เงาของโชคชะตา
หอระฆังสูงของเมืองหลวงตีระฆังก้องกังวานยามชวี เป็นสัญญาณบอกเวลาให้ชาวเมืองเริ่มเก็บร้านค้า หรือแผงตามตรอกข้างทางในย่าน
ฮวาอิงและซูเม่ยก็ไม่เว้นเช่นกัน หลังจากที่ขนมชั้นหมดเกลี้ยงในเวลาไม่นาน เหลือเพียงส่วนที่จะเก็บไว้กินเอง ทั้งคู่ก็รีบเก็บแผงร้านของตน ภาชนะและผ้าห่อขมวดแบกไว้บนหลังซูเม่ยเพราะนางไม่ยอมให้คุณหนูของตนทำ
“วันนี้พวกเราขายดีเกินคาดเลยเจ้าค่ะ! ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูจะทำขนมหวานได้เก่งถึงเพียงนี้ ข้าติดตามคุณหนูมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยเห็นคุณหนูแตะต้องเตาไฟเลยด้วยซ้ำ ว่าแต่...คุณหนูไปร่ำเรียนตอนใดกันเจ้าคะ?” ซู่เม่ยเอ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกาย มือทั้งสองจับหูหิ้วตะกร้าสานแบกหลัง
“เอ่อ...ข้า...ก็เรียนที่สำนักศึกษาในเมืองซ่างผิงน่ะสิ”
“อ่อ...ที่แท้สำนักศึกษามีเรียนนอกตำราด้วยสินะเจ้าคะ บ่าวเป็นเพียงไพร่ มิเข้าใจตำหรับตำราหรอกเจ้าค่ะ”
“ฮ่ะ...ฮ่ะ...” ฮวาอิงหัวเราะกลบเกลื่อน
“คุณหนู เรารีบกลับกันดีกว่าเจ้าค่ะ มืดค่ำเพียงนี้กลัวจะเข้าตำหนักเย็นมิได้” ซูเม่ยเอ่ยต่อผู้เป็นนาย ซึ่งฮวาอิงก็พยักหน้าเห็นด้วย
ฮวาอิงในชุดชาวบ้าน ร่างกายเต็มไปด้วยคราบเหงื่อและฝุ่นจากการนั่งข้างถนนหลายชั่วยาม เดินนำด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูวันพรุ่ง...จะออกมาอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“แน่นอนสิ เจ้าก็ได้ยินที่ข้าคุยกับท่านป้าเจ้าของแผงลอยแล้วนี่”
“งั้นวันพรุ่งบ่าวจะตื่นให้เช้ามากกว่าเดิมเจ้าคะ จะได้เตรียมของให้ก่อน คุณหนูจะได้สบายขึ้นเจ้าค่ะ” ซูเม่ยยิ้มให้กับฮวาอิง
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อย ทำด้วยกันมีความหมายกว่า ข้าเองก็มีความสุขที่ได้ลงมือทำเช่นกัน”
ทันใดนั้นเองขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับ ฮวาอิงก็ได้ยินเสียงกระซิบลมหอบหนึ่งในพงหญ้า เสียงฝีเท้าหนัก ๆ บดใบไม้ดังเข้ามาใกล้ พร้อมเสียงร้องโอดครวญ
“อึก...ใคร...อยู่ตรงนั้น...ช่วย...”
ฮวาอิงชะงักฝีเท้าทันที ดวงตาคมหันไปมองพุ่มไม้ด้านข้างที่สั่นไหว ซูเม่ยสะดุ้งรีบคว้าแขนนายของตน
“คะ...คุณหนู! อย่าเข้าไปเลยเจ้าค่ะ อาจเป็นพวกโจรได้” สีหน้าซูเม่ยหวาดผวาหนัก แต่ฮวาอิงกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอพิจารณาจากเสียงที่ทุ้มแผ่วเบา มันบ่งบอกถึงการร้องขอความช่วยเหลือเสียมากกว่า
“ถ้าเป็นคนที่กำลังจะใกล้ตายล่ะซูเม่ย แบบนั้นข้าคงรู้สึกผิดเป็นแน่” นางเอ่ยเสียงเรียบ แต่แววตากลับแน่วแน่ นี่ไม่ใช่โลกเดิมที่นางรู้จัก ทว่าความเป็นมนุษย์ย่อมมีคุณค่าเสมอ ฮวาอิงตัดสินใจก้าวเข้าไปใกล้ ท่ามกลางความตกใจของซูเม่ย
“นี่มัน...” สิ่งที่นางพบคือร่างหนึ่งทรุดลงอยู่ใต้พุ่มไม้ แม้ความมืดจะบดบังจนเห็นได้เพียงเงาราง ๆ แต่ก็พอมองออกว่าเป็นชายร่างสูงในชุดดำที่เปรอะเปื้อน เลือดสีเข้มไหลซึมจากชายเสื้อ หยดเป็นทางลงบนพื้นดิน
ฮวาอิงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าใกล้ ๆ ใช้สายตาเช็คโดยรอบอย่างรวดเร็ว
“แผลฉกรรจ์อะไรขนาดนี้ จะรอดไหมเนี่ย!” นางพึมพำ ก่อนจะหันไปบอกซูเม่ย
“ซูเม่ย! เอาผ้าในตะกร้ามาให้ข้าหน่อยสิ!”
“แต่...คุณหนูเจ้าคะ!”
“เอามาเถอะนา...เร็วเข้า!” เสียงสั่งหนักของฮวาอิงทำให้สาวใช้ไม่กล้าขัดคำสั่งอีก รีบคว้าเศษผ้าที่เอาไว้ปูรองแผงลอยส่งให้นาง ฮวาอิงรับมาฉีกผ้านั้นเป็นเส้นยาวอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงฉีกแขนเสื้อตัวนอกของชายคนนั้น
‘แกว๊ก!’
ฮวาอิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลงมือเอาผ้าที่มี รัดเหนือบาดแผลของชายหนุ่มคนนั้นแน่นเพื่อห้ามเลือด ก่อนใช้เศษผ้าอีกอันปิดแผลกันฝุ่น
“นี่มัน...วิธีรักษาแบบใดกัน ข้าไม่เคยเห็นเลยเจ้าค่ะ” ซูเม่-ยพึมพำออกมาด้วยความทึ่ง
“อย่าได้เอ๊ะใจอันใด! ข้าร่ำเรียนมาจากสำนักศึกษา ฟวู่...” เมื่อเสร็จสิ้น นางถอนหายใจยาว มือเย็นชืดสัมผัสเลือดอีกฝ่าย แต่จิตใจยังมั่นคง ดวงตาสบชายตรงหน้าเพียงเสี้ยววิ เห็นเพียงดวงตากับคิ้วเข้มขมวดเท่านั้น
“นายท่าน!” เสียงองครักษ์ชุดดำหลายคนวิ่งกรูเข้ามาบริเวณใกล้เคียง ฮวาอิงเริ่มเห็นท่าไม่ดีและไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วเธอจึงพยายามจะหลบหนีออกจากตรงนี้ แต่ในขณะที่เธอกำลังจะลุก มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มก็รั้งนางไว้ พร้อมกับเอื้อนเอ่ยเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา
“จะ...เจ้าชื่ออันใด...” นางชะงักไปเล็กน้อย คราแรกเธอเกือบจะตอบชื่อ ฮวาอิงออกไปแล้ว แต่ซูเม่ยกับสะกิดนางพร้อมกับส่ายหน้ามิให้นางพูดความจริง
“ข้าชื่อ...หลินหยาง” ฮวาอิงตอบช้า ๆ ก่อนเอ่ยชื่อที่นางคิดทันควัน เป็นชื่อตัวละครที่นางเคยอ่านในนิยายจีนโบราณจากโลกเดิม “เป็นชาวบ้านละแวกนี้ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ข้าไม่อยากตายไปอีกคน”
‘จ๊อก...’
ในขณะที่ฮวาอิงกำลังผวา เสียงท้องร้องหิวโหยของชายหนุ่มผู้บาดเจ็บเจียนตายก็ดังขึ้น ชายหนุ่มดูอ่อนแรงแทบลืมตาไม่ขึ้น พลันเสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งก็ใกล้เข้ามาเต็มที
นางไม่รู้จะช่วยเยี่ยงไร จึงหยิบเอาขนมชั้นที่เหลืออยู่ในห่อใบตองวางไว้ใกล้ ๆ ชายหนุ่ม ก่อนจะวิ่งหนีไปพร้อมกับสาวใช้ของตน
“นายท่าน!” เสียงของกลุ่มชุดดำเข้ามาใกล้อีก ชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บ พยายามหยัดร่างตัวเองขึ้นนั่งอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเฮือกสุดท้ายที่จะเปล่งได้
“อยู่ตรงนี้!”
องครักษ์ชุดดำหลายคนเมื่อเห็นก็วิ่งกรูเข้ามาราวกับฝูงเหยี่ยว หนึ่งในนั้นที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ารีบเข้าตรวจสอบร่างกายของชายหนุ่มที่บาดเจ็บทันที
“นายท่าน! อย่าตายนะขอรับ”
“เจ้าแช่งข้าหรือกระไร ข้ายังไม่ตาย” ชายหนุ่มที่ดูมีอำนาจกว่าองครักษ์กลุ่มนี้ เอ่ยเสียงเข้ม แต่ก็อ่อนแรงยิ่งนัก
“ใครที่ลอบทำร้ายนายท่านเพียงนี้ หรือว่าเป็นคนของชินอ๋องขอรับ” คนสนิทของชายหนุ่มบาดเจ็บเอ่ยด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะค่อย ๆ พยุงคนที่เขาเรียกนายท่าน
“ข้ายังไม่สามารถบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ เป็นคนที่มีอำนาจใหญ่ในวังหลวงนี้แน่นอน จ๊อก...” หัวหน้าองครักษ์ได้ยินเสียงท้องร้อง ก็หันไปตะโกนด่าลูกน้องทันที
“พวกเจ้าบังอาจส่งเสียงท้องร้องต่อหน้าคุนายท่านได้เยี่ยงไร...ไร้มารยาท” สิ้นคำ องครักษ์ชุดดำทุกคนต่างส่ายหน้ากันพร้อมเพรียงปฏิเสธ
“ไม่ใช่พวกเจ้าแล้วจะเป็นใครได้อีกที่เสียมารยาทต่อหน้านายท่าน” หัวหน้าองครักษ์ยังคงตะเบ็งเสียงด่าทอลูกน้อง
“ไป๋อวี่พอเถอะเสียงเจ้านี่แหละที่ทำให้ข้ารำคาญใจ...” เสียงของคุณชายที่บาดเจ็บเอ่ยด้วยลมหายใจรัวระริน “พวกเจ้ารีบพาข้ากลับจวน...จะปล่อยให้ข้าสิ้นลมตรงนี้หรือกระไร”
“ข้าน้อยขอโทษขอรับคุณชาย ข้าจะรีบพาทันกลับไปรักษาโดยด่วน” วินาทีที่องครักษ์กำลังจะพานายท่านกลับ จู่ ๆ เขาก็นึกได้
“ช้าก่อน เจ้าวานให้คนเก็บห่อขนมใบตองตรงนั้นมาด้วย ข้าอยากจะทานมันหลังจากข้ากลับจวน”
เหล่าองครักษ์มองหน้ากันไปมา แต่สุดท้ายหัวหน้าองค์รักษ์ไป๋อวี่ก็พยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะให้ลูกน้องเดินไปเก็บขนมห่อใบตองนั้นกลับไปด้วย
ทางด้านฮวาอิงกับซูเม่ย หลังจากเดินทางจวนใกล้ถึงตำหนักเย็น ก็พบว่ามีทหารยามคุ้มกันแน่นหนากว่าเดิม ดวงตาทั้งสองสบกัน ก่อนจะเป็นซูเม่ยเอ่ยขึ้นก่อน
“คุณหนูเจ้าคะ ข้ามีวิธี!”
“ยังไง” ฮวาอิงทำหน้าหยักคิ้ว
“แต่วิธีนี้อาจจะดูไม่ดีเสียหน่อย...คุณหนูจะถือตัวรึเปล่าเจ้าคะ”
“นี่ซูเม่ย เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ข้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น ไปเถอะ...การที่เรายืนอยู่ตรงนี้เสี่ยงกว่ามาก เนื้อตัวข้าก็มีกลิ่นคาวเลือดอยู่ด้วย ขืนทหารเดินออกมาตรงนี้มีหวังข้าโดนจับประหารชีวิต เหมือนศาลไคฟงแหง ๆ”
“ศาลไคฟง?”
“ไม่ต้องสงสัยแล้ว รีบพาข้าไปได้แล้ว” ซูเม่ยมองหน้านายของตนด้วยความงุนงง เพราะบ่อยครั้งหลังจากที่คุณหนูของนางฟื้นขึ้นมา ก็มักจะพูดคำแปลกประหลาดที่นางไม่เข้าใจ พานทำให้ยิ่งสงสารชะตากรรมนายของตน
ซูเม่ยพาฮวาอิงเดินหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในเงามืดตรงดิ่งไปตรอกกำแพงหลังวัง ลอบกลับสู่ตำหนักเย็นผ่านช่องทางหมาลอด จวบเดินมาถึงเรือนของตนด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนนะนอนแผ่กองบนพื้นแบบไม่มีท่าทีกุลสตรีใด ๆ
“คุณหนูเดี๋ยวข้าไปเตรียมน้ำอุ่น ๆ ให้นะเจ้าคะ”
“ขอบใจเจ้ามากซูเม่ย เจ้าเองก็ต้องดื่มเช่นกันนะ”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากซูเม่ยเดินออกจากห้องไป ฮวาอิงหยัดตัวขึ้นลุกนั่ง ก่อนจะมองถุงเงินของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นี่เป็นเงินที่ ข้าหามาได้ด้วยตัวคนเดียวครั้งแรงที่ข้าลงมือทำโดยไม่ต้องให้ใครบงการ มีความสุขจัง” นางเทเงินจากถุงหลายอีแปะลงบนฝ่ามือเพื่อเชยชมก้าวแรกของการเปิดขายขนม ก่อนจะเก็บลงในถุงผ้าเหมือนเคย และเตรียมตัวไปชำระร่างกายเสียหน่อย
“จะว่าไปชายคนนั้นจะตายไหมเนี่ย แผลก็ลึกขนาดนั้น เฮ้อ...แต่ข้าเองก็รักชีวิต ข้าช่วยได้เท่านี้จริง ๆ หวังว่าเขาจะอยู่รอดปลอดภัยนะ ข้าไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ข้าก็หวังว่าเขาจะรอดชีวิต...และได้กินขนมชั้นสักชิ้นเถอะ นั่นมันของที่หาไม่ได้จากโลกนี้เชียวนะ”
ตอนที่ 7เสียงกระซิบในตำหนักเย็น เสียงฝีเท้าของฮวาอิงและซูเม่ยดังแผ่ว เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงหน้าประตูตำหนักเย็นในมุมอับสายตาของคนในวังหลวง นางยังคงสวมชุดผ้าหยาบปลอมตัวเป็น หลินหยาง แม่ค้าขนมชั้น แห่งตลาดในเมืองหลวง ขณะที่ในมือของซูเม่ยแบกตะกร้ากลับมาพร้อมผลกำไรเพียงเล็กน้อยในวันทว่ายังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูบานไม้เก่า กลิ่นความวุ่นวายกลับตลบตึงออกมาจากภายในตำหนักเสียงฝีเท้าผู้คนวิ่งพล่านในตำหนักเย็น ซึ่งปกติควรเงียบงันดั่งป่าช้า ฮวาอิงกับซูเม่ยชะงักฝีเท้า พลันสายตาเหลือบเห็นสาวใช้สองนางของตำหนักอื่นกำลังเปิดประตูห้องเรือนของนางโดยพลการ ค้นข้าวของอย่างไม่เกรงใจ“นั่นเจ้าทำอะไร!” ซูเม่ยร้องตวาด สีหน้าเผือดลงทันทีสาวใช้อีกคนหันกลับมาพร้อมห่อขนมชั้น นางชูขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน“เจ้าขโมยของจากโรงครัวหลักตำหนักเย็นแล้วเอาไปทำสิ่งนี้ขายงั้นรือ?”เสียงของนางทำให้คนในตำหนักเย็นหลายคนทยอยกันมุงดู ไม่เว้นแม้แต่ คุณหนูหลี่ บุตรสาวจากเมืองต้าเหอ ซึ่งพำนักที่นี่เช่นกัน นางเป็นคนผิวขาวจัด ดวงตารรีเรียวราวกับงู พริบตาเดียวก็ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าฮวาอิง พลางก้มหน้ามองแสยะยิ้มอย่าง
(ทางด้าน...ตำหนักเย็นเรือนของฮวาอิง)ทั้งสองลัดเลาะกลับเข้าตำหนักเย็น แสงอาทิตย์ลอดผ่านกิ่งไม้สูง กระทบผืนผ้าสีหม่นของชุดชาวบ้านที่สองนางสวมอยู่เสียงย่ำเท้าหนัก ๆ หยุดลงเมื่อถึงศาลาไม้หลังเรือนของตน ฮวาอิงยกชายแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นจึงกอดอกนั่งลงบนม้านั่งด้วยใบหน้าแสดงความกังวลออกมาชัดเจน“คุณหนู เราจะเอาอย่างไรต่อดีเจ้าคะ?” ซูเม่ยนั่งตาม ตาคิ้วขมวดแน่นฮวาอิงหลุบตาลงเล็กน้อย พลางหยิบพัดเก่า ๆ จากอกเสื้อออกมากางแล้วพัดเบา ๆ“ข้าก็กำลังคิดอยู่ ซูเม่ย หากเราปล่อยไว้เช่นนี้ ช่องทางทำมาค้าขายของเราก็พังกันพอดี”“คุณหนูเจ้าคะ หรือพวกเขาจะเป็นขุนนางจากวัง?” ซูเม่ยเอ่ยเสียงเบาลงฮวาอิงหรี่ตาลงก่อนจะพับพัดช้า ๆ วางลงตัก“เจ้าจำตอนที่ข้าเริ่มขายขนมได้หรือไม่? คนที่เฝ้ามองข้าไม่ใช่โจร ไม่ใช่พวกนักเลงตลาด แต่ดู...นิ่งเกินไป มีวินัยเกินไป เหมือนพวกที่ฝึกการสะกดรอยมาอย่างดี”“ทหาร? องครักษ์?” ซูเม่ยเบิกตากว้างฮวาอิงยิ้มบาง ๆ เงียบไปครู่ ซูเม่ยเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าหนักใจ“หากเขามาจากวัง...บางที พวกเขาอาจเป็นคนที่มีอำนาจมากก็ได้ คุณหนูหรือเราควรหนีไปให้ไกลดีเจ้าคะ?”ฮวา
ตอนที่ 6ศึกปะทะเชิงณ แผงขายขนมเล็ก ๆ ของฮวาอิง ที่สวมรอยเป็น หลินหยาง ถูกตั้งขึ้นอย่างคล่องแคล่วเช่นเคย ขนมชั้นตอนนี้มีสีหลากหลาย เรียงรายอย่างประณีตในถาดหวายเล็ก ๆ มีผ้าลายดอกเหมยคลุมไว้กันแมลงตอม ดูสะอาดสะอ้านกว่าใคร“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณหนู...เอ่อ...คุณหลิน” ซูเม่ยกระซิบแผ่ว หลังจากจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยฮวาอิงพยักหน้าเบา ๆ พลางปรับผ้าคลุมหน้าให้ปิดดวงตาอีกนิด วันนี้นางให้ซูเม่ยสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับตน พร้อมผ้าคลุมหน้าบางเบา เพื่อหลอกตาคนสะกดรอยให้สับสน“จำไว้นะซูเม่ย ถ้ามีใครจ้องมากกว่าหนึ่ง เราจักเก็บแผงแล้วอ้อมกลับไปโรงเตี้ยมร้างดั่งเคย” ฮวาอิงพูดเสียงต่ำ ขณะมือยังคีบขนมวางให้เรียบร้อย“เจ้าค่ะ”เพียงตั้งแผงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลูกค้าประจำเริ่มแวะเวียนมาอุดหนุน คนชรา เด็กน้อยร้านน้ำชา หรือแม่ค้าร้านใกล้เคียง ต่างยิ้มให้ ฮวาอิงอย่างคุ้นเคยขณะบรรยากาศคล้ายจะเป็นไปตามปกติ บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งก็ก้าวมาหยุดยืนหน้าร้าน เขาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดี แม้จะพยายามคลุมหมวก แต่ท่วงท่าการเดิน การยืน หรือแม้แต่ท่ายกมือกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายผู้มีฐานะชัดเจน“ขนมนี่...หน้าตาแปลกดีนะ” เขาย่อตัวล
ตอนที่ 5เงาจางกลางตลาด“คุณหนู! ระวังฝั่งขวาเจ้าค่ะ มีคนมองมาอีกแล้ว” เสียงกระซิบแผ่วเบาของซูเม่ยดังข้างหู ดวงตากลมโตของนางเหลือบไปยังชายสองคนในชุดชาวบ้านที่ยืนอยู่หน้าร้านยาจีน แม้แต่นางก็ดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกค้าที่มาซื้อของจริง ๆฮวาอิงก้มหน้าลง แสร้งดูถาดขนมชั้นในมือราวกับไม่ได้สังเกตอะไร แต่ข้างในกลับตึงเครียดไปหมดพวกเขา...ตามมองแบบนี้อีกแล้วนี่ไม่ใช่วันแรกที่นางถูกติดตามแบบนี้ นับตั้งแต่วันที่ช่วยชายบาดเจ็บหลังพงหญ้าแถบหลังเมืองทางกลับตำหนักเย็น ทุกเช้าหลังตั้งแผงขายขนม ก็มักมีสายตากลุ่มคนจับจ้องมาเสมอ ราวกับเงาตามเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าใกล้ แต่ก็ไม่ห่างหายไปไหนฮวาอิงไม่แน่ใจว่าการกระทำเช่นนี้ นับเป็นโจรหรือไม่ อยากปล้นขนมหรือเงินทอง แต่นางเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมชิ้นละสองอีแปะ สู้ปล้นร้านอื่นคงจะดูคุ้มกว่าหรือไม่นางคิดไม่ตก จวบสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมา ทำให้นางเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบหรือคนผู้นั้นที่เราช่วยไว้ เขาส่งคนมาติดตาม
ตอนที่ 4เงาของโชคชะตาหอระฆังสูงของเมืองหลวงตีระฆังก้องกังวานยามชวี เป็นสัญญาณบอกเวลาให้ชาวเมืองเริ่มเก็บร้านค้า หรือแผงตามตรอกข้างทางในย่านฮวาอิงและซูเม่ยก็ไม่เว้นเช่นกัน หลังจากที่ขนมชั้นหมดเกลี้ยงในเวลาไม่นาน เหลือเพียงส่วนที่จะเก็บไว้กินเอง ทั้งคู่ก็รีบเก็บแผงร้านของตน ภาชนะและผ้าห่อขมวดแบกไว้บนหลังซูเม่ยเพราะนางไม่ยอมให้คุณหนูของตนทำ“วันนี้พวกเราขายดีเกินคาดเลยเจ้าค่ะ! ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูจะทำขนมหวานได้เก่งถึงเพียงนี้ ข้าติดตามคุณหนูมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยเห็นคุณหนูแตะต้องเตาไฟเลยด้วยซ้ำ ว่าแต่...คุณหนูไปร่ำเรียนตอนใดกันเจ้าคะ?” ซู่เม่ยเอ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกาย มือทั้งสองจับหูหิ้วตะกร้าสานแบกหลัง“เอ่อ...ข้า...ก็เรียนที่สำนักศึกษาในเมืองซ่างผิงน่ะสิ”“อ่อ...ที่แท้สำนักศึกษามีเรียนนอกตำราด้วยสินะเจ้าคะ บ่าวเป็นเพียงไพร่ มิเข้าใจตำหรับตำราหรอกเจ้าค่ะ”“ฮ่ะ...ฮ่ะ...” ฮวาอิงหัวเราะกลบเกลื่อน“คุณหน
ตอนที่ 3ตลาดเมืองหลวง และขนมชั้นจากแดนไกลแสงแดดยามสายลอดผ่านม่านขาดวิ่นเดิม ๆ ในตำหนักเย็น พลอยในร่างฮวาอิง ตื่นขึ้นด้วยความเคยชินกับโลกใบใหม่นี้แล้วฮวาอิงเดินไปในห้องครัวเก่า ๆ หลังเรือน นั่งคุดคู้หน้าเตาอิฐเล็ก ๆ มองเปลวไฟจากฟืนแห้ง ที่กำลังต้มน้ำแกงแสนจืดชืดอย่างเคยที่ซูเม่ยกำลังทำ“กินแบบนี้ทุกวันมีหวัง ขาดสารอาหารแย่” ฮวาอิงลุกขึ้นเดินไปมาคิดอยู่นาน ก่อนจะมีแผนการบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด อยากกินก็ต้องทำ“ซูเม่ย เจ้าช่วยข้าแต่งตัวที ขอยืมชุดของเจ้าที่เก่าที่สุดเลยนะ”ฮวาอิงเอ่ยต่อสาวใช้ของตน วันนี้นางให้ซูเม่ยช่วยแต่งตัวมอมแมมเป็นหญิงชาวบ้านผิวคล้ำหน่อย เสื้อผ้าสีซีดซอมซ่อ ดึงเชือกผ้าเส้นเล็กผูกปมหยาบ ๆ รวบผมบนศีรษะให้เรียบร้อย เพื่อให้กลมกลืนไปกับผู้คนในยุคนี้“คุณหนูฮวาอิง แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะออกไปข้างนอกในสภาพนี้” ซูเม่ยเอ่ยเบา ๆ ขณะจัดชายผ้าคลุมสีซีดให้แน่นขึ้น“เจ้าคิดว่าข้าแต่งชุดหญิงสาวในเรื