“ถ้าเถ้าแก่มิได้ตั้งใจโกงพวกข้า งั้นจะบอกว่าไม่รู้ราคาผ้าทอกับไหมที่ใช้ปักงานพวกนี้หรือไร” ฉู่ชิงเฟิงเลิกคิ้วถาม ทำท่าเหมือนตกอกตกใจที่อีกฝ่ายเป็นถึงเถ้าแก่ของร้านใหญ่โตกลับแยกชนิดผ้าไม่ออกเสียได้
“ทำไมข้าจะดูไม่ออก เพียงแต่...” เถ้าแก่ที่กวาดตามองไปรอบๆ เห็นแต่ความเคลือบแคลงบนใบหน้าของลูกค้าเงินหนาทั้งหลาย เพราะร้านของเขานั้นมีชื่อเสียงที่สุด ย่อมมีแต่พวกคุณหนูและคนมีอันจะกินในอำเภอจงมู่มาเยือน หากวันนี้เขาไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ เกรงว่ากิจการของบรรพบุรุษคงได้สูญสิ้นในรุ่นของเขาเป็นแน่
“เถ้าแก่ไม่ผิดหรอก เป็นข้าเองที่มีความรู้ไม่มากพอ เลยประเมินราคาของตามราคารับซื้อทั่วไป” เป็นหลงจู๊ออกมาปกป้องเจ้านาย
“มิน่าล่ะ เจ้าถึงไม่ยอมไปเรียกเถ้าแก่มาให้ข้า” หลินอ้ายเดินขึ้นมายืนข้างๆ ฉู่ชิงเฟิง แล้วแผดเสียงใส่หลงจู๊
“เจ้านี่นะ ข้าอุตส่าห์ไว้ใจแท้ๆ” เถ้าแก่ทำทีเป็นหันไปดุคนของตัวเอง เสร็จแล้วก็หันไปกลับไปหาพวกฉู่ชิงเฟิง ปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ข้าจะจ่ายค่าสินค้าครั้งนี้ และชดเชยครั้งที่แล้วให้ตามที่แม่นางเรียกร้องก็แล้วกัน”
“ตามนั้นแหละ” หลินอ้ายยิ้มกริ่ม รู้สึกสะใจที่ได้ทวงความยุติธรรมให้กับนายหญิงของตน
เถ้าแก่บอกให้หลงจู๊รีบไปหยิบตั๋วเงินจำนวนห้าตำลึงมาส่งให้พวกหลินอ้าย แล้วรับของไปเหมือนไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น เรื่องวุ่นวายทั้งหมดจึงจบลงด้วยดี พวกที่มามุงดูจึงค่อยๆ สลายตัวไป แน่นอนว่าหลินอ้ายกับฉู่ชิงเฟิงที่จัดการทุกอย่างได้ตามแผน ต่างก็เดินกระหยิ่มยิ้มย่องกันออกมาจากร้าน
“อาเปา เจ้านี่สุดยอดจริงๆ ต่อไปนี้ข้าสัญญาว่าจะไม่ด่าว่าเจ้าอีกแล้ว” หลินอ้ายพูด พลางมองตั๋วเงินจำนวนมหาศาลในมืออย่างดีอกดีใจ
“ขอบใจ” ฉู่ชิงเฟิงตอบกลั้วหัวเราะ
“คุณหนูจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
“ข้าจะต้องดีใจด้วยเรื่องใดหรือ” หลินเสี่ยวหรานเดินออกมาจากมุมหนึ่งทางด้านหลังสร้างความตกใจให้จอมวางแผนทั้งสอง แล้วแสร้งทำเป็นถามเหมือนไม่รู้เรื่องอันใด
“ที่แท้คุณหนูนี่เอง ท่านดูนี่สิเจ้าคะ เถ้าแก่ประเมินราคารับซื้องานฝีมือของท่านใหม่” หลินอ้ายปรี่เข้าไปหาหลินเสี่ยวหราน แล้วยื่นตั๋วเงินให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกลบเกลื่อน ภาวนาให้เจ้านายไม่รู้ถึงวีรกรรมของตนกับอาเปาเมื่อครู่ “เงินมากขนาดนี้ คุณหนูก็ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งทำงานจนดึกดื่นอีกนานเลยเจ้าค่ะ”
“แล้วทำไมจู่ๆ เถ้าแก่ถึงได้ขึ้นเงินให้พวกเราล่ะ”
“คือว่า...เอ่อ...เพราะคราวที่แล้วหลงจู๊ดูผ้าผิดไป ถึงได้ตีราคาให้ถูกกว่าที่ควร คราวนี้เขาเลยเพิ่มเงินชดเชยให้พวกเรามาด้วยเจ้าค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้านี่ช่างโชคดีจริงๆ เลย ว่าไหมอาเปา”
เห็นสายตารู้ทันที่นางส่งมา ฉู่ชิงเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่านางคงเห็นทุกอย่างที่ตนกับหลินอ้ายทำในร้านขายผ้าหมดแล้ว แต่คงไม่อยากเอาโทษที่พวกตนเข้าไปก่อความวุ่นวาย จึงพยักหน้ารับแล้วยืนสงบนิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างที่เคย ทว่าในหัวใจก็แอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าค่าตอบแทนก้อนโตที่ตนเองทำได้ในครั้งนี้ จะส่งผลให้หญิงใจดำอย่างคุณหนูหลินส่งเนื้ออร่อยๆ มาให้เขากินเสียที...
หลินเสี่ยวหรานมองเงินที่ยังเหลืออยู่หลังพาอาเปาไปฝังเข็ม และจ่ายค่าเสบียงของเดือนนี้พลางครุ่นคิด
ด้วยสถานการณ์ของตนเองในบ้านสกุลหลิน นางไม่อาจไว้ใจคนแปลกหน้า แต่เพราะไม่สามารถตัดใจไม่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากได้ ยิ่งตอนนั้นเขาเป็นเพียงชายอ้วนที่นอนหมดสภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นบุคคลอันตราย จึงไม่เคยสงสัยว่าเขาจะเป็นคนของแม่เลี้ยงนางเกาอี้ซินเหมือนที่หลินอ้ายคิด
ทว่าวันนี้อาเปาคนซื่อกลายร่างเป็นบุรุษสมชายชาตรี แถมยังเจ้าแผนการไปแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงหนึ่งเดือนคนเราจะเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ถึงเพียงนี้ หรือเขาจะเป็นคนที่พยายามแฝงตัวเข้ามาจริงๆ แต่ถึงในยุทธภพจะมีวิชาแปลงโฉม ทว่าการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เขาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำทุกวัน ทั้งยังกินได้แต่ผักสมุนไพร ย่อมเป็นไปได้ที่ร่างกายจะซูบผอมลง
พอคิดถึงตรงนี้ ภาพมัดกล้ามตรงแผงอกที่เผยอออกรำไรภายใต้เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัวของเขาก็ลอยมาในห้วงจำ หลินเสี่ยวหรานหน้าแดงเห่อร้อนขึ้นทันใด
‘นี่เราบ้าไปแล้วเหรอ คิดอะไรเนี่ย’ หลินเสี่ยวหรานตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ
หากดูจากอาภรณ์และเครื่องประดับที่ติดตัวอาเปามา มันดีเกินกว่าจะเป็นของนักฆ่าหรือชาวบ้านทั่วไป เช่นนั้นหากเขามิได้เป็นคนของแม่เลี้ยงนาง บางทีชายผู้นี้อาจจะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา การที่เขาระเหเร่ร่อนมาแบบนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกคนปองร้ายจนตกที่นั่งลำบาก
แย่แล้ว! บางทีนางอาจจะเข้าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง
นางสู้อุตส่าห์ทิ้งความสะดวกสบายในเมืองหลวงมาอยู่อำเภอเล็กๆ เพื่อรักษาร่างกายจากการแก่งแย่งในเรือนหลังของสกุลหลิน แต่ตอนนี้อาจชักนำปัญหาใหม่เข้ามาแทน
‘ให้ตายสิหลินเสี่ยวหราน ชีวิตเจ้ายังวุ่นวายไม่พออีกหรือ’ คิดแล้วนางก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
หลังจากคลอดนางได้หนึ่งปี กัวลี่หนิงผู้เป็นมารดาก็มาด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุ แต่ยังไม่ทันไว้ทุกข์ครบสามปี บิดาก็แต่งเกาอี้ซินคนรักเก่าเข้าจวนมาทันทีด้วยเหตุผลว่าเรือนมิอาจขาดนายหญิงดูแล และเพียงไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ แล้วคลอดหลินเวยหรงกับหลินผู่ซินออกมา
ทุกคนต่างชื่นชมยินดีกับเรื่องมงคลคู่ของบิดาและฮูหยินคนใหม่ ท่านยายของหลินเสี่ยวหรานเกรงว่าเกาอี้ซินที่เพิ่งคลอดลูกแฝดจะดูแลนางได้ไม่ดีพอ จึงมาขอตัวหลานชายกับหลานสาวที่อายุเพิ่งครบปีไปอบรมเลี้ยงดูที่สกุลกัว ทว่าบิดาไม่คิดให้ผู้อื่นดูแลหลินเวยอี้บุตรชายคนโตแทนตนเอง เลยอนุญาตให้นำบุตรสาวไปเท่านั้น
หลังจากจัดการกางเกงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาพลันแทรกกายลงตรงกลางหว่างขาเรียว เขาลูบไล้เนินเนื้อเกลี้ยงเกลาอย่างพออกพอใจ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าประชิดร่างบาง ดุนดันสะโพกส่งตัวตนเข้าไปพิชิตเส้นทางสู่สวรรค์หลินเสี่ยวหรานกรีดร้อง เมื่อถูกแท่งเพลิงร้อนลวกชำแรกความสาวเป็นครั้งแรก มันทั้งเจ็บทั้งตึงไปหมดจนไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้“อาเปา ขะ…ข้าเจ็บ”“อดทนอีกนิดนะ อีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น ดีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เชียวล่ะ” ฉู่ชิงเฟิงล่อลวง พลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ พรมจูบทั่วดวงหน้างามผุดผาด รวมไปถึงกลีบปากเล็กน่ารักที่เอาแต่ร้องเรียก “อาเปา อื้อ อาเปา” ไม่หยุดหลินเสี่ยวหรานสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางทั้งเจ็บทั้งเสียดเสียว เมื่อเขาเร่งจังหวะตอกสะโพก บดเบียดลำกายจนเส้นทางรักร้อนฉ่า แต่ละครั้งที่เสาหลักแห่งเลือดเนื้อตอกตรึงเข้าหามันทั้งแรงขึ้นและลึกขึ้น กระทั่งความเป็นชายสอดลึกสุดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ“อื้อ…อาเปา”“รู้สึกดีแล้วใช่ไหมภรรยาข้า” เขากระซิบถามเสียงพร่า เมื่อรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในน้ำเสียงนาง และแน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีที่ถูกความแน่นหนึบของนางตอดรั
“ที่แท้เจ้าก็คืออาเปา” ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางเบา เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าผู้มีพระคุณของนางเป็นผู้ใด“ข้าต้องขออภัยด้วยที่เป็นเพียงคนไร้หัวนอนปลายเท้า มิใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่ไหน”“เจ้าไม่ผิดหรอกอาเปา ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงโดนกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้ว” หลินเสี่ยวหรานตอบเสียงเบาหวิว ฤทธิ์ยาทำให้ร่างกายนางอ่อนเปลี้ยราวกับไร้กระดูก ดวงตาพร่าลายไปหมด“เหลือเวลาไม่มากแล้ว คุณหนูหลินตัดสินใจเถอะ”แม้เขากับนางแทบไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาขยันตั้งใจทำงาน และคอยช่วยเหลือคนในบ้านสวนสกุลหลินอยู่เสมอ ถึงบางครั้งหลินอ้ายจะทำตัวไม่น่ารัก เขาก็มิได้ถือสา จนล่าสุดก็เพิ่งทวงความยุติธรรมให้กับงานตัดเย็บที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากของนาง เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้เขามีจิตใจที่ดี ขยันอดทน ไม่โอ้อวด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของบุรุษที่มีการศึกษาและถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ต่อให้ตอนนี้เขาจะความจำเสื่อม แต่ฐานะที่แท้จริงคงไม่ด้อยนัก ร้ายที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูลพ่อค้าวาณิช[1] ในเมื่อเกาอี้ซินกลัวเหลือเกินว่านางจะได้ดิบได้ดีเกินหน้าเกินตาหลินผู่ซิน และนางก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การเลือกอาเปามาเป็นสามีคงจ
หลินเสี่ยวหรานที่กำลังหมดหวัง เห็นเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากนั้นนางก็ถูกใครบางคนพาตัวเข้าไปยังความมืดหลังแนวไม้ นางพยายามมองใบหน้าของคนที่มาช่วยนางจากปากเหว แต่ต้นไม้ใบหนาทึบเกินกว่าแสงจันทร์จะลอดเข้ามาให้เห็นได้ชัดเจน ในใจนางรู้สึกทั้งซาบซึ้งและนึกขอบคุณ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกไม่วางใจอย่างบอกไม่ถูก“ทะ...ท่านเป็นใคร”“...” ฉู่ชิงเฟิงไม่ตอบ เพราะตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิไปเบื้องหน้า เพราะจับสัมผัสได้ว่ามีคนตามมาจากด้านหลัง ถึงฝีเท้าจะไม่เร็วมากนักเพราะบาดเจ็บ แต่ความเร็วระดับนี้ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฝีมือ หากเทียบกับอ๋องที่แค่อยากตั้งใจเรียน แต่ไม่ชอบฝึกวรยุทธเยี่ยงเขา นับว่าอยู่คนละชั้น มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังมีสตรีที่น่าจะโดนวางยาอยู่ในอ้อมอก มองยังไงก็เสียเปรียบเต็มประตู เช่นนั้นก็ไม่ควรอวดเก่ง แต่ควรหาที่ซ่อนตัวจนกว่าจะปลอดภัยต่างหาก“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าแล้ว”“อืม” เขาขานรับในลำคอ แล้วพุ่งไปเบื้องหน้า ไม่กล้าลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว แต่มองไปทางใดก็ยังไม่เจอจุดที่น่าจะหลบซ่อนตัวได้ และเขาที่เพิ่งใช้วิชาตัวเบาอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็เริ่
อีกด้านหนึ่งฉู่ชิงเฟิงที่คิดถึงเนื้อจนทนไม่ไหวตัดสินใจซ่อมธนูสำหรับล่าสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บเครื่องมือ เพื่อออกไปล่ากระต่ายป่า แล้วเขาก็ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วว่องไวขึ้น อีกทั้งกล้ามเนื้อแขนก็แข็งแกร่งจนง้างธนูได้สบายกว่าเดิมมากดูเหมือนการทำงานหนักในบ้านสวนสกุลหลินจะไม่ได้มีแต่มุมเลวร้าย เพราะตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายแข็งแรงกำยำจนสตรีใจสะท้านไปแล้ว ดูได้จากสายตาหญิงสาวที่เขาพบเจอที่ตัวอำเภอ จะมีก็แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลินผู้เดียวที่ไม่รู้สึกรู้สา แล้วยังใจร้ายกับเขาไม่เลิกราในเมื่อนางคิดแต่จะทำให้เขาทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ไหว เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองโชคดีที่เขาชอบยิงธนู เพราะมันไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเยอะเหมือนพวกวิชากระบี่ แต่ด้วยเป็นคนร่างใหญ่อ้วนท้วนทำให้เขาขยับตัวบนหลังม้าได้ไม่คล่อง ส่งผลให้ผลงานการล่าสัตว์รั้งท้ายพี่น้องอยู่ทุกปี ผิดกับพวกเป้านิ่ง ซึ่งฝีมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาองค์ชาย แต่ก็มักถูกด้อยค่าด้วยคำพูดที่ว่าแค่ยืนยิงธนูอยู่กับที่จะไปมีประโยชน์ใช้สอยอะไรทว่าวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมร่างกายที่เคยอ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ตอนนี้แข็งแรงกำย
“ถึงบ่าวจะโง่เขลา แต่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย ป่านนี้ชื่อเสียงของท่านคงถูกฮูหยินกับคุณหนูสี่ทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้บ่าวโกรธแค้นพวกเขาแทนท่านได้เยี่ยงไร”“พวกนางอยากทำอะไรก็ให้ทำไป เพราะสำหรับข้าในตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาร่างกายให้หายดี”“ท่านถูกรังแกถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เล่าให้ทางสกุลกัวฟังเล่าเจ้าคะ ถ้าให้เหล่าไท่จวินที่คนต่างเคารพนับถือช่วยออกหน้า จะต้องทวงความยุติธรรมคืนให้คุณหนูได้อย่างแน่นอน”“เพราะข้าแซ่หลิน มิได้แซ่กัว อีกอย่างท่านป้าสะใภ้กับท่านยายมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ข้ามิอาจให้พวกท่านเหล่านั้นถูกคนตำหนิเอาได้ว่าก้าวก่ายเรื่องของคนสกุลอื่นโดยไม่จำเป็น”“โถ่ คุณหนู”“หลินอ้าย ถ้าทุกอย่างมันง่ายปานนั้น ข้าคงไม่ต้องมารักษาตัวไกลถึงจงมู่”“บ่าวกลัวเหลือเกินว่าฮูหยินจากสกุลเกาผู้นั้นจะจัดการให้ท่านแต่งกับบุรุษเสเพล ไร้ชื่อเสียง ไร้อนาคต” หลินอ้ายเป็นกังวลแทนเจ้านาย เพราะสตรีที่มีข่าวลือว่าร่างกายอ่อนแอมักไม่มีตระกูลใหญ่ต้องการ“พอได้แล้ว ข้าอยากแช่ตัวเงียบๆ” ใช่ว่าหลินเสี่ยวหรานจะไม่คิดอะไรเลย จึงอดหงุดหงิดไม่ได้“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”“คืนน
หลินเสี่ยวหรานได้รับการอบรมจากป้าสะใภ้ และเหล่าไท่จวินผู้เป็นยาย เติบโตมาเป็นดรุณีที่งดงามทั้งกิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนล้วนจัดการได้ดี กระทั่งอายุได้สิบสามปีบิดาก็มาเจรจาขอนางคืนจากสกุลกัวต่อให้ไม่อยากคืนเท่าไร ก็ทำไม่ได้ เพราะนางแซ่หลิน มิได้แซ่กัว ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องออกจากปราการอันอบอุ่นปลอดภัยภายใต้ปีกของสกุลมารดา มาอยู่ภายใต้การปกครองของสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างเกาอี้ซิน ชีวิตในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่ควรจะสดใสรุ่งโรจน์ และได้แต่งงานเข้าสกุลดีๆ กลับต้องจบลงด้วยการระเห็จมาอยู่ที่บ้านสวนในอำเภอเล็กๆ อย่างจงมู่ ทำให้บัดนี้หลินผู่ซินเฉิดฉายในฐานะคุณหนูภรรยาเอกจวนสกุลหลินเพียงผู้เดียวหลินเสี่ยวหรานได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างเลื่อนลอยพอกลับถึงบ้านสวนสกุลหลิน ฉู่ชิงเฟิงก็ช่วยอาโต๋วกับหลินอ้ายขนข้าวของเครื่องใช้และเสบียงที่ซื้อมาไปเก็บ เขาเหลือบมองห่อกระดาษเคลือบน้ำมันที่ภายในมีเนื้อหมูติดมันชิ้นโตอย่างมีความสุข เพราะเชื่อว่าหลินเสี่ยวหรานจะต้องซาบซึ้งเรื่องเงินห้าตำลึง แล้วยอมให้เขาได้กินเนื้ออย่างที่ควรจะเป็นในวันพรุ่งนี้ ทว่า...ไม่มี!“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉู่ชิงเฟิงแ