เงาจางกลางตลาด
“คุณหนู! ระวังฝั่งขวาเจ้าค่ะ มีคนมองมาอีกแล้ว” เสียงกระซิบแผ่วเบาของซูเม่ยดังข้างหู ดวงตากลมโตของนางเหลือบไปยังชายสองคนในชุดชาวบ้านที่ยืนอยู่หน้าร้านยาจีน แม้แต่นางก็ดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกค้าที่มาซื้อของจริง ๆ
ฮวาอิงก้มหน้าลง แสร้งดูถาดขนมชั้นในมือราวกับไม่ได้สังเกตอะไร แต่ข้างในกลับตึงเครียดไปหมด
พวกเขา...ตามมองแบบนี้อีกแล้ว
นี่ไม่ใช่วันแรกที่นางถูกติดตามแบบนี้ นับตั้งแต่วันที่ช่วยชายบาดเจ็บหลังพงหญ้าแถบหลังเมืองทางกลับตำหนักเย็น ทุกเช้าหลังตั้งแผงขายขนม ก็มักมีสายตากลุ่มคนจับจ้องมาเสมอ ราวกับเงาตามเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าใกล้ แต่ก็ไม่ห่างหายไปไหน
ฮวาอิงไม่แน่ใจว่าการกระทำเช่นนี้ นับเป็นโจรหรือไม่ อยากปล้นขนมหรือเงินทอง แต่นางเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมชิ้นละสองอีแปะ สู้ปล้นร้านอื่นคงจะดูคุ้มกว่าหรือไม่
นางคิดไม่ตก จวบสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมา ทำให้นางเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
หรือคนผู้นั้นที่เราช่วยไว้ เขาส่งคนมาติดตาม?
“ซูเม่ย” ฮวาอิงกระซิบเอ่ยเสียงเบา “วันนี้เราจะไม่กลับทางเดิม หาทางเลี่ยงหยุดขายยามอู่ แล้วไปซอกตะวันตกของเมืองกัน ดูว่าพวกนั้นจักทำเยี่ยงไร”
“เจ้าค่ะ”
ฮวาอิงยังคงตั้งแผงขายขนมชั้นตามปกติ ทำตัวราวกับหญิงชาวบ้านธรรมดาที่ขายของประทังชีวิต แต่ความธรรมดานั้น กลับแฝงด้วยการวางแผงรอบคอบ กระทั่งยามอู่ใกล้เข้ามา แผงขนมชั้นก็ถูกรื้อเก็บอย่างอย่างรวดเร็ว ฮวาอิงแสร้งบ่นว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัว ลากสังขารเดินช้า ๆ ในขณะที่ซูเม่ยเดินตาม ไปตรอกแคบ ๆ ที่วางแผนไว้
ขณะเดินผ่านร้านเครื่องเขียนพู่กัน ฮวาอิงชำเลืองเห็นชายในชุดชาวบ้านเดินช้า ๆ ออกมามองนางไม่ละสายตา
“เร็วเข้า เดินไปทางซ้าย เข้าซอยหลังโรงเตี้ยม” ฮวาอิงสั่ง
สองสาวหลบเลี้ยวเข้าเส้นทางตัดแคบ ๆ วกอ้อมผ่านโรงเตี้ยมร้าง ๆ ไร้ผู้คน ก่อนจะเดินเลาะกำแพง จนมาถึงกำแพงทางหมาลอดตำหนักเย็นที่พำนักอยู่ ปล่อยให้คนสะกดรอยที่ตามมา...ได้แต่ยืนงงว่าทั้งสองหายไปได้เยี่ยงไร
ชั้นสองของโรงน้ำชาทางเหนือของตลาด
หวังอ๋องนั่งพิงเก้าอี้ไม้ ข้างหน้ามีถ้วยชาร้อนที่ส่งไอร้อน ใบหน้าหล่อแต่หวานหยด ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับคมกริบราวกับกระบี่ที่พร้อมเชือดเฉือน
“หลินหยาง...” เขาพึมพำออกมา ชื่อที่จดจำได้ดีพร้อมกับขนมแปลกประหลาดที่ถูกห่อด้วยใบตองเมื่อไม่กี่วันก่อน
เขาไม่เคยลิ้มรสขนมนี้มาก่อน รสละมุนหนึบเคี้ยวเพลิน แถมยังหอมติดปลายลิ้นนิด ๆ ความอร่อยติดใจจนพยายามให้คนครัวในจวนแกะสูตรทำให้ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำออกมาไม่เหมือน จนกระทั่งคนครัวคนหนึ่งเอ่ยมาว่า...ขนมชนิดนี้หาได้เพียงแผงขนมเล็ก ๆ แผงหนึ่งในตลาดเท่านั้น
“หายไปอีกแล้ว?” เขาหันไปถามองครักษ์หนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากการสะกดรอยด้วยเสียงนิ่งแต่เย็นจัด องครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ ทรุดตัวคุกเข่าก้มหน้ามองพื้น
“พ่ะย่ะค่ะ ลับหายไปตรงซอกแคบหลังโรงเตี้ยมร้าง เป็นเส้นทางที่แทบไม่มีผู้ใดสัญจรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่พวกเจ้าทำงานพลาด แค่ผู้หญิงคนเดียวเหตุใดถึงยังตามไม่ได้”
“ข้าน้อยสมควรตาย! ยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิด พวกนางเหมือนรู้จักเส้นทางเหล่านั้นดีเกินไป ไม่ใช่เพียงแม่ค้าขายของธรรมดาแน่ นายท่าน” องครักษ์ ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด ทั้งที่การสอดแนมศัตรูเป็นเรื่องงานมิเคยพลาด แต่การตามสองสาวดันยากกว่าหลายขุมนัก
หวังอ๋องกระตุกยิ้มเยือกเย็น ขณะหยิบขนมชั้นที่ถูกห่อด้วยใบตองอย่างประณีต สีสันและกลิ่นหอมยังคงเป็นรสเดิมที่เคยได้รับกินก่อนหน้านั้น
หลินหยาง หญิงผู้นี้อาจจะไม่ธรรมดา
หรือไม่เช่นนั้น...จริง ๆ แล้ว นางไม่ใช่คนธรรมดา
ความสงสัยไม่ได้เกิดจากเพียงรสขนม หากแต่เกิดจากสายตาของหญิงสาวผู้นั้นในยามที่เขาเกือบสิ้นใจ
เขาจำได้ดี ยามที่ลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บปวดในพงหญ้าครานั้น เลือดยังไหลจากแขนไม่หยุด แต่นางกลับมองเขาด้วยสายตาที่...นิ่ง สงบ ไม่ใช่สายตาของหญิงบ้านป่าผู้ไม่เคยประสบเรื่องร้าย มันกลับตรงกันข้าม ราวกับผู้มีสติปัญญาผ่านการร่ำเรียนผ่านชีวิตมาอย่างหนัก ซึ่งดวงตาคู่นั้นเขาไม่เคยเห็นในหญิงใดมาก่อน
นางน่าสนใจเสียจริง
ณ ตำหนักเย็น
แสงแดดจากฟ้ายามบ่ายร่วงหล่นผ่านหลังคาเก่ากระทบศาลาไม้หลังเรือน เสียงเหล่าแมลงเริ่มส่งเสียงดังไกล ๆ ลมพริ้มผ่านทำให้ผมยาวสลวยปลิดปลิวไปมา
ฮวาอิงวางตัวลงม้านั่ง หายใจแรงอย่างเหนื่อยหอบ ฝ่ามือเปียกชื้นจากเหงื่อเกาะเสื้อผ้าแนบลำตัว
ซูเม่ยยกน้ำมาวางตรงหน้า ยื่นให้นายของตนด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู...ดื่มน้ำเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ...ขอบใจ” ฮวาอิงยกน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะถอนหายใจดัง
“คุณหนู...พวกนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะเจ้าคะ จังหวะการเดิน แววตา และที่สำคัญ...”
“คนในวัง” ฮวาอิงพูดแทน ขณะหรี่ตาลงพลางเท้าคาง เหม่อมองสระบัวเบื้องหน้า
“พวกเขาคงกำลังตามสืบข้า ไม่ก็ตามสืบชื่อที่ข้าโกหกไปอย่าง หลินหยาง เป็นแน่ ข้าว่าตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่า ข้าคือ ฮวาอิง จากตำหนักเย็น”
“เช่นนั้นก็ยังคงปลอดภัยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยพึมพำ
“ฮ่า...” ฮวาอิงหัวเราะเบา ๆ “ปลอดภัยรือ...หรือว่าแค่ยังไม่มีใครรู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่กันแน่ ขนาดคนจากเมืองซ่างผิงยังไม่มีใครติดต่อมาหาข้าด้วยซ้ำ”
“คุณหนู...” ซูเม่ยทำเสียงละห้อยสงสารคุณหนูของตนจับใจ
ฮวาอิงยกถ้วยน้ำขึ้นจิบอีกครา แววตาสะท้อนเปลวไฟเป็นประกายเล้นลับ
“ซูเม่ย...เจ้าเชื่อหรือไม่ คนที่เราช่วยไว้วันก่อน...อาจเป็นคนเดียวกับผู้ที่ส่งคนมาสะกดรอยเรา”
“คุณหนูคิดว่างั้นรือเจ้าคะ?”
“คงงั้น” แววตาของนางเยือกเย็น หวานแต่แหลมคมฉายแววความเฉลียวฉลาดออกมา ก่อนจะเอ่ยวาจาต่อ
“ข้าเองก็เป็นลูกไฮโซมาก่อน เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ข้ากลัวอันใดหรอก แต่ตอนนี้มีสิ่งเดียวที่ข้าต้องรู้ให้ได้...” แววตาของนางฉายแววครุ่นคิด “คนผู้นั้นที่ส่งคนสะกดรอยข้า...มีเป้าหมายใดกัน?”
แม้ท้องฟ้าจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มอมทองแล้ว แต่ฮวาอิงยังนั่งนิ่งอยู่ที่ศาลา ตาจับจ้องท้องฟ้าเบื้องบน ดวงตานิ่งสงบ แต่คล้ายมีบางอย่างในใจสั่นไหวอย่างลึกซึ้ง
นางนึกถึงบ้าน บ้านที่แท้จริงในโลกเดิม มีเครื่องปรับอากาศ มีโทรศัพท์มือถือ ชีวิตที่ไม่มีใครพยายามฆ่า หรือใส่ร้ายอยู่ยาม แต่น่าแปลก นางก็ไม่คิดที่อยากจะกลับไปมากนัก เพราะถึงแม้จะไม่มีอะไรคุกคามถึงชีวิต แต่มันกลับ ไรชีวา ต่างจากที่นี่ ที่แม้จะมีคนปองร้ายถึงชีวิตกันได้อย่างง่ายดาย แต่ทุกสิ่งรอบตัวกับเต็มไปด้วยชีวาที่ไม่เคยได้รับ
ซูเม่ยที่กลับไปในครัว นำหมั่นโถวจืด ๆ มาให้ฮวาอิงกิน เมื่อเห็นสีหน้าอาการเหม่อลอยราวกับกำลังคิดถึงบ้านอันไกลโพ้น นางจึงได้เอ่ยวาจาด้วยความสงสารนายของตนจับใจ
“เมื่อก่อน คุณหนูมีบ่าวหลายคนคอยปรนนิบัติ มีรถม้ารับส่ง มีอาหารสามมื้อจากพ่อครัวชั้นสูง...” ซูเม่ยพึมพำเสียงเบา “แต่เดี๋ยวนี้ กลับต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ คุณหนูต้องแอบหลบหนีตรากตรำขายขนมข้างทาง ถ้านายท่านเมืองซ่างผิงรู้ว่าท่านเหนื่อยปานนี้ ข้าเชื่อว่านายท่านต้องกลับมารับคุณหนูแน่ ๆ เจ้าค่ะ”
ฮวาอิงได้ฟัง สาวใช้ของตนเอ่ยขึ้น ก็พานทำให้ความรู้สึกและจิตใต้สำนึกที่ยังอยู่ในร่างนี้ผุดออกมา ตอนแรกนางก็เคยสงสัยว่า เหตุใดฮวาอิงร่างเดิมถึงต้องทนทุกข์อยู่ในตำหนักเย็นเช่นนี้ ทั้งที่ก็เป็นถึงคุณหนูของเมืองซ่างผิง แม้จะเป็นเมืองเล็กแต่คงไม่รันทดเช่นนี้แน่ จนเมื่อนางลองหลับตาความนึกคิดของฮวาอิงคนเดิมก็ผุดขึ้น
“ข้าแบกคำว่าสตรีแห่งมืองซ่างผิงไว้ ข้าจะทำให้บ้านเมืองผิดหวังได้เยี่ยงไร ที่ข้าทนอยู่เช่นนี้ เป็นเพียงเพราะคิดไว้ว่าสักวันจะถูกคัดเลือกอีกครา และนำความมั่งคั่งสู่บ้านเมืองซ่างผิงของเราได้” ฮวาอิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“ที่แท้เป็นเช่นนี้รือ... เจ้าช่างมีจิตใจใสสะอาดยิ่งนัก แต่โลกนี้กลับมิได้ปรานีผู้มีจิตใจดีงามเสมอไป คนใจดีเกินไป มักเป็นฝ่ายพ่ายให้แก่ชะตาของตน”
“คุณหนูเอ่ยถึงผู้ใดเจ้าคะ” ซูเม่ยเอ่ยถาม
“ข้าเอ่ยถึงตัวข้าเองนี่แหละ เพราะข้าใจดีมากเกินไปจึงทำให้เจ้าต้องพล้อยเดือดร้อนไปด้วย”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ไม่ว่าต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะเคียงข้างปรนนิบัติท่านไปชั่วชีวิตเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามากนะ แต่เจ้าไม่ต้องตอบเอาใจข้าเพียงนี้ก็ได้ ข้าถามตามตรง เจ้ากลัวหรือไม่?” ฮวาอิงหันไปถามซูเม่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ซูเม่ยชะงักไปครู่ ก่อนจะตอบเสียงเบา
“กลัวเจ้าค่ะ...แต่หากคุณหนูยังยืนหยัดได้ ข้าก็จะไม่เป็นอันใด”
ฮวาอิงพยักหน้าเล็กน้อย สายตาจับจ้องท้องฟ้าที่เริ่มหม่น
“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะไม่รอด...” นางหยุดไปชั่วครู่ “แต่ว่านะ...ถ้าข้าอ่อนแอ เราก็จะไม่อาจหลุดพ้นวงเวียนจากตำหนักเย็นแดนคนไร้ค่านี่ได้ ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากเดินต่อ แม้หนทางจะเต็มไปด้วยขวากหนาม และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายทางคืออันใด แต่ข้าไม่ยอมให้ตนเอง และเจ้าต้องมาจมปลักอยู่ในที่ ๆ ไร้ตัวตนเยี่ยงนี้หรอก”
“คุณหนู ไม่ว่าคุณหนูจะทำอันใด หรือไปที่ใด ข้าจะติดตามท่านไปทุกที่เจ้าค่ะ” ซูเม่ยเอ่ยรับเสียงหนักแน่น
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงสุดท้ายถูกแทนที่ด้วยเงามืดสลัวของค่ำคืน แต่ในแววตาของหญิงสาวผู้หนึ่ง...กลับมีแสงสว่างที่ยังไม่ดับลงแม้ในยามที่ไร้คนมองเห็น
ตอนที่ 7เสียงกระซิบในตำหนักเย็น เสียงฝีเท้าของฮวาอิงและซูเม่ยดังแผ่ว เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงหน้าประตูตำหนักเย็นในมุมอับสายตาของคนในวังหลวง นางยังคงสวมชุดผ้าหยาบปลอมตัวเป็น หลินหยาง แม่ค้าขนมชั้น แห่งตลาดในเมืองหลวง ขณะที่ในมือของซูเม่ยแบกตะกร้ากลับมาพร้อมผลกำไรเพียงเล็กน้อยในวันทว่ายังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูบานไม้เก่า กลิ่นความวุ่นวายกลับตลบตึงออกมาจากภายในตำหนักเสียงฝีเท้าผู้คนวิ่งพล่านในตำหนักเย็น ซึ่งปกติควรเงียบงันดั่งป่าช้า ฮวาอิงกับซูเม่ยชะงักฝีเท้า พลันสายตาเหลือบเห็นสาวใช้สองนางของตำหนักอื่นกำลังเปิดประตูห้องเรือนของนางโดยพลการ ค้นข้าวของอย่างไม่เกรงใจ“นั่นเจ้าทำอะไร!” ซูเม่ยร้องตวาด สีหน้าเผือดลงทันทีสาวใช้อีกคนหันกลับมาพร้อมห่อขนมชั้น นางชูขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน“เจ้าขโมยของจากโรงครัวหลักตำหนักเย็นแล้วเอาไปทำสิ่งนี้ขายงั้นรือ?”เสียงของนางทำให้คนในตำหนักเย็นหลายคนทยอยกันมุงดู ไม่เว้นแม้แต่ คุณหนูหลี่ บุตรสาวจากเมืองต้าเหอ ซึ่งพำนักที่นี่เช่นกัน นางเป็นคนผิวขาวจัด ดวงตารรีเรียวราวกับงู พริบตาเดียวก็ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าฮวาอิง พลางก้มหน้ามองแสยะยิ้มอย่าง
(ทางด้าน...ตำหนักเย็นเรือนของฮวาอิง)ทั้งสองลัดเลาะกลับเข้าตำหนักเย็น แสงอาทิตย์ลอดผ่านกิ่งไม้สูง กระทบผืนผ้าสีหม่นของชุดชาวบ้านที่สองนางสวมอยู่เสียงย่ำเท้าหนัก ๆ หยุดลงเมื่อถึงศาลาไม้หลังเรือนของตน ฮวาอิงยกชายแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นจึงกอดอกนั่งลงบนม้านั่งด้วยใบหน้าแสดงความกังวลออกมาชัดเจน“คุณหนู เราจะเอาอย่างไรต่อดีเจ้าคะ?” ซูเม่ยนั่งตาม ตาคิ้วขมวดแน่นฮวาอิงหลุบตาลงเล็กน้อย พลางหยิบพัดเก่า ๆ จากอกเสื้อออกมากางแล้วพัดเบา ๆ“ข้าก็กำลังคิดอยู่ ซูเม่ย หากเราปล่อยไว้เช่นนี้ ช่องทางทำมาค้าขายของเราก็พังกันพอดี”“คุณหนูเจ้าคะ หรือพวกเขาจะเป็นขุนนางจากวัง?” ซูเม่ยเอ่ยเสียงเบาลงฮวาอิงหรี่ตาลงก่อนจะพับพัดช้า ๆ วางลงตัก“เจ้าจำตอนที่ข้าเริ่มขายขนมได้หรือไม่? คนที่เฝ้ามองข้าไม่ใช่โจร ไม่ใช่พวกนักเลงตลาด แต่ดู...นิ่งเกินไป มีวินัยเกินไป เหมือนพวกที่ฝึกการสะกดรอยมาอย่างดี”“ทหาร? องครักษ์?” ซูเม่ยเบิกตากว้างฮวาอิงยิ้มบาง ๆ เงียบไปครู่ ซูเม่ยเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าหนักใจ“หากเขามาจากวัง...บางที พวกเขาอาจเป็นคนที่มีอำนาจมากก็ได้ คุณหนูหรือเราควรหนีไปให้ไกลดีเจ้าคะ?”ฮวา
ตอนที่ 6ศึกปะทะเชิงณ แผงขายขนมเล็ก ๆ ของฮวาอิง ที่สวมรอยเป็น หลินหยาง ถูกตั้งขึ้นอย่างคล่องแคล่วเช่นเคย ขนมชั้นตอนนี้มีสีหลากหลาย เรียงรายอย่างประณีตในถาดหวายเล็ก ๆ มีผ้าลายดอกเหมยคลุมไว้กันแมลงตอม ดูสะอาดสะอ้านกว่าใคร“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณหนู...เอ่อ...คุณหลิน” ซูเม่ยกระซิบแผ่ว หลังจากจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยฮวาอิงพยักหน้าเบา ๆ พลางปรับผ้าคลุมหน้าให้ปิดดวงตาอีกนิด วันนี้นางให้ซูเม่ยสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับตน พร้อมผ้าคลุมหน้าบางเบา เพื่อหลอกตาคนสะกดรอยให้สับสน“จำไว้นะซูเม่ย ถ้ามีใครจ้องมากกว่าหนึ่ง เราจักเก็บแผงแล้วอ้อมกลับไปโรงเตี้ยมร้างดั่งเคย” ฮวาอิงพูดเสียงต่ำ ขณะมือยังคีบขนมวางให้เรียบร้อย“เจ้าค่ะ”เพียงตั้งแผงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลูกค้าประจำเริ่มแวะเวียนมาอุดหนุน คนชรา เด็กน้อยร้านน้ำชา หรือแม่ค้าร้านใกล้เคียง ต่างยิ้มให้ ฮวาอิงอย่างคุ้นเคยขณะบรรยากาศคล้ายจะเป็นไปตามปกติ บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งก็ก้าวมาหยุดยืนหน้าร้าน เขาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดี แม้จะพยายามคลุมหมวก แต่ท่วงท่าการเดิน การยืน หรือแม้แต่ท่ายกมือกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายผู้มีฐานะชัดเจน“ขนมนี่...หน้าตาแปลกดีนะ” เขาย่อตัวล
ตอนที่ 5เงาจางกลางตลาด“คุณหนู! ระวังฝั่งขวาเจ้าค่ะ มีคนมองมาอีกแล้ว” เสียงกระซิบแผ่วเบาของซูเม่ยดังข้างหู ดวงตากลมโตของนางเหลือบไปยังชายสองคนในชุดชาวบ้านที่ยืนอยู่หน้าร้านยาจีน แม้แต่นางก็ดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกค้าที่มาซื้อของจริง ๆฮวาอิงก้มหน้าลง แสร้งดูถาดขนมชั้นในมือราวกับไม่ได้สังเกตอะไร แต่ข้างในกลับตึงเครียดไปหมดพวกเขา...ตามมองแบบนี้อีกแล้วนี่ไม่ใช่วันแรกที่นางถูกติดตามแบบนี้ นับตั้งแต่วันที่ช่วยชายบาดเจ็บหลังพงหญ้าแถบหลังเมืองทางกลับตำหนักเย็น ทุกเช้าหลังตั้งแผงขายขนม ก็มักมีสายตากลุ่มคนจับจ้องมาเสมอ ราวกับเงาตามเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าใกล้ แต่ก็ไม่ห่างหายไปไหนฮวาอิงไม่แน่ใจว่าการกระทำเช่นนี้ นับเป็นโจรหรือไม่ อยากปล้นขนมหรือเงินทอง แต่นางเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมชิ้นละสองอีแปะ สู้ปล้นร้านอื่นคงจะดูคุ้มกว่าหรือไม่นางคิดไม่ตก จวบสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมา ทำให้นางเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบหรือคนผู้นั้นที่เราช่วยไว้ เขาส่งคนมาติดตาม
ตอนที่ 4เงาของโชคชะตาหอระฆังสูงของเมืองหลวงตีระฆังก้องกังวานยามชวี เป็นสัญญาณบอกเวลาให้ชาวเมืองเริ่มเก็บร้านค้า หรือแผงตามตรอกข้างทางในย่านฮวาอิงและซูเม่ยก็ไม่เว้นเช่นกัน หลังจากที่ขนมชั้นหมดเกลี้ยงในเวลาไม่นาน เหลือเพียงส่วนที่จะเก็บไว้กินเอง ทั้งคู่ก็รีบเก็บแผงร้านของตน ภาชนะและผ้าห่อขมวดแบกไว้บนหลังซูเม่ยเพราะนางไม่ยอมให้คุณหนูของตนทำ“วันนี้พวกเราขายดีเกินคาดเลยเจ้าค่ะ! ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูจะทำขนมหวานได้เก่งถึงเพียงนี้ ข้าติดตามคุณหนูมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยเห็นคุณหนูแตะต้องเตาไฟเลยด้วยซ้ำ ว่าแต่...คุณหนูไปร่ำเรียนตอนใดกันเจ้าคะ?” ซู่เม่ยเอ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกาย มือทั้งสองจับหูหิ้วตะกร้าสานแบกหลัง“เอ่อ...ข้า...ก็เรียนที่สำนักศึกษาในเมืองซ่างผิงน่ะสิ”“อ่อ...ที่แท้สำนักศึกษามีเรียนนอกตำราด้วยสินะเจ้าคะ บ่าวเป็นเพียงไพร่ มิเข้าใจตำหรับตำราหรอกเจ้าค่ะ”“ฮ่ะ...ฮ่ะ...” ฮวาอิงหัวเราะกลบเกลื่อน“คุณหน
ตอนที่ 3ตลาดเมืองหลวง และขนมชั้นจากแดนไกลแสงแดดยามสายลอดผ่านม่านขาดวิ่นเดิม ๆ ในตำหนักเย็น พลอยในร่างฮวาอิง ตื่นขึ้นด้วยความเคยชินกับโลกใบใหม่นี้แล้วฮวาอิงเดินไปในห้องครัวเก่า ๆ หลังเรือน นั่งคุดคู้หน้าเตาอิฐเล็ก ๆ มองเปลวไฟจากฟืนแห้ง ที่กำลังต้มน้ำแกงแสนจืดชืดอย่างเคยที่ซูเม่ยกำลังทำ“กินแบบนี้ทุกวันมีหวัง ขาดสารอาหารแย่” ฮวาอิงลุกขึ้นเดินไปมาคิดอยู่นาน ก่อนจะมีแผนการบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด อยากกินก็ต้องทำ“ซูเม่ย เจ้าช่วยข้าแต่งตัวที ขอยืมชุดของเจ้าที่เก่าที่สุดเลยนะ”ฮวาอิงเอ่ยต่อสาวใช้ของตน วันนี้นางให้ซูเม่ยช่วยแต่งตัวมอมแมมเป็นหญิงชาวบ้านผิวคล้ำหน่อย เสื้อผ้าสีซีดซอมซ่อ ดึงเชือกผ้าเส้นเล็กผูกปมหยาบ ๆ รวบผมบนศีรษะให้เรียบร้อย เพื่อให้กลมกลืนไปกับผู้คนในยุคนี้“คุณหนูฮวาอิง แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะออกไปข้างนอกในสภาพนี้” ซูเม่ยเอ่ยเบา ๆ ขณะจัดชายผ้าคลุมสีซีดให้แน่นขึ้น“เจ้าคิดว่าข้าแต่งชุดหญิงสาวในเรื