ログインขณะเดียวกันที่ร้านน้ำฝั่งตรงข้าม
นอกจากลูกค้าที่อยู่ในร้าน ตอนนี้กระทั่งคนเดินผ่านไปมาก็พากันเข้ามามุงดูเหตุการณ์จนแน่นขนัด เสียงซุบซิบกับจำนวนคนที่พากันไปยืดคอมองที่หน้าร้านค้าผ้าดึงความสนใจของหลินเสี่ยวหรานได้เช่นกัน นางจ่ายค่าน้ำชาและขนม จากนั้นก็เดินข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม แล้วถามความจากหญิงผู้หนึ่งที่มุงดูอยู่ก่อน
“ท่านป้า ไม่ทราบว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“เห็นว่าแม่นางน้อยคนหนึ่งบอกว่าทางร้านโกงค่าสินค้า ตอนนี้เลยทะเลาะกันใหญ่โต ไม่รู้ว่าลงไม้ลงมือกันหรือเปล่า”
สิ้นคำตอบ หลินเสี่ยวหรานให้ตกใจเป็นกำลัง นางให้หลินอ้ายกับอาเปามาส่งของ ไม่ใช่ว่าคนของนางอยากขายของได้กำไรเยอะๆ เลยหาเรื่องจนเจ็บตัวไปแล้วกระมัง
ไม่ได้! ต่อให้คนของนางเป็นฝ่ายผิด นางก็จะต้องดูแลปกป้องพวกเขาให้ดี โดยเฉพาะอาเปาที่ตอนนี้ป่วยด้วยโรคสมอง หากถูกคนของทางร้านทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนักกว่าเดิม คงไม่พ้นนางต้องหาเงินมารักษาเขาเพิ่มอีก
“หลีกทางหน่อย” หลินเสี่ยวหรานพูดพลางแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน กระทั่งมาถึงประตูทางเข้าได้ นางรีบบอกกับคนเฝ้าประตูทันที “ข้ามารับอาภรณ์ที่สั่งตัด”
“ได้โปรดรอก่อน”
“ข้าเป็นคนของฮูหยินนายอำเภอ เจ้าจะให้ข้ายืนเบียดเสียดกับชาวบ้านพวกนี้งั้นรึ ข้าร้อน จะเข้าไปรอข้างใน” หลินเสี่ยวหรานจดจ้องคนเฝ้าประตูอย่างเอาเรื่อง
เด็กที่เฝ้าประตูอยู่ย่อมไม่กล้าลบหลู่คนของฮูหยินนายอำเภอ ยิ่งเห็นว่านางแต่งตัวดูดี เครื่องประดับดูมีราคากว่าสาวใช้ทั่วไป ก็เดาว่าจะต้องเป็นคนสนิทคนโปรด เขาจึงเปิดทางให้นางแต่โดยดี “เชิญแม่นางทางนี้”
พอหลินเสี่ยวหรานก้าวเข้ามาในร้านได้สำเร็จ ก็รีบสาวเท้าไปยังโถงร้านที่บัดนี้มีลูกค้าของร้านยืนออกันอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคน นางภาวนาให้ผู้ที่กำลังถกเถียงกันอยู่มิใช่คนของตนเอง แต่น้ำเสียงที่ดังลอยมาเป็นของหลินอ้ายไม่ผิดแน่ และตอนนี้เหมือนหลงจู๊ออกคำสั่งให้คนมาจัดการกับสาวใช้ของนางแล้ว
“ช้าก่อน!” หลินเสี่ยวหรานรีบวิ่งเข้าไปหมายห้ามปราม ทว่าชายผู้หนึ่งกลับก้าวออกมาปกป้องคนสนิทของนาง
“ว้าย!!! อาเปา ระวัง”
ครั้นได้ยินหลินอ้ายเรียกชายผู้นั้นว่าอาเปา หลินเสี่ยวหรานพลันเบิกตากว้าง จ้องมองชายหนุ่มหน้าตาคมคายที่ออกมาเผชิญหน้ากับคนของทางร้านถึงสามคนอย่างไม่ยี่หระ
‘อาเปาผอม อ่า...ไม่ใช่สิ ดูดีขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด’
นางไม่อยากจะเชื่อว่าคนอ้วนความจำเสื่อมที่ตนช่วยเหลือให้ทำงานอยู่ท้ายเรือน จะแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษท่าทางองอาจสมชายชาตรีเยี่ยงนี้ไปแล้ว
หลังจากพูดคุยตกลงเงื่อนไขในการอยู่ต่อของอาเปา นางกับเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันจังๆ อีกเลย กระทั่งเมื่อครู่ที่ได้พูดคุยกัน นางก็มิได้ชายตามองเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังอาโต๋วแม้แต่นิดเดียว จึงไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงของชายร่างตุ้ยนุ้ยพุงพลุ้ยน่าหยิกเมื่อเดือนก่อน ซึ่งบัดนี้กลายเป็นบุรุษหล่อเหลาร่างสูงใหญ่กำยำ มิหนำซ้ำยังสามารถทำให้ผู้ชายตัวใหญ่สามคนลงไปนอนกับพื้น วิชาหมัดมวยไม่ธรรรมดาจริงๆ
‘อาเปา เจ้าเป็นใครกันแน่’
หลินเสี่ยวหรานได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ
เสียงเอะอะจากภายนอกดังเข้าไปถึงห้องรับรองด้านใน จนเถ้าแก่ที่กำลังพูดคุยกับคุณหนูใหญ่ของจวนนายอำเภออยู่ต้องเดินออกมาระงับเหตุการณ์ด้วยตนเอง
“เป็นแม่นางน้อยนี่เอง เหตุใดวันนี้ถึงได้พาคนมาสร้างความวุ่นวายในร้านของข้าเล่า”
“ข้าไม่ได้มาหาเรื่องคนเสียหน่อย แต่หลงจู๊ของท่านคิดจะโยนข้าออกไปโดยไม่จ่ายค่าสินค้าก่อน” เปิดก่อนย่อมได้เปรียบ หลินอ้ายชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเถ้าแก่ทันที
หลงจู๊รีบเข้ามาหาเจ้านาย แล้วให้การปฏิเสธโดยพลัน “ไม่จริงนะเถ้าแก่ เป็นแม่นางผู้นี้ต่างหากที่หาเรื่อง จู่ๆ ก็จะมาขอขึ้นค่ารับซื้อสินค้า แล้วยังจะเอาเงินเพิ่มจากการขายของคราวก่อนอีก พอข้าไม่ยินยอมก็โวยวายด่าทอร้านเราเสียๆ หายๆ ข้าจึงจำเป็นต้องสั่งให้เด็กๆ มาลากตัวออกไป ที่ไหนได้นางกลับให้เจ้าอันธพาลผู้นี้เล่นงานคนของเราจนบาดเจ็บ”
เถ้าแก่เหลือบมองลูกน้องทั้งสามที่กำลังช่วยกันประคองตัวลุกจากพื้น แล้วเบนสายตาไปมองฉู่ชิงเฟิงที่ยืนบังหลินอ้ายอยู่ แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “บ้านเมืองมีขื่อมีแป พวกเจ้ายังกล้าทำร้ายคนไม่กลัวคุกตะรางบ้างหรือไร”
“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก คนของเจ้ามีตั้งสามคน ข้าเพียงผู้เดียวจะไปทำร้ายคนมากมายแบบนี้ได้อย่างไร”
“ใช่ วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาแล้วล้มไปเองกันทั้งนั้น”
“ข้าดูอยู่ตั้งแต่ต้น พ่อหนุ่มคนนี้ยังไม่ทันทำอะไรคนของเจ้าเลยด้วยซ้ำ”
“ใช่แล้วๆ”
ครั้นเห็นคนมากมายต่างเข้าข้างพวกฉู่ชิงเฟิง เถ้าแก่ก็รู้สึกเสียหน้าเป็นอันมาก
“เห็นหรือไม่เล่าเถ้าแก่ ว่าข้ามิได้ทำอันใดผิด”
“ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาโวยวายเสียงดัง ใส่ร้ายร้านของเราแบบนี้ พวกข้าไม่เรียกคนของทางการมาจับเจ้าไปก็บุญเท่าไรแล้ว”
“นั่นสินะ แทนที่พวกข้าจะมาโวยวายเสียงดัง ทำไมไม่ไปร้องเรียนกับทางการว่าถูกโกง แล้วให้พวกเขามาปิดร้านเจ้าไปเลยดีกว่า”
“ปะ...ปิดร้าน”
“ถึงอำเภอจงมู่จะเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ใต้เท้าเฉียนนายอำเภอได้ชื่อว่าเป็นขุนนางน้ำดี ซื่อสัตย์ยุติธรรม ไม่อย่างนั้นที่นี่คงไม่สงบสุข ปลอดโจรภูเขาแบบนี้หรอก” ฉู่ชิงเฟิงยกยอนายอำเภอเสียงดัง พลางเหลือบมองไปทางห้องรับรองชั้นใน
“กะ...โกงอะไร ร้านค้าผ้าของข้าใหญ่โต ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย”
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย “เพราะอย่างนั้น ข้าเลยไม่เห็นจำเป็นต้องโอ้อวดความสามารถอะไรเลย หลายครั้งที่ข้าช่วยเสนอความคิดต่างๆ กับเสด็จพ่อ และช่วยให้จิ้นอ๋องทำผลงาน ให้เขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ข้าแค่เห็นว่าได้ช่วยให้คนสองคนที่ข้ารักและเคารพได้สมปรารถนา ได้เติบโตในเส้นทางของพวกเขาก็ถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ข้ามีความสุขมากนะเมื่อได้เห็นพวกเขามีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศอะไรให้ใครรู้เลย”หลินเสี่ยวหรานฟังแล้วใจอ่อนยวบ ความคิดของฉู่ชิงเฟิงนั้นสูงส่งและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าที่นางคิดไว้มากนัก นางรู้สึกละอายใจที่เคยมองเขาเพียงผิวเผิน“เข้าใจแล้วเพคะ” นางพึมพำ ก่อนจะถามคำถามต่อไป “แล้ววรยุทธ์เล่าเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องมีวรยุทธ์ แต่หม่อมฉันคิดว่าแค่พอป้องกันตัวได้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะเก่งกาจราวเทพสงคราม จนสามารถปราบโจรป่าได้ราบคาบในพริบตา”“เทพสงครามอะไรกันเล่าหรานเอ๋อร์” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหน้า เขาปฏิเสธคำชมนั้นอย่างรวดเร็ว “ที่ต้องฝึกวรยุทธ์ก็เพราะถูกบังคับให้ฝึกน่ะสิ ข้าไม่ชอบด้วยซ้ำ เพราะมันเหนื่อยจะตายไป”เขาบ่นอุบอิบ “ที่พอจะดีหน่อยก็คือเรื่องยิงธนูนั่นแหละ เพราะแค่ยื
หลังจากเหตุการณ์ปราบโจรป่าครั้งใหญ่ที่จบลงไปอย่างน่าตื่นตะลึง หลินเสี่ยวหรานยังคงรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ถ่วงอยู่ในอก ภาพของฉู่ชิงเฟิงที่พลิ้วไหวกระบี่ดุจเทพสงคราม และเงาร่างของหลานเหมยที่ปลิดชีพศัตรูอย่างเลือดเย็นวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของนางตลอดเวลา มันเป็นภาพที่แตกต่างจาก ‘ท่านอ๋องว่างงานผู้ใจดี’ ที่นางรู้จักมาโดยสิ้นเชิงความรู้สึกเหมือนถูกปิดบัง คล้ายเขายังคงเป็นคนแปลกหน้าเกาะกินใจนาง ทำให้นางไม่สามารถร่าเริงได้เหมือนเคยบรรยากาศในจวนดูเหมือนจะปกติ แต่ความอึดอัดบางอย่างลอยอบอวลอยู่ระหว่างโซ่วอ๋องกับพระชายา หลินเสี่ยวหรานพยายามทำตัวปกติ ทว่าความเงียบที่เข้าปกคลุมระหว่างพวกเขามักจะหนักอึ้งอยู่เสมอฉู่ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของพระชายาของเขามาตลอดหลายวัน ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววกังวล“หรานเอ๋อร์ วันนี้อากาศดีนัก ข้าเห็นว่าเจ้าดูไม่ค่อยสบายใจ ไยเราไม่ออกไปเดินเล่นในตลาดสักหน่อยเล่า เผื่อจะช่วยให้ใจเจ้าผ่อนคลายขึ้นบ้าง”หลินเสี่ยวหรานวางผ้าปักในมือลงช้าๆ พลางเงยหน้ามองเขา “เพคะท่านอ๋อง” นางตอบรับเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความห่างเหิน แม้ในใจจะรู้สึกว่าการไปเดินตลาดอาจไม่ได้ช
เขาเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาฉู่ชิงเฟิง ทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าทันที “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน... หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉัน... หม่อมฉันไม่เคยคิดเลยว่าท่านอ๋องจะ... ทรงเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารบ้านเมือง หรือวรยุทธ์ ท่านคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกระหม่อมเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสารภาพว่าตลอดมากระหม่อมอิจฉาท่าน ไม่ยอมรับในความสามารถของท่าน แต่บัดนี้... กระหม่อมยอมรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านคือผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง หลี่เจิ้นขอถวายชีวิตรับใช้ท่านอ๋องตลอดไป และจะเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านอ๋องแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”น้ำเสียงของหลี่เจิ้นสั่นเครือด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกอย่างแท้จริง แววตาที่มองฉู่ชิงเฟิงเปี่ยมไปด้วยความเคารพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับเขาได้พบกับเทพเจ้าที่พร้อมจะยอมอุทิศตนเองให้ฉู่ชิงเฟิงมองหลี่เจิ้นนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ และยื่นมือไปประคองเขาให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถิดท่านรองเจ้าเมือง เพียงท่านเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เปิ่นหวางทำเพื่อแคว้นก็พอแล้ว เรื่องที่ผ่านมาเปิ่นหวางไม่เคยติดใจ” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ภายในใจของฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงชัยช
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ฉู่ชิงเฟิงพลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากเงามืดอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ราวกับพายุที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่ง เขาเหลือบมองไปยังทิศทางนั้นโดยไม่ละสายตาจากศัตรูเบื้องหน้า“หลานเหมย...” เสียงของฉู่ชิงเฟิงต่ำลง แต่หนักแน่นเด็ดขาด “ไประบายโทสะของเจ้าได้”สิ้นคำสั่งนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏกายขึ้นจากเงามืด ราวกับภูตผีที่โผล่พ้นจากนรกานต์ นางสวมชุดองค์รักษ์สีดำสนิท ปกปิดทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งใบหน้าก็ถูกผ้าคลุมสีดำทมึนบดบังไว้จนมิดชิด เห็นเพียงประกายเย็นเยียบและดุดันที่ลอดผ่านช่องแคบของผ้าคลุมเท่านั้น รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างของนางเข้มข้นจนบรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือก เสียงกรีดร้องของโจรที่ดังระงมอยู่แล้ว กลับทวีความน่าหวาดกลัวขึ้นเมื่อเงาร่างสีดำนั้นเริ่มเคลื่อนไหว การโจมตีของนางรวดเร็ว ไร้ความปรานี และเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับยมทูตที่มาทวงวิญญาณทันใดนั้นเอง นางก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างกายที่เคยสงบนิ่งบัดนี้กลับบ้าคลั่งราวกับสัตว์ร้ายที่หลุดออกจากกรงขัง นางพุ่งเข้าใส่กลุ่มโจรที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เสียง
“เรียนท่านอ๋อง... พระชายาและท่านรองเจ้าเมือง... ถูกจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของเขาขาดห้วง ร่างของเฉาเหมยในอ้อมแขนซีดเผือดไร้ชีวิตชีวา พิษกำลังแล่นเข้าสู่หัวใจทันทีที่เห็นสภาพของเฉาเหมยที่ถูกนำกลับมาในสภาพปางตาย ฉู่ชิงเฟิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเห็นธนูพิษที่ปักอยู่บนแขนของนาง ดวงตาคมกริบฉายแววเป็นห่วงปนโทสะ“ใครก็ได้! ไปตามหมอหลวงมาดูอาการเฉาเหมยเดี๋ยวนี้” ฉู่ชิงเฟิงตะโกนเสียงดังลั่น ในขณะที่หมอหลวงกำลังเดินทางมาอย่างเร่งด่วนในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงจนน่าสะพรึง มันแผ่ออกมาจากเงามืดในมุมหนึ่งของห้องโถง แม้จะไร้ซึ่งเสียงและตัวตนที่มองเห็น แต่จิตสังหารนั้นก็เข้มข้นจนทำให้เส้นผมบนแขนของเขาลุกชัน เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้มาจากใคร หลานเหมยคงเดือดดาลอย่างถึงที่สุดที่ได้เห็นสภาพปางตายของผู้เป็นน้องสาว จิตสังหารที่แผ่ออกมานั้นไม่ใช่แค่ความโกรธแค้น แต่มันคือคำประกาศกร้าวว่า ‘จะไม่มีใครรอด’ และผู้ที่บังอาจทำร้ายน้องสาวของนางจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตอย่างสาสมจากนั้นองครักษ์ผู้รอดชีวิตก็ยื่นจดหมายที่กำแน่นในมือให้ฉู่ชิงเฟิง เขาหยิบมาคลี่ออกอ่าน แววตา
หนึ่งปีแห่งความรุ่งเรืองของแคว้นหลิงหลงได้ผ่านไป ภายใต้การบริหารของฉู่ชิงเฟิงและเหล่าขุนนางผู้จงรักภักดี เมืองชิงหลิวและหัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างผาสุกแต่เหรียญย่อมมีสองด้าน...ความร่ำรวยดึงดูดสายตาของเหล่าโจรป่าผู้หิวโหย ภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาเริ่มคุกคามเส้นทางการค้าและการสัญจรของชาวบ้าน สร้างความปั่นป่วนไปทั่วแคว้นภายในจวนเจ้าเมือง “กราบทูลท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ! แม้แคว้นเราจะมั่งคั่งขึ้น แต่ปัญหาโจรป่ากลับหนักหนาสาหัสขึ้นพ่ะย่ะค่ะ พวกมันกล้าดียิ่งขึ้น ดักปล้นขบวนสินค้าและชาวบ้านตามเส้นทางสำคัญๆ ทำให้การค้าชะงักงันพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพซ่งยืนกรานสีหน้าเคร่งเครียดฉู่ชิงเฟิงขมวดคิ้ว “แล้วกองทัพเล่า ท่านแม่ทัพมีกำลังไม่เพียงพอหรืออย่างไร”แม่ทัพซ่งถอนหายใจหนัก “กำลังพลมีจำกัดพ่ะย่ะค่ะ ทหารหลวงหนึ่งพันนายต้องกระจายกำลังดูแลสี่หัวเมือง อีกทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายอย่างก็เริ่มชำรุดทรุดโทรม เพราะสงบศึกมานานหลายปี ทหารเองก็ขาดการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ทำให้ความแข็งแกร่งลดลงพ่ะย่ะค่ะ”“ปัญหาใหญ่จริงๆ นั่นแหละท่านแม่ทัพ เปิ่นหวางเข้าใจดี” ฉู่ชิงเฟิงหันไปมองเหวินจ







