ศึกปะทะเชิง
ณ แผงขายขนมเล็ก ๆ ของฮวาอิง ที่สวมรอยเป็น หลินหยาง ถูกตั้งขึ้นอย่างคล่องแคล่วเช่นเคย ขนมชั้นตอนนี้มีสีหลากหลาย เรียงรายอย่างประณีตในถาดหวายเล็ก ๆ มีผ้าลายดอกเหมยคลุมไว้กันแมลงตอม ดูสะอาดสะอ้านกว่าใคร
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณหนู...เอ่อ...คุณหลิน” ซูเม่ยกระซิบแผ่ว หลังจากจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อย
ฮวาอิงพยักหน้าเบา ๆ พลางปรับผ้าคลุมหน้าให้ปิดดวงตาอีกนิด วันนี้นางให้ซูเม่ยสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับตน พร้อมผ้าคลุมหน้าบางเบา เพื่อหลอกตาคนสะกดรอยให้สับสน
“จำไว้นะซูเม่ย ถ้ามีใครจ้องมากกว่าหนึ่ง เราจักเก็บแผงแล้วอ้อมกลับไปโรงเตี้ยมร้างดั่งเคย” ฮวาอิงพูดเสียงต่ำ ขณะมือยังคีบขนมวางให้เรียบร้อย
“เจ้าค่ะ”
เพียงตั้งแผงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลูกค้าประจำเริ่มแวะเวียนมาอุดหนุน คนชรา เด็กน้อยร้านน้ำชา หรือแม่ค้าร้านใกล้เคียง ต่างยิ้มให้ ฮวาอิงอย่างคุ้นเคย
ขณะบรรยากาศคล้ายจะเป็นไปตามปกติ บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งก็ก้าวมาหยุดยืนหน้าร้าน เขาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดี แม้จะพยายามคลุมหมวก แต่ท่วงท่าการเดิน การยืน หรือแม้แต่ท่ายกมือกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายผู้มีฐานะชัดเจน
“ขนมนี่...หน้าตาแปลกดีนะ” เขาย่อตัวลงเล็กน้อย พยายามพูดภาษาชาวบ้าน แต่กลับฟังดูประดิษฐ์เสียจนน่าขัน ฮวาอิงปรายตามอง ไม่ได้ตอบในทันที
บุรุษผู้นั้นหยิบขนมชั้นสีม่วงอ่อนขึ้นมาดม แล้วพยักหน้า ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายจะประหลาดใจ เกินจริงไปนิด
“หอมจริง ๆ กลิ่นเหมือน...ดอกไม้ผสมน้ำหวาน! ใช่หรือไม่?”
“ข้าแค่ต้มดอกอัญชัญคั้นสีกับน้ำเชื่อมเจ้าค่ะ”ฮวาอิงตอบเรียบ ๆ พลางยิ้มบาง
“ฮ่า...คุณหนูคนนี้ ทำขนมได้น่าสนใจเสียจริง”
ฮวาอิงแสร้งหัวเราะตาม บุรุษผู้นั้น แต่ในใจกลับตึงเครียดขึ้นมา
คุณหนู อย่างนั้นหรือ? นางเหลือบตามองบุรุษผู้นั้นอีกครา เขาเลือกขนมทีละชิ้นราวกับเลือกเครื่องประดับ น้ำเสียงพูดจาสุภาพเกินชาวบ้านทั่วไป แถมใบหน้าแม้จะเปรอะเปื้อนฝุ่นเล็กน้อย แต่ฮวาอิงก็มองออกว่าเกิดจากความตั้งใจให้มันเป็นเยี่ยงนี้เสียมากกว่า เพราะฮวาอิงเองก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน
“ข้าเป็นแค่ชาวบ้านตาดำ ๆ ท่านอย่าเรียกข้าว่า คุณหนู เลยเจ้าค่ะ ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก” ฮวาอิงเอ่ยเสียงเรียบ
บุรุษผู้นั้นยิ้มอย่างไม่สะทก ยกมือขึ้นประสาน
“อ่า...ข้าผิดเอง ข้าเป็นพ่อค้า...ไม่สิ ข้าเป็นคนจากต่างเมือง ร่อนเร่ไปทั่ว มาที่นี่เพื่อพักผ่อน เจอขนมแปลกตา ก็อดไม่ได้ที่จะอยากลิ้มลอง พลางคิดว่าผู้ที่สามารถทำขนมแสนอร่อยนี้ได้ คงเป็นคนจากตระกูลสูงศักดิ์แน่”
“เช่นนั้นรึเจ้าคะ” ฮวาอิงยิ้มบาง ดวงตาเย็นชาเจือระแวง “ท่านมาจากต่างเมือง แต่กลับแต่งตัวคล้ายชาวบ้านเดินตลาดแห่งนี้ ถ้าท่านไม่บอกว่ามาจากแดนไกล ข้าคงนึกว่าท่านกำลังแสร้งปลอมตัวเลยนะเจ้าคะ”
“ฮ่า...” บุรุษผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง
“ข้าชักถูกใจเจ้าแล้วสิ แต่อย่างไรเสีย ขนมเจ้าก็อร่อยนัก ข้าอยากซื้อทั้งหมดที่เหลืออยู่บนถาดหวายนี้ เอาไปฝากสหายเสียหน่อย”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ข้าจะห่อใบตองให้ท่าน” ฮวาอิงเอ่ย ก่อนจะคีบขนมลงห่อใบตองอย่างนิ่งสงบ แต่ในใจนางกลับพลุ่งพล่านหวาดระแวง
บุรุษผู้นั้นรับห่อขนมชั้นไป พร้อมทิ้งเงินจำนวนที่เกินกว่าค่าขนมไปมาก
“ข้าจะแวะเวียนมาแผงขนมแม่นางบ่อย ๆ คาดหวังไว้ว่าจะมีขนมประหลาดออกมาให้ลิ้มลองอีก...แม่นางหลินหยาง”
ชื่อปลอมที่ไม่มีใครรู้ นอกจากชายปริศนาที่ฮวาอิงเคยช่วยไว้คราวก่อน เอ่ยจากปากของบุรุษตรงหน้า ทำฮวาอิงชะงักไปชั่ววินาที
บุรุษผู้นั้นเพียงยิ้มแล้วเดินจากไปอย่างอ้อยอิ่ง ฮวาอิงยืนนิ่ง ใจเต้นแรงราวจะทะลุอก
“ชายผู้นั้นเป็นใครกันเจ้าคะ?” ซูเม่ยกระซิบจากด้านหลัง ฮวาอิงก้มลงเก็บถาด ไม่ตอบในทันที
“คนที่จับตาดูเรา” ฮวาอิงกระซิบ “และเขาผู้นั้น...ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ซูเม่ย”
(ตำหนักรองขององค์ชายสาม หวังอ๋อง)
ภายในเรือนด้านหลังของตำหนักซึ่งซ่อนอยู่หลังแนวต้นไผ่ ห้องลับใต้ดินที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่างสักบาน กลับสว่างด้วยแสงจากโคมไฟติดผนัง ด้านในมีเพียงโต๊ะไม้กลึงเรียบ กับฉากบังลายเมฆที่แบ่งห้องเป็นสองส่วน
หวังอ๋อง (นามเต็ม หวังเยวี่ยน) ในชุดคลุมบาง สวมเสื้อคลุมด้านนอกทับอย่างเรียบง่าย นั่งอยู่หัวโต๊ะ ดวงตาเรียบนิ่งแต่แฝงแววครุ่นคิด ริมฝีปากเม้นแน่น ขณะพลิกใบตองที่ห่อขนมของฮวาอิงอยู่
คนข้างตัวหวังอ๋อง นาม ไป๋อวี่ องครักษ์คนสนิท นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบงันไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ๆ
“หานจื่อ...เข้ามา” หวังอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ
ม่านไม้ไผ่ถูกเลิกออก เผยให้เห็นชายวัยกลางคนชุดคลุมนักปราชญ์ สายตาแหลมคมแฝงด้วยไหวพริบ เขาคือหัวหน้าข่าวกรองที่ประจำการฝ่ายหวังอ๋อง
“พ่ะย่ะค่ะ”
หวังอ๋องวางห่อขนมลงบนโต๊ะ
“ข้าพบสตรีผู้หนึ่งในตลาด ใช้นามว่า หลินหยาง เป็นแม่ค้าขายขนมแผงลอยเล็ก ๆ ดูผิวเผินเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา แต่...” หวังอ๋องหยุดชะงักชั่วครู่
“แต่นางกลับใช้ถ้อยคำเฉียบคม รู้จักประเมินผู้คน พยายามปิดบังตัวตน และใช้เส้นทางหลบหนีอย่างชำนาญเกินชาวบ้านนัก” หวังอ๋องเอ่ยตามที่คิด ไป๋อวี่พยักหน้า
“นายท่านหมายถึง เส้นทางหลังตลาดวกไปทางโรงเตี้ยมร้าง เป็นบริเวณห่างจากบ้านผู้คนนัก เป็นทางที่แม้แต่ชาวบ้านยังหลงทิศได้ง่าย ๆ” ไป๋อวี่อธิบายเพิ่มให้หานจื่อเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น
“ถูกต้อง!” หวังอ๋องดีดนิ้วเบา ๆ
“นางหนีไปทางนั้นโดยไม่ลังเล ย่อมไม่ใช่แม่นางธรรมดาแน่ตามที่นายท่านคาดการณ์พ่ะย่ะค่ะ เพราะโดยปกติเส้นทางนั้นมันเป็นทางต้องห้าม...” หานจื่อตีความเพิ่ม
หวังอ๋องผายมือช้า ๆ ไปยังแผนที่เล็ก ๆ ที่รวบรวมข้อมูลหลบหนีของฮวาอิงไว้ให้หานจื่อมอง
“ดูจากเส้นทางที่แม่นางผู้นี้หลบหนีจากองค์ชายแล้ว นางลัดเลาะเส้นทางลับตาคนมาหยุดที่โรงเตี้ยมร้าง จากนั้นก็วกเข้าซอยแคบ ก่อนจะหายวับราวอากาศตรงกำแพง ตำหนักเย็น พ่ะย่ะค่ะ”
“ตำหนักเย็นรือ?...หรือว่า...” หวังอ๋องพึมพำออกมา
“เป็นแค่การคาดเดาของกระหม่อมเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หานจื่อประสานมือก้มหน้าเอ่ยต่อหวังอ๋อง
หวังอ๋องยกถ้วยชาจิบเบา ๆ ดวงตายังแน่นิ่งคิดบางอย่าง
“แต่ข้ารู้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดา นางแกล้งหลอกว่าเป็นแม่ค้าชาวบ้าน ทั้งยังวางกลยุทธ์หลอกตาคนสะกดรอยของเราได้แนบเนียนนัก” หวังอ๋องกอดอกเอ่ยวาจา
“...” องค์รักษ์ และหัวหน้าปราชญ์ เงียบนิ่ง
“แม่นางอีกคนที่ติดตามนาง วันนี้แต่งตัวคล้าย หลินหยาง มากเกินไป ข้าให้คนสะกดรอยแล้ว พบว่าพวกนาง สลับตำแหน่ง อยู่เนือง ๆ เพื่อหลบตาคน” หวังอ๋องวางถ้วยชาลงเสียงดัง
หานจื่อขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “หรือว่า...เป็นผู้หนีภัย? ไม่ก็...สายลับ? พ่ะย่ะค่ะ”
หวังอ๋องส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่แน่ใจ แต่ที่ข้ามั่นใจ นางไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ ขนมที่นางทำก็เช่นกัน รูปร่างแปลก รสไม่เหมือนใคร ข้าไม่เคยลิ้มลองในวังหลวง ไม่ใช่ฝีมือสามัญชนแน่”
“หลินหยาง เป็นชื่อปลอม หรือว่า แม่นางผู้นี้เป็นคนจากเมืองอื่น?” หานจื่อเอ่ยขึ้นอย่างรอบคอบ “ท่านอ๋องต้องการให้กระหม่อมสืบที่มาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ใช่ สืบตั้งแต่นาม หลินหยาง ช่วงเวลาการปรากฏตัวของแม่นางผู้นั้นในตลาด รวมไปถึงตรวจสอบผู้คนที่เคยถูกส่งเข้า ตำหนักเย็น ช่วงสิบปีที่ผ่านมา ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้อาจโยงลึกกว่าที่เห็นเราเห็น”
“ท่านอ๋อง...หากเรื่องนี้สืบสาวแล้วโยงการเมือง ท่านอ๋อง...จะทรงรายงานให้ฮ่องเต้ทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หวังอ๋องแค่นหัวเราะเย็น ๆ
“ท่านพี่ข้าเฝ้าแต่สนใจ อำนาจ ส่วนข้าสนใจแต่ ความจริง มากกว่า หากข้าไปแจ้ง มีหวังคนพวกนั้นจะเผาเส้นทางทั้งหมดทิ้งก่อนเราจะเห็นหน้าแม่นางผู้นั้นเสียอีก” หวังอ๋องลุกขึ้นช้า ๆ มือประสานหลัง
“โลกนี้เต็มไปด้วยเงามืด และในเงานั้น มักมีคนที่เรามองข้าม...แต่บางครั้ง คนเหล่านั้นในเงา อาจเปลี่ยนทิศทางพายุลูกใหญ่ได้”
ตอนที่ 7เสียงกระซิบในตำหนักเย็น เสียงฝีเท้าของฮวาอิงและซูเม่ยดังแผ่ว เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงหน้าประตูตำหนักเย็นในมุมอับสายตาของคนในวังหลวง นางยังคงสวมชุดผ้าหยาบปลอมตัวเป็น หลินหยาง แม่ค้าขนมชั้น แห่งตลาดในเมืองหลวง ขณะที่ในมือของซูเม่ยแบกตะกร้ากลับมาพร้อมผลกำไรเพียงเล็กน้อยในวันทว่ายังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูบานไม้เก่า กลิ่นความวุ่นวายกลับตลบตึงออกมาจากภายในตำหนักเสียงฝีเท้าผู้คนวิ่งพล่านในตำหนักเย็น ซึ่งปกติควรเงียบงันดั่งป่าช้า ฮวาอิงกับซูเม่ยชะงักฝีเท้า พลันสายตาเหลือบเห็นสาวใช้สองนางของตำหนักอื่นกำลังเปิดประตูห้องเรือนของนางโดยพลการ ค้นข้าวของอย่างไม่เกรงใจ“นั่นเจ้าทำอะไร!” ซูเม่ยร้องตวาด สีหน้าเผือดลงทันทีสาวใช้อีกคนหันกลับมาพร้อมห่อขนมชั้น นางชูขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน“เจ้าขโมยของจากโรงครัวหลักตำหนักเย็นแล้วเอาไปทำสิ่งนี้ขายงั้นรือ?”เสียงของนางทำให้คนในตำหนักเย็นหลายคนทยอยกันมุงดู ไม่เว้นแม้แต่ คุณหนูหลี่ บุตรสาวจากเมืองต้าเหอ ซึ่งพำนักที่นี่เช่นกัน นางเป็นคนผิวขาวจัด ดวงตารรีเรียวราวกับงู พริบตาเดียวก็ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าฮวาอิง พลางก้มหน้ามองแสยะยิ้มอย่าง
(ทางด้าน...ตำหนักเย็นเรือนของฮวาอิง)ทั้งสองลัดเลาะกลับเข้าตำหนักเย็น แสงอาทิตย์ลอดผ่านกิ่งไม้สูง กระทบผืนผ้าสีหม่นของชุดชาวบ้านที่สองนางสวมอยู่เสียงย่ำเท้าหนัก ๆ หยุดลงเมื่อถึงศาลาไม้หลังเรือนของตน ฮวาอิงยกชายแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นจึงกอดอกนั่งลงบนม้านั่งด้วยใบหน้าแสดงความกังวลออกมาชัดเจน“คุณหนู เราจะเอาอย่างไรต่อดีเจ้าคะ?” ซูเม่ยนั่งตาม ตาคิ้วขมวดแน่นฮวาอิงหลุบตาลงเล็กน้อย พลางหยิบพัดเก่า ๆ จากอกเสื้อออกมากางแล้วพัดเบา ๆ“ข้าก็กำลังคิดอยู่ ซูเม่ย หากเราปล่อยไว้เช่นนี้ ช่องทางทำมาค้าขายของเราก็พังกันพอดี”“คุณหนูเจ้าคะ หรือพวกเขาจะเป็นขุนนางจากวัง?” ซูเม่ยเอ่ยเสียงเบาลงฮวาอิงหรี่ตาลงก่อนจะพับพัดช้า ๆ วางลงตัก“เจ้าจำตอนที่ข้าเริ่มขายขนมได้หรือไม่? คนที่เฝ้ามองข้าไม่ใช่โจร ไม่ใช่พวกนักเลงตลาด แต่ดู...นิ่งเกินไป มีวินัยเกินไป เหมือนพวกที่ฝึกการสะกดรอยมาอย่างดี”“ทหาร? องครักษ์?” ซูเม่ยเบิกตากว้างฮวาอิงยิ้มบาง ๆ เงียบไปครู่ ซูเม่ยเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าหนักใจ“หากเขามาจากวัง...บางที พวกเขาอาจเป็นคนที่มีอำนาจมากก็ได้ คุณหนูหรือเราควรหนีไปให้ไกลดีเจ้าคะ?”ฮวา
ตอนที่ 6ศึกปะทะเชิงณ แผงขายขนมเล็ก ๆ ของฮวาอิง ที่สวมรอยเป็น หลินหยาง ถูกตั้งขึ้นอย่างคล่องแคล่วเช่นเคย ขนมชั้นตอนนี้มีสีหลากหลาย เรียงรายอย่างประณีตในถาดหวายเล็ก ๆ มีผ้าลายดอกเหมยคลุมไว้กันแมลงตอม ดูสะอาดสะอ้านกว่าใคร“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณหนู...เอ่อ...คุณหลิน” ซูเม่ยกระซิบแผ่ว หลังจากจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยฮวาอิงพยักหน้าเบา ๆ พลางปรับผ้าคลุมหน้าให้ปิดดวงตาอีกนิด วันนี้นางให้ซูเม่ยสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับตน พร้อมผ้าคลุมหน้าบางเบา เพื่อหลอกตาคนสะกดรอยให้สับสน“จำไว้นะซูเม่ย ถ้ามีใครจ้องมากกว่าหนึ่ง เราจักเก็บแผงแล้วอ้อมกลับไปโรงเตี้ยมร้างดั่งเคย” ฮวาอิงพูดเสียงต่ำ ขณะมือยังคีบขนมวางให้เรียบร้อย“เจ้าค่ะ”เพียงตั้งแผงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลูกค้าประจำเริ่มแวะเวียนมาอุดหนุน คนชรา เด็กน้อยร้านน้ำชา หรือแม่ค้าร้านใกล้เคียง ต่างยิ้มให้ ฮวาอิงอย่างคุ้นเคยขณะบรรยากาศคล้ายจะเป็นไปตามปกติ บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งก็ก้าวมาหยุดยืนหน้าร้าน เขาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดี แม้จะพยายามคลุมหมวก แต่ท่วงท่าการเดิน การยืน หรือแม้แต่ท่ายกมือกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายผู้มีฐานะชัดเจน“ขนมนี่...หน้าตาแปลกดีนะ” เขาย่อตัวล
ตอนที่ 5เงาจางกลางตลาด“คุณหนู! ระวังฝั่งขวาเจ้าค่ะ มีคนมองมาอีกแล้ว” เสียงกระซิบแผ่วเบาของซูเม่ยดังข้างหู ดวงตากลมโตของนางเหลือบไปยังชายสองคนในชุดชาวบ้านที่ยืนอยู่หน้าร้านยาจีน แม้แต่นางก็ดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกค้าที่มาซื้อของจริง ๆฮวาอิงก้มหน้าลง แสร้งดูถาดขนมชั้นในมือราวกับไม่ได้สังเกตอะไร แต่ข้างในกลับตึงเครียดไปหมดพวกเขา...ตามมองแบบนี้อีกแล้วนี่ไม่ใช่วันแรกที่นางถูกติดตามแบบนี้ นับตั้งแต่วันที่ช่วยชายบาดเจ็บหลังพงหญ้าแถบหลังเมืองทางกลับตำหนักเย็น ทุกเช้าหลังตั้งแผงขายขนม ก็มักมีสายตากลุ่มคนจับจ้องมาเสมอ ราวกับเงาตามเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าใกล้ แต่ก็ไม่ห่างหายไปไหนฮวาอิงไม่แน่ใจว่าการกระทำเช่นนี้ นับเป็นโจรหรือไม่ อยากปล้นขนมหรือเงินทอง แต่นางเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมชิ้นละสองอีแปะ สู้ปล้นร้านอื่นคงจะดูคุ้มกว่าหรือไม่นางคิดไม่ตก จวบสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมา ทำให้นางเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบหรือคนผู้นั้นที่เราช่วยไว้ เขาส่งคนมาติดตาม
ตอนที่ 4เงาของโชคชะตาหอระฆังสูงของเมืองหลวงตีระฆังก้องกังวานยามชวี เป็นสัญญาณบอกเวลาให้ชาวเมืองเริ่มเก็บร้านค้า หรือแผงตามตรอกข้างทางในย่านฮวาอิงและซูเม่ยก็ไม่เว้นเช่นกัน หลังจากที่ขนมชั้นหมดเกลี้ยงในเวลาไม่นาน เหลือเพียงส่วนที่จะเก็บไว้กินเอง ทั้งคู่ก็รีบเก็บแผงร้านของตน ภาชนะและผ้าห่อขมวดแบกไว้บนหลังซูเม่ยเพราะนางไม่ยอมให้คุณหนูของตนทำ“วันนี้พวกเราขายดีเกินคาดเลยเจ้าค่ะ! ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูจะทำขนมหวานได้เก่งถึงเพียงนี้ ข้าติดตามคุณหนูมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยเห็นคุณหนูแตะต้องเตาไฟเลยด้วยซ้ำ ว่าแต่...คุณหนูไปร่ำเรียนตอนใดกันเจ้าคะ?” ซู่เม่ยเอ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกาย มือทั้งสองจับหูหิ้วตะกร้าสานแบกหลัง“เอ่อ...ข้า...ก็เรียนที่สำนักศึกษาในเมืองซ่างผิงน่ะสิ”“อ่อ...ที่แท้สำนักศึกษามีเรียนนอกตำราด้วยสินะเจ้าคะ บ่าวเป็นเพียงไพร่ มิเข้าใจตำหรับตำราหรอกเจ้าค่ะ”“ฮ่ะ...ฮ่ะ...” ฮวาอิงหัวเราะกลบเกลื่อน“คุณหน
ตอนที่ 3ตลาดเมืองหลวง และขนมชั้นจากแดนไกลแสงแดดยามสายลอดผ่านม่านขาดวิ่นเดิม ๆ ในตำหนักเย็น พลอยในร่างฮวาอิง ตื่นขึ้นด้วยความเคยชินกับโลกใบใหม่นี้แล้วฮวาอิงเดินไปในห้องครัวเก่า ๆ หลังเรือน นั่งคุดคู้หน้าเตาอิฐเล็ก ๆ มองเปลวไฟจากฟืนแห้ง ที่กำลังต้มน้ำแกงแสนจืดชืดอย่างเคยที่ซูเม่ยกำลังทำ“กินแบบนี้ทุกวันมีหวัง ขาดสารอาหารแย่” ฮวาอิงลุกขึ้นเดินไปมาคิดอยู่นาน ก่อนจะมีแผนการบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด อยากกินก็ต้องทำ“ซูเม่ย เจ้าช่วยข้าแต่งตัวที ขอยืมชุดของเจ้าที่เก่าที่สุดเลยนะ”ฮวาอิงเอ่ยต่อสาวใช้ของตน วันนี้นางให้ซูเม่ยช่วยแต่งตัวมอมแมมเป็นหญิงชาวบ้านผิวคล้ำหน่อย เสื้อผ้าสีซีดซอมซ่อ ดึงเชือกผ้าเส้นเล็กผูกปมหยาบ ๆ รวบผมบนศีรษะให้เรียบร้อย เพื่อให้กลมกลืนไปกับผู้คนในยุคนี้“คุณหนูฮวาอิง แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะออกไปข้างนอกในสภาพนี้” ซูเม่ยเอ่ยเบา ๆ ขณะจัดชายผ้าคลุมสีซีดให้แน่นขึ้น“เจ้าคิดว่าข้าแต่งชุดหญิงสาวในเรื