องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่ได้พูดถึงเรื่องของชุยหย่าจิ้งกับเซียวจิ่งอี้ในวันนั้นเพราะนางรู้ว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูของเซียวจิ่งอี้ในไม่ช้าก็เร็ว นางไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ไม่จำเป็นและด้วยนิสัยของเซียวจิ่งอี้ ไม่มีทางปล่อยไปเช่นนั้นเด็ดขาดเป็นอย่างที่คิดไว้ เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ทางสกุลชุยก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่แม้แต่องค์ชายสามก็ไม่รอดแม้องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อจะไม่สนใจเรื่องของราชสำนัก แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจวันนั้นชุยหย่าจิ้งสามารถพูดคำพูดเช่นนั้นออกมา นอกจากสกุลชุยสอนลูกสาวไม่ดีแล้ว อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของนางด้วยการชิงตำแหน่งทายาทสายหลัก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อยินดีออกหน้าปกป้องอวิ๋นฝูหลิง แต่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองยิ่งกว่านั้นถ้าหากเซียวจิ่งอี้ตัดสินใจะเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่นำไปสู่ความสูงศักดิ์ เช่นนั้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องบางเรื่องท้ายที่สุดก็ต้องให้เขาไปเผชิญหน้า ฝึกฝนขัดเกลาประสบการณ์ด้วยตัวเองขณะที่จวนเฉิงเอินกงกับเหล่าองค์ชายกำลังปวดหัว เซียวจิ่งอี้กลับถูกฮ่องเต้จิ่งผิงเรียกเข้าวังเซียวจิ่งอี้ก้าวเข้าต
“อีกทั้งนี่เป็นความแค้นส่วนตัวของกระหม่อมกับสกุลชุย เอาคืนแค่นี้ก็พอประมาณแล้ว”“เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กระหม่อมคิดไม่ถึงและไม่ได้มีส่วนร่วมจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมจะรู้ได้อย่างไรว่าต่อมายังจะส่งผลต่อเรื่องมากมายเช่นนี้?”ฮ่องเต้จิ่งผิงมองเซียวจิ่งอี้ที่สีหน้าเรียบเฉยและเหมือนไม่รู้อะไร เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังเกินความคาดหมายของเขาเขาเลิกคิ้ว ถามอีก “บุตรสาวภรรยาเอกของสกุลชุยล่วงเกินพระชายาอี้อ๋อง จึงทำให้เจ้าไม่พอใจไม่ใช่หรือ?”“เจ้าไม่เล่นงานนาง แต่กลับไปเล่นงานคุณชายใหญ่สกุลชุย นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”เซียวจิ่งอี้กล่าวอธิบาย “ที่นางอวดดีถึงขั้นกล้ารังแกพระฉายาของกระหม่อม ก็เพราะอาศัยอิทธิพลของสกุลชุยไม่ใช่หรือ?”“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กระหม่อมจัดการสกุลชุยไม่ง่ายกว่าหรอกหรือ?”“สกุลชุยได้รับบทเรียน ย่อมรู้ว่าต้องสั่งสอนบุตรสาวของตัวเองอย่างไร”“เฉิงเอินกงรักลูกชายคนโตของเขาที่สุดไม่ใช่หรือ กระหม่อมก็เลยเอาลูกชายคนโตของเขามาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง!”“อีกทั้งชุยหย่าจิ้งเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าหากกระหม่อมจัดการนางแค่คนเดียว ผู้อื่นจะไม่ว่ากระหม่อมที่เป็น
เกิดความวุ่นวายในราชสำนักหลายวัน สุดท้ายฮ่องเต้จิ่งผิงไม่ได้สั่งให้คนตรวจสอบ อีกทั้งลงโทษองค์ชายทั้งหมดโดยตรงบ้างก็หักเบี้ยเดือน บ้างก็กักบริเวณไม่ลำเอียงไม่เข้าข้าง ไม่รอดแม้แต่คนเดียวแม้แต่เซียวจิ่งอี้ก็ถูกตำหนิเหล่าขุนนางเบิกตากว้างด้วยความงงงวย ชั่วขณะไม่รู้ว่าฮ่องเต้จิ่งผิงคิดจะทำอะไรกันแน่เฉิงเอินกงก็ถูกจับผิดในเรื่องงานเช่นกัน ถูกต้องข้อหาละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ หักเบี้ยเดือนครึ่งปี และลดตำแหน่งหนึ่งขั้นนับตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ เคารพและกตัญญูต่อชุยไทเฮาแม่บุญธรรมคนนี้มากแม้แต่จวนเฉิงเอินกงก็ได้รับความเมตตาและความโปรดปรานไม่หยุดนี่เป็นครั้งแรกที่ลงโทษเฉิงเอินกงหักเบี้ยเดือนครึ่งปีอะไรนั่น เฉิงเอินกงไม่ใส่ใจเลยสักนิดจวนเฉิงเอินกงเป็นครอบครัวใหญ่ เบี้ยเดือนแค่นั้นจะพอเลี้ยงชีพได้อย่างไรเบี้ยเดือนแค่นั้น เฉิงเอินกงยังไม่เห็นอยู่ในสายตาสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นทรมานใจคือ ถูกลดตำแหน่งหนึ่งขั้นอย่าดูถูกว่าเป็นแค่หนึ่งขั้น ขุนนางมากมายพยายามทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถก้าวข้ามหนึ่งขั้นนี้รอเฉิงเอินกงออกจากจวนองค์ชายสาม รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องเจอทั้งหมด ล้ว
ถ้าไม่ใช่รู้สึกแสบร้อนที่ใบหน้า ความเจ็บปวดที่จริงแท้เช่นนี้ คงทำให้นางคิดว่าตัวเองกำลังฝันร้ายและเมื่อได้ยินเสียงของเฉิงเอินกง จิตใจของชุยหย่าจิ้งยิ่งพังทลายแล้ว“ท่านพ่อ ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”“ทั้งหมดนี้เกี่ยวอะไรกับข้า?”“เหตุใดจึงส่งผลกระทบต่อท่านพ่อ และยังถูกลงโทษหักเบี้ยเดือนกับลดตำแหน่ง”เฉิงเอินกงมองนางแวบหนึ่ง ความโกรธในแววตาไม่ลดน้อยลง “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าไปล่วงเกินพระชายาอี้อ๋อง อี้อ๋องจะลงมือกับพวกเราอย่างต่อเนื่องหรือ?”“อย่าว่าแต่จวนเฉิงเอินกงเลย แม้แต่องค์ชายสามก็ได้รับผลกระทบด้วย”“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะความโง่เขลาของเจ้า องค์ชายสามต้องสูญเสียมากเท่าไร?”เฉพาะการค้าที่สามารถทำเงินได้ถูกสกัด รายได้หดหายไปครึ่งหนึ่ง ก็ทำให้องค์ชายสามปวดใจมากแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเฉิงเอินกง องค์ชายสามคงโบยชุยหย่าจิ้งตายเพื่อระบายความคับข้องใจนานแล้วชุยหย่าจิ้งเบิกตากว้างด้วยความตกใจเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้?นางก็แค่ต่อว่าอวิ๋นฝูหลิงสองสามคำ และยังถูกองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อตบหน้าจนต้องอับอายเพราะเรื่องนี้อวิ๋นฝูหลิงยังได้พูดขู่ไว้ว่าต่อไปจะไม่รักษาให้จวนเ
“ท่านแม่” เฉิงเอินกงเรียกฮูหยินผู้เฒ่าชุยถอนสายตากลับ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ได้ยินมาว่าพอเจ้ากลับมาก็ทั้งทุบทั้งตีหย่าจิ้ง มีเรื่องอะไร คุยกับนางดีๆ ไม่ได้หรือ ถึงขั้นต้องลงมือเลย?”น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าชุยไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเฉิงเอินกงรีบอธิบายความเป็นมาของเรื่องราวทันทีฮูหยินผู้เฒ่าชุยคาดเดาไว้นานแล้วว่าช่วงนี้สกุลชุยเกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง ต้องมีคนเล่นงานสกุลชุยอยู่เบื้องหลังแน่นอนแต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดจากสาเหตุนี้นางเงียบไปชั่วขณะผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงจะถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าว “มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ฆ่านางก็ไม่มีประโยชน์”“รีบหาคู่ให้นางออกเรือนเถอะ”เฉิงเอินกงก้มหน้าขานรับเพียงแต่พอนึกถึงเรื่องแต่งงานของชุยหย่าจิ้ง เฉิงเอินกงก็รู้สึกปวดหัวตอนนั้นไม่รู้ว่าฮูหยินของเขาไปดูตัวอย่างไร ทั้งก่อนและหลังล้วนเป็นคนอายุสั้นทั้งสองคน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของลูกสาวไม่ว่า และยังทำให้นางเสียเวลาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกเรือนเฉิงเอินกงคิดว่าครั้งนี้เขาต้องจัดการด้วยตัวเองฮูหยินผู้เฒ่าชุยเห็นเฉิงเอินกงคอตก รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที“เจ้ายืดอกเดี๋ยวนี้ เป็นถึงกั๋วกง เจ
ในใจฮูหยินชุยก็ผิดหวังไม่น้อยไปกว่าเฉิงเอินกงแม้ที่ผ่านมานางรู้สึกว่าสติปัญญาของหลานชายคนโตสู้หลานชายคนรองไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็นลูกชายคนโตของภรรยา อีก อีกทั้งยังหนักแน่นพึ่งพาได้วันข้างหน้าสองพี่น้องรวมใจเป็นหนึ่ง เกื้อหนุนกันและกัน ต้องสามารถทำให้กิจการของสกุลชุยเจริญรุ่งเรืองแน่นอนแต่ปัจจุบันหลานชายคนโตหลงผู้หญิงคนหนึ่งจนสติเลอะเลือน ยังจะแบกรับหน้าที่สำคัญของจวนเฉิงเอินกงได้อย่างไร?โชคดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้แต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อฮูหยินผู้เฒ่าชุยรีบเรียกคนมาทันที กล่าวออกคำสั่ง “ไปตรอกอู๋ถง จับคุณชายกลับมา!”“ส่วนนางจิ้งจอกนั่น ถ่ายทอดคำพูดของข้า ประทานผ้าขาวผืนหนึ่ง ให้นางจบชีวิตตัวเอง”เฉิงเอินกงยืนอยู่ที่ข้างๆ ไม่ได้ออกความเห็นอะไรสำหรับเรื่องนี้เพื่อเมียน้อยคนนั้น ชุยหงเหวยเหลวไหลจริงๆผู้หญิงเช่นนี้ เก็บไว้ไม่ได้จริงๆไม่เช่นนั้นวันข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อชุยหงเหวยอย่างไร!จวนเฉิงเอินกงจะเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ไม่ได้!วันรุ่งขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าชุยส่งป้าย เข้าวังได้พบกับชุยไทเฮาแล้วภายในตำหนักโซ่วคัง มีเครื่องหอมกำลังเผาไหม้ในเตาทองแดงรูปหัวสัตว์ กลิ
อวิ๋นฝูหลิงก็ชอบหางหนานซิงเด็กรุ่นหลังคนนี้เช่นกันเก็บเขาไว้ข้างกายในฐานะผู้ช่วยก็ดี เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็มีผู้ช่วยในด้านของการแพทย์แล้วอวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด มองไปทางหางหนานซิงแล้วกล่าวถาม “หนานซิง เจ้ายินดีอยู่เป็นผู้ช่วยข้าหรือไม่?”หางหนานซิงยิ้มจนเห็นฟัน “อาจารย์ป้า ข้ายินดี!”เรื่องนี้นายท่านผู้เฒ่าหางเคยถามความเห็นของหางหนานซิงเป็นการส่วนตัวแล้วแม้เขาสามารถตรวจชีพจรให้คนไข้แล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นผู้ช่วยของอวิ๋นฝูหลิงมันน่าอายตรงไหนติดตามคนเก่ง จึงจะเก่งยิ่งขึ้นปัจจุบันชื่อเสียงของอวิ๋นฝูหลิงเป็นที่เลื่องลือ วิชาผ่าท้องยิ่งไม่มีใครสามารถเทียบได้หางหนานซิงยินดีติดตามเรียนวิชาแพทย์กับอวิ๋นฝูหลิง วันข้างหน้าเขาก็จะเป็นหมอมีชื่อเสียงที่ทุกคนรู้จักเมื่อโอวหยางหมิงเห็นดังนี้ อดด่านายท่านผู้เฒ่าหางเจ้าเล่ห์ในใจไม่ได้นี่ก็ยัดหลานชายเข้าไปอยู่ข้างกายอวิ๋นฝูหลิงแล้วสายตาของเขากวาดผ่านบรรดาหลานชายของตัวเอง กำลังคิดว่าจะส่งใครไปเป็นผู้ช่วยอวิ๋นฝูหลิงเพียงแต่ดูไปดูมา ชั่วขณะก็ไม่มีใครที่เหมาะสมเลยพลันเมื่อมาคิดดูอีกที ช่างเถอะ ฝีมือการแพทย์ของครอบครัวตัวเองก็ไม่ได้แย่
อวิ๋นฝูหลิงบีบจมูกของนางด้วยรอยยิ้ม “ใครว่าเจ้าทำไม่ได้ ขอแค่เจ้ายินดี ก็สามารถเรียนได้!”โอวหยางหลันเงียบไปครู่หนึ่งโอวหยางหมิงแอบถอนหายใจ เดิมทีเขาคิดว่าเด็กผู้หญิงในบ้านไม่มีใครอยากเรียนแพทย์คิดไม่ถึงว่ามีคนหนึ่ง แต่เขากลับไม่รู้ เขาไม่ได้ไปตำหนิมารดาของโอวหยางเชี่ยนอะไร เพราะทางโลกก็เป็นเช่นนี้ วันข้างหน้าลูกสาวต้องออกเรือน มีครอบครัวฝ่ายสามีน้อยมากที่สามารถยอมรับผู้หญิงที่ออกไปเป็นหมอจนถึงปัจจุบัน ก็มีแค่อวิ๋นฝูหลิงคนเดียวไม่ใช่หรือ?อวิ๋นฝูหลิงลุกขึ้นยืน พลางจับมือโอวหยางเชี่ยน พลางมองไปทางโอวหยางหมิง “ท่านปู่โอวหยาง ข้าเลือกเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะเอาโอวหยางเชี่ยน เมื่อครู่ท่านบอกให้ข้าเลือกได้เลย จะกลับคำไม่ได้นะเจ้าคะ!”“ข้ากลับคำอะไร?” โอวหยางหมิงเลิกคิ้ว “นี่คือโอกาสของเด็ก ข้าดีใจยังแทบไม่ทันเลย!”กล่าวจบ เขามองไปทางโอวหยางหลันโอวหยางหลันเข้าใจแล้ว กล่าวทันที “ทางแม่ของเชี่ยนเชี่ยน ข้าจะไปคุยเอง”โอวหยางหมิงจึงจะพยักหน้าด้วยความพอใจเขากวักมือให้โอวหยางเชี่ยนรอโอวหยางเชี่ยนเดินไปถึงตรงหน้าเขา เขายกมือลูบศีรษะของนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กดี ต่อไปตั้งใจเรียนฝี
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ