจากพระชายาองค์ชายสามหารือกับองค์ชายสามแล้ว จึงตัดสินใจพาบุตรชายมาเยี่ยมเยือนถึงที่นี่สักครั้งเป็นการดีที่จะได้แสดงให้ฮ่องเต้จิ่งผิงเห็นถึงความรักความเมตตาที่พวกเขามีต่อหลานชายงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ เซียวจิงมั่วเฉลิมฉลองอย่างสุขใจเป็นพิเศษ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 651

    ผู้คนส่งเสียงจอแจ พูดคุยกันสนุกสนานครื้นเครงเซียวคังถูกเบียดไปยังอีกฝั่งฟาก ครั้นเห็นเซียวจิงมั่วจูงเสือตัวหนึ่งออกมาจริง ใบหน้าก็ประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดงด้วยความอับอายแม้เสือขาวตัวนี้จะเป็นเพียงเสืออ่อนวัย ทว่าก็เป็นเสือจริงๆ!เซียวลี่เห็นเซียวคังสีหน้าดูไม่ได้ พลันก็เหมือนจะรู้สึกยินดีปรีดาขึ้นมาก็ไม่ปาน เขาเท้าเอวพลางกล่าวว่า“ใครกันนะที่บอกว่าจิงมั่วของพวกเราพูดโกหกหลอกลวงผู้อื่น?”ว่าจบ เขาก็แค่นเสียงร้องเฮอะแรง ๆ ไปทางเซียวคัง จากนั้นจึงทำหน้าทะเล้นเซียวคังโมโหจนใบหน้าแดงเถือกเขาลอบกัดฟันกรอด ในใจทั้งเดือดดาลทั้งเกลียดชังเลื่อนสายตาไปอยู่ที่เสือขาวน้อยตัวนั้น ในดวงตาพลันประกายแววอาฆาตเคียดแค้นทำไมเซียวจิงมั่วถึงเลี้ยงเสือขาวให้เชื่องได้?ทำไมกัน ไม่เพียงแค่บิดาของเซียวจิงมั่วเท่านั้นที่เหนือกว่าท่านพ่อของตน กระทั่งวันนี้มันก็ยังเหนือกว่าตนด้วย?เขาไม่ยอม!ทุกคนล้วนเข้าไปมุงดูเจ้าเสือขาวตัวน้อยด้วยความประหลาดใจ ไม่มีใครเลยที่สนใจความรู้สึกของเซียวคังหลังจากเหล่าพระราชนัดดาไม่กี่คนที่มีความสัมพันธ์ดี ๆ กับเซียวจิงมั่วได้รับคำอนุญาตจากเขา ก็ยังได้รับเกียรติให้ได้ล

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status