Masuk“ชินอ๋องมาแล้ว นั่ง ๆ” เหล่าคุณชายสหายเสเพลตบเก้าอี้ชวนนั่งอย่างเป็นกันเอง คุณชายทั้งหลายนี้เป็นกลุ่มคนประเภทกินอิ่มทั้งวัน ไร้ประโยชน์เสียจริง
“เปิ่นหวาง [2] มาแล้ว” มู่หรงเยี่ยหยางที่ส่งเสียงดังมาตั้งแต่หน้าประตูก้าวฉับ ๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างอย่างไม่ถือยศศักดิ์ไม่ห่วงภาพพจน์ มือคว้าป้านสุรายกขึ้นดื่มแต่หัววัน แล้วค่อยต่อบทสนทนาสบถว่าสหายปากไร้หูรูดชุดใหญ่ “นี่! พักนี้พวกเจ้าเหิมเกริม ปากกล้าขึ้นไม่น้อย นินทาเปิ่นหวางโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว ๆ” “ไม่ว่าอย่างไร เปิ่นหวางก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง หากปากพวกเจ้าไม่มีรูด จับจูงขาตัวเองขึ้นศาล ดาบพาดลำคอ ก็ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้พามารดาพี่สาวน้องสาวมาอ้อนวอนข้าเลยนะ!” ชินอ๋องหุบพัดยกมันตบกะโหลกสหายเสเพลที่พูดจาไม่เข้าหูเขาอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ แต่ความจริงก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดนินทาของเหล่าสหายคุณชายทั้งหลาย ทั้งไม่ถือตัวพูดเล่นสนทนากันอย่างสนิทสนม “โถ่!!! ท่านอ๋อง” “หยุด! ข้าขี้เกียจฟังพวกเจ้าพล่ามจนน้ำลายแตกฟอง” ท่านอ๋องยื่นมือเอื้อมหยิบจับตะเกียบคีบจ้วงอาหารเข้าปาก “อื้อ... ฝีมือเหล่าเหยียนไม่ผิดหวังจริง ๆ รสชาติเลิศรสกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเคย” มู่หรงเยี่ยหยางเอ่ยปากชมพ่อครัวประจำบ่อนซีเป่าชางที่เขาเข้ามาใช้บริการจนเป็นลูกค้าประจำ “จริงสิ เมื่อครู่พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกัน” “ก็เรื่องที่องค์รัชทายาทไง เขาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ไปศึกษาวิถีทางเต๋ายุทธที่เทียนถูหวู่” หนึ่งในผู้ร่วมวงโต๊ะทานอาหารบอก “พวกเราเลยกำลังเปรียบเทียบท่านกับไท่จื่ออยู่พอดี” “นี่พวกเจ้า!!! ข้าระดับไหนกัน ลู่เฉินไม่มีทางเทียบข้าได้อยู่แล้ว” มู่หรงเยี่ยหยางแย้งทันควัน พร้อมยืดอกภาคภูมิใจในตัวเอง เพื่อนร่วมโต๊ะที่เห็นท่าทางนั้น ก็กลอกตามองบนมองเอือมพร้อมกัน จากนั้นค่อยเอ่ยชมเชยท่านอ๋องสหายสูงศักดิ์ และคนผู้นั้นก็คือ คุณชายเซียว บุตรชายหัวหน้าองครักษ์วังหลวง ผู้ขึ้นชื่อความเสเพลไม่แพ้กัน เป็นลูกไล่ลูกตามจอมบัดซบไปทุกหนทุกแห่งอย่างเซียวอวี้ “ไม่มี ๆ ไม่มีใครเทียบท่านได้หรอก ยอดคุณชายเสเพลแห่งวังหลวง” “เฮอะ… เจ้าพูดไม่ดูหนังหน้าตัวเอง” เยี่ยหยางแขวะ จากนั้นชินอ๋องหลานรักฮ่องเต้ก็อยู่กินอยู่เล่นกับแก๊งคุณชายเสเพลของเมืองหลวงจนมืดค่ำ ได้พาตัวเองกลับตำหนักชินอ๋อง กลับไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า ตัวเองก็กำลังถูกจับมัดไปร่ำเรียนพร้อมกับองค์รัชทายาท ด้วยพระราชโองการของฮ่องเต้ เพื่อดัดนิสัยสันดานเสียที่ยากจะแก้ไขของเขาเอง “เจียงกงกง วันรุ่งไปส่งราชโองการให้ชินอ๋องให้เจิ้นด้วย” มู่หรงหย่งสือฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ย ตวัดพู่กันอักษรในราชโองการตัวสุดท้ายด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง สายตามีเลศนัยจ้องมองราชโองการ หึ ๆ หยางเอ๋อร์ คราวนี้เจ้าเสร็จเจิ้นแน่! …. รัชสมัยหย่งสือปีที่สิบ มีพระราชโองการถึงชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยาง “ด้วยโองการแห่งฟ้า รัชสมัยปีที่สิบ เดือนอ้าย ฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือทรงมีพระราชบัญชาให้ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยางแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย เดินทางไปศึกษาร่ำเรียนวิชาที่เทียนถูหวู่สมาพันธ์พิทักษ์ฟ้าดินและมาตุภูมิ พร้อมกับไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน หากขัดขืนราชโองการให้เข้ารับตำแหน่งขุนนางขั้นหก เจ้าหน้าที่ตรวจสอบราชการแผ่นดิน และเข้ารับหน้าที่ตั้งแต่วันนี้ นี่คือราชโองการ!!!” ...ตุบ… ผู้ที่ต้องรับราชโองการหมดสติทั้ง ๆ ที่อยู่ในท่าคุกเข่ารับราชโองการหน้าตำหนักชินอ๋อง “เอ่อ… น้อมรับราชโองการ ขอพระองค์อายุยืนหมื่น ๆ ปีหมื่น ๆ ปี” เจี้ยนฝู๋พ่อบ้านประจำจวนชินอ๋องอดีตองครักษ์ใบหน้าทะมึนทึมคิ้วเข้ม มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่ทำใจปลงตก เดินออกไปรับราชโองการแทนเจ้านายของตน จนกระทั่งเหล่ากงกงขันทีของฮ่องเต้จากไปแล้ว ถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยปากบอกกล่าวท่านอ๋องนายท่านของตนที่ยังเสแสร้งเป็นลมหมดสติสมจริงสมจังอยู่ที่พื้นให้กลับเข้าจวนได้เสียที เพราะคนดูงิ้วของพระองค์แยกย้ายกลับไปหมดแล้วด้วยวิธี… “ท่านอ๋องมีหนอนอยู่ที่พื้นขอรับ” “อ๊าก! ไหนหนอน ๆ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าเร็วกว่านี้” “ข้าเกลียดหนอน!!!” เจี้ยนฝู๋เหนื่อยใจปลงตกกับนายท่านของตน เขาไม่อยากให้เจ้านายเล่นงิ้วหลอกลวงผู้คนเลย แต่ทำยังไงได้ ชีวิตเชื้อพระวงศ์อยู่ยากจริง ๆ เล่นละครกันทุกวัน เล่นจนเขาไม่รู้แล้วว่านิสัยไหนของท่านอ๋องจริง นิสัยไหนเสแสร้ง เพราะมันดูเสแสร้งไปหมดแล้ว เฮ้อ…เหนื่อยใจจริง ๆ หากวิญญาณนายท่านมองเห็น เขาหวังว่าท่านจะเข้าฝันไปอบรมสั่งสอนโอรสท่านบ้าง… ข่าวสารแพร่สะพัดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งในวงการซุบซิบตอนนี้รู้กันตั้งแต่ชนชั้นสูงยันขอทานชวบ้านมีสองเรื่อง คือ หนึ่ง...ไท่จื่อมู่หรงลู่เฉินเตรียมตัวเดินทางไปศึกษาวิชาเซียนยุทธตามวิถีทางเต๋ายุทธที่เทียนถูหวู่ สอง...ชินอ๋องทรงเป็นลมทันทีที่ได้พระราชโองการคำสั่งฟ้าดิน ที่ให้หวางเย่ท่านนี้ร่วมเดินทางไปศึกษาที่เทียนถูหวู่พร้อมกับองค์รัชทายาทและสือหลงโหยวบุตรชายหัวหน้าองครักษ์หน่วยพิเศษสืออาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บสายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์ “ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่” จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอกยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก
ท่านพ่อ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ เยี่ยหยางที่ถูกน้องชายที่น่ารักจู่โจม ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก วันนี้เขาถูกแก้ผ้ามาสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน ทำไมเฉิงเยว่เปลื้องผ้าผู้คนได้คล่องมือเช่นนี้ น้องชายเขาไปฝึกปรือถอดผ้าจากผู้ใด เห็นทีเขาต้องเข้มงวดคัดกรองน้องสะใภ้ให้ดีแล้วล่ะ หญิงสาวเดินเข้าไปหาลูกชายที่หายสาบสูญ ลูบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเป็นส่วนใหญ่อย่างคิดถึงสุดหัวใจของคนที่เป็นมารดาจะให้บุตรได้ “หยางหยาง” หานเฟยจำได้เพียงปานแดงและชื่อเล่นที่เอ่ยเรียกลูกชายเท่านั้น เยี่ยหยางได้ยินมารดาเรียกหาตัวเอง ก็โผเข้าอ้อมกอดมารดาเหมือนเด็กน้อย “ท่านแม่” ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่เข้มงวดเสมอ เพราะด้วยสถานการณ์ของระนาบมนตราในตอนนั้น ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ ก็ไม่เคยได้รับอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกเลย มีแต่คำสั่งสอน คำดุด่าให้เขาได้เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่พร้อมปะทุตลอดเวลา มีเพียงท่านแม่ที่เป็นคนให้กำลังใจเขา ปลอบโยนโอบกอดเขา และบอกเสมอว่าท่านพ่อที่ไม่แสดงออกมา ก็รักเขาเหมือนกัน คนตัวโตที่กลายเป็นเด็กเกือบจะน้ำตาร่วง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นบิดาที่จ้องเขม็งก็หยุดชะงัก เร




![พี่ติวเตอร์ครับ...ช่วยสอนผมหน่อยนะครับ[PWP]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


