เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตะวันเคลื่อนคล้อยจนทอแสงเป็นสีส้ม เยี่ยนเยว่ฉีทำถุงใส่เครื่องหอมให้มู่เลี่ยงหรงเสร็จพอดีจึงตั้งใจจะไปพบสามีที่ห้องหนังสือ นางลุกขึ้นเดินไปทางตำหนักใหญ่ ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นกล่องใส่ขนมใบหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้ริมสระบัว
ภาพขนมดอกกุ้ยกระจัดกระจายอยู่บนพื้นหญ้า
‘เกิดอันใดขึ้น ทำไมกล่องขนมจึงถูกทิ้งเล่า’
เมื่อครู่ไม่ใช่ถางซือเซียนบอกกับนางว่าจะนำขนมดอกกุ้ยกล่องนี้ไปให้เยี่ยนจิ้นหลิงหรอหรือ แต่เหตุใดถึงมีสภาพเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสาวน้อยอาจจะเผลอทำกล่องขนมหลุดมือ หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพี่ชายคนรองของนางกัน
ระหว่างที่เยี่ยนเยว่ฉีกำลังครุ่นคิด มู่เลี่ยงหรงก็ออกมาจากห้องทำงานพอดี เขาก้าวเท้าเข้ามาหาพระชายาของตนทันที แต่พอเห็นนางสนใจสิ่งอื่นอยู่จึงมองตามสายตานั้นไป แล้วก็พบกับกล่องขนมนั่นด้วยเช่นกัน
“เด็กๆ จงเก็บกล่องขนมนั้นขึ้นมา แล้วทำความสะอาดบริเวณนี้เสีย” มู่เลี่ยงหรงออกคำสั่ง ข้ารับใช้ที่อยู่ในบริเวณนั้นรีบทำตามประสงค์ของเขาในทันที
“ช่างเถิด มันไม่ใช่เรื่องของเรา” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยเสียงเรียบ
แต่ข้าสงสัยว่าเซียนเอ๋อร์อาจจะมีเรื่องบางอย่างกับพี่รอง” ในที่สุด ด้วยอดไม่ได้ก็พูดสิ่งที่กังวลใจออกมา
“ถ้าจริงดังว่า นั่นก็เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องไปจัดการกันเอง พวกเราไม่ควรไปก้าวก่าย” มู่เลี่ยงหรงแสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาเช่นเดิม
“แต่...” เยี่ยนเยว่ฉียังไม่ทันได้พูดต่อ มู่เลี่ยงหรงก็หันหนีไปทางอื่น เป็นอันสื่อว่าไม่ยอมให้ภรรยาสาวความต่อไปอีก เมื่อเห็นสามีไม่ยินดีที่จะสนทนาหัวข้อนี้ นางจึงเก็บคำพูดทั้งหมดลงคอ แล้วยืนนิ่งดั่งปกติที่เคยทำ
มู่เลี่ยงหรงรู้ว่าภรรยายังคงคับข้องใจ เพราะตนพอจะเข้าใจอุปนิสัยของเยี่ยนเยว่ฉีแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนเขาย่อมคิดว่านางว่าง่าย แต่จากเหตุการณ์วันเยี่ยมบ้านเดิมนั้น ทำให้อ๋องหนุ่มมั่นใจว่านางเพียงแค่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ สตรีของตนใจเย็นมากพอที่จะรอเวลาอันเหมาะสมแล้วลงมือแก้แค้น ดังนั้นเพื่อขจัดความขุ่นมัวในใจของนาง มู่เลี่ยงหรงจำต้องให้เหตุผลที่ดีกลับไปบ้าง
“อ้ายเฟย หากมีวาสนาอยู่ไกลพันลี้ยังได้พานพบ แต่หากไร้ซึ่งวาสนาต่อให้อยู่ตรงหน้าก็มองมิเห็น”
“เพคะ” เยี่ยนเยว่ฉีตอบแบบขอไปที นางไม่แม้แต่จะมองหน้าสามีเลยด้วยซ้ำ
“เอาเวลาที่เจ้านึกถึงผู้อื่น มาเป็นห่วงข้าดีกว่ากระมัง” มู่เลี่ยงหรงเริ่มทำน้ำเสียงออดอ้อน
เยี่ยนเยว่ฉีเงยหน้าขึ้น นางกวาดสายตามองใบหน้าของมู่เลี่ยงหรงจนทั่ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
“หืม ท่านพี่ไม่สบายที่ใดกัน”
“ตรงนี้” มู่เลี่ยงหรงเลื่อนฝ่ามือไปยังกลางหน้าอกของตนเอง พลางขมวดคิ้วราวกับว่ากำลังได้รับบาดเจ็บ
“ท่านพี่บาดเจ็บตอนฝึกยุทธ์หรือ ให้คนไปตามหมอหลวงดีหรือไม่”
เยี่ยนเยว่ฉีเลิกแง่งอน นางปราดเขาไปใกล้พลางเอามือวางทาบทับบนหลังมือของเขาอย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าตนเองจะยิ่งทำให้เขาบาดเจ็บมากขึ้นไปอีก
“ไม่ต้อง ความจริงโรคนี้รักษาหายง่ายมาก”
“ต้องทำเช่นไร หรือว่าท่านพี่มียารักษา ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดหรือ ข้าจะรีบให้คนไปนำมาให้”
“ก็อ้ายเฟยอย่างไรเล่าที่เป็นยารักษาชั้นดี” มู่เลี่ยงหรงไม่พูดเปล่า มือของเขาเริ่มป่ายปัดดั่งหนวดปลาหมึก เมื่อเห็นว่านางทำท่าจะหนีก็ตวัดกอดร่างหอมกรุ่นเอาไว้จนแน่น หนำซ้ำยังก้มลงมาจุมพิตแก้มสีชมพูของนางเสียฟอดใหญ่ “อืม รู้สึกว่ายังเจ็บอยู่เลย สงสัยต้องขออีกที”
“อย่านะ! ท่านพี่สำรวมด้วย ไม่อายผู้อื่นบ้างหรือไร” เยี่ยนเยว่ฉีร้องห้าม พลางเหลียวซ้ายแลขวา
มู่เลี่ยงหรงกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ เพียงเท่านั้นนางกำนัลและข้ารับใช้ทั้งหมดต่างเร้นกายหายไปทันที ยามนี้ริมสระบัวเหลือเขากับเยี่ยนเยว่ฉีเพียงสองต่อสอง
“ครานี้คงเริ่มรักษาได้แล้วกระมัง”
“คนบ้าอำนาจ” นางพึมพำเบา ๆ
มู่เลี่ยงหรงกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากที่เอ่ยตำหนิตนเมื่อครู่อย่างช้าๆ รสริมฝีปากของเขาหวานดุจน้ำผึ้งก็มิปาน หญิงสาวจึงยอมรับการออดอ้อนนี้อย่างเต็มใจ
ครั้นเห็นภรรยาโอนอ่อนลงแล้ว เขาจึงถอนจุมพิต แล้วกระซิบชิดริมฝีปากนาง “อ้ายเฟย จุมพิตของเจ้าวิเศษยิ่งนัก”
“ท่านพี่หายเจ็บแล้วหรือ”
“อืม”
“เช่นนั้นเรากลับไปกินข้าวกันเถิด ข้าหิวแล้ว” เยี่ยนเยว่ฉีหน้าแดงระเรื่อ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะอายไปหมดแล้ว
มู่เลี่ยงหรงพยักหน้าตอบรับ แล้วประคองร่างอรชรไว้อย่างใส่ใจ ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปสู่เรือนจันทราด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
หลายทิวาราตรีผ่านพ้น เหตุการณ์ในจวนฉินอ๋องยังคงดำเนินไปตามปกติ มู่เลี่ยงหรงออกไปประชุมเช้าเป็นประจำทุกวัน หากมีเรื่องอันใดเร่งด่วน ฮ่องเต้จะทรงรั้งพระอนุชาไว้เพื่อปรึกษาหารือเสมอ ส่วนเยี่ยนเยว่ฉีเริ่มคุ้นชินกับตำหนักจันทราและเส้นทางต่างๆ ภายในจวน รวมไปถึงท่าทีการแสดงออกของบรรดาข้ารับใช้กับนางกำนัล แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้สตรีที่เติบโตมากจากเมืองชายแดนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ก็คือคำสรรพนามเรียกขานต่างๆ ยามนี้นางเป็นถึงพระชายาเอกฉินอ๋องจำต้องรักษากิริยามารยาทเอาไว้ตลอดเวลาอีกด้วย
หลังจากแต่งงานมาเจ็ดวัน ก็ไม่มีราตรีใดที่ฉินอ๋องจะไม่มาอยู่กับนาง พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เยี่ยนเยว่ฉีพอใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ตอนนี้ตนจะไม่พร้อมปรนนิบัติสามี แต่มู่เลี่ยงหรงไม่เคยทำท่าไม่พอใจ เขาอดทนอดกลั้นไม่รบเร้าเอาแต่ใจ ยามร่วมเตียงก็เพียงตระกองกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน จุมพิตอย่างลึกซึ้งแล้วหลับไปพร้อมกัน
ในที่สุดอุปสรรคสุดท้ายก็หมดไปตามกาลเวลา หากมู่เลี่ยงหรงรับรู้ย่อมต้องใช้สิทธิของสามีเพื่อร่วมหอกับภรรยาอย่างแน่นอน
เยี่ยนเยว่ฉีรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แม้มารดาจะสั่งสอนสิ่งต่างๆ ที่ควรปฏิบัติยามปรนนิบัติบุรุษบนเตียงแล้วก็ตาม แต่การรู้เพียงทฤษฎีนั้นมิอาจทำให้นางหายวิตกกังวลได้
“ไม่รู้ แล้ววาดออกมาได้อย่างไร” ถางซือเซินเริ่มมึนงง ดูท่าปัญหาของฉินอ๋องคงไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้ว“ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าสตรีผู้นี้คือนางในฝันของข้า”“นางในฝัน! นี่ท่านอ๋องหมายถึงในความฝันตอนหลับน่ะหรือ” เขาเบิกตากว้าง พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ ก็ยิ่งตกใจ “ให้ตายเถอะ ท่านไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่ไหม” “อืม” มู่เลี่ยงหรงยอมรับสั้นๆ แล้วพยายามปั้นหน้าให้เคร่งขรึมกลบเกลื่อนความอับอาย เริ่มนึกเสียใจที่พูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้นถางซือเซินสะบัดศีรษะเมื่อภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นทับซ้อนรูปนี้อีกครั้ง บุรุษผู้นั้นมีใบหน้างดงามกว่าสตรี แต่เขาก็ไม่ควรคิดเรื่องบัดสีนี้ขึ้นมาเลย ‘ไม่สิ ท่านอ๋องไม่มีทางรักชอบหลงหยาง แต่หากท่านอ๋องพึงใจสตรีที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่’เห็นสหายครุ่นคิดและทำหน้าแปลกๆ มู่เลี่ยงหรงก็เข้าใจว่าถางซือเซินคงคิดว่าเขาเป็นคนบ้าไปเสียแล้ว ก็แน่ล่ะ จะมีผู้ใดหลงรักผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่เพียงแค่ในความฝันกัน“เอาเถิดซือเซียน ข้าเข้าใจ แม้แต่ข้าเองก็รู้สึกว่าอาจจะกำลังเป็นบ้า” มู่เลี่ยงหรงคว้าภาพวาดสตรีในฝันแล้วม้วนเก็บอย่างทะนุถนอม“ม
แสงเรืองรองสาดส่องจนทั่วบริเวณ แลเห็นความงดงามที่รายล้อม ดอกไม้นานาพันธุ์ผลิดอกหอมกรุ่นยั่วยวนหมู่ภมร บุรุษในอาภรณ์สีดำหรูหราค่อยๆ ย่างเท้าไปตามทางเดินเขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้า จนพบต้นหลิวขึ้นอยู่ริมบึงใหญ่ ไอหมอกสีขาวลอยเหนือนผิวน้ำ เขาเดินเข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่และย่อกายลงก่อนจะเอนหลังพิงลำต้นอันขรุขระไม่นานนักเสียงฝีเท้าเบาๆ ลอยเข้าสู่โสตปลุกชายหนุ่มให้ตื่นตัว เขามองไปยังต้นกำเนิดเสียงเพื่อมองหาผู้มา นัยน์ตาสีนิลสะท้อนเงาร่างของสตรีงามเฉิดฉัน นางเคลื่อนกายมาทางที่เขานั่งเขนกรออยู่ รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏบนใบหน้านางผู้นั้นโฉมสะคราญเยื้องกรายมาทางต้นหลิวอย่างไม่รีบไม่ร้อน สุดท้ายนางก็ย่อกายลงเคียงข้างกับเขา รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้างามราวเทพธิดา ไม่ว่าจะปาก คอ คิ้ว ล้วนไม่มีรอยตำหนิประหนึ่งผลงานชั้นเลิศของช่างฝีมือ“พระจันทร์ดวงน้อยของข้า วันนี้เจ้างดงามยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักทาย“พบกันกี่ครั้งท่านก็พูดเช่นนี้” หญิงงามอมยิ้ม“ข้าไม่เคยโป้ปด หากงามก็บอกว่างาม”“ท่านก็มิเลว”“แค่มิเลวเท่านั้นหรือ ใจร้ายเสียจริง”“ข้าเป็นสตรีที่ร้ายกาจ ท่านก็รู้”“ข้ามิรู้อันใดเลยต่างหาก”“แต่ท่านก็ยังอยากพบข้าไม่ใช
“จงหยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงกัมปนาทสะท้านกึกก้อง กระแสกดดันเย็นยะเยือกแผ่ลาม ฮ่องเต้มู่เหวินหลงกับฮองเฮา และถางซือเซินก้าวเข้ามาห้ามได้ทันท่วงทีจ้าวเฟิงเหลยชะงักงัน เก็บดาบในมือลง ยืนก้มหน้านิ่ง เยี่ยนจิ้นหลิงประคองถางซือเซียนให้คุกเข่าลงช้าๆ“เฟิงเหลย ข้าให้เจ้ามาล่าสัตว์ ไม่ได้ให้มาทำร้ายคน” มู่เหวินหลงตำหนิพระญาติ“เป็นเพราะเยี่ยนจิ้นหลิงรังแกเซียนเอ๋อร์ ข้าทนไม่ได้จึงเข้าไปช่วยเหลือ” จ้าวเฟิงเหลยพยายามอธิบาย“เยี่ยนจิ้นหลิง เจ้าทำอะไรน้องสาวข้า” ถางซือเซินหน้าซีด เขามองคนทั้งสองสลับไปมา ในจิตใจรุ่มร้อน ทำไมน้องสาวของตนต้องพบแต่บุรุษที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกับคุณหนูถางเพียงทานขนมกับน้ำชา นั่งชมจันทร์กันอยู่อย่างเปิดเผย เป็นจ้าวจวิ้นอ๋องเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ” กุนซือหนุ่มเล่าเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง“หืม...ว่ายังไงถางซือเซียน” มู่เหวินหลงเอ่ยถามตัวต้นเหตุของเรื่อง นางเพิ่งจะอายุสิบห้า แต่พาให้บุรุษวิวาทกันเสียแล้ว“หม่อมฉันกำลัง...กำลัง...” ถางซือเซียนยังคงงุนงงและตกใจ จึงไม่มีสติพอว่าตอบอย่างไร“เห็นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นางไม่คล้อยตามคนผู้นั้น” จ้าวเฟิงเหลย
“ข้าไม่ชอบพูดมาก ถ้าหากเจ้าจำไม่ได้และไม่ยินดีจะเป็นของข้า เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมกอดทันที เขาลุกขึ้นแล้วขยับเท้าหมายจะจากไปแบบดื้อๆ“คะ...คนบ้า พูดเองเออเองทุกสิ่ง ข้าไม่เคยเป็นของท่าน จะเอาอะไรมาจำได้อย่างไรเล่า” ถางซือเซียนมีโทสะเล็กน้อย เขาทำให้นางงุนงงแล้วก็จะทิ้งตนไว้ข้างหลังอีกครั้งบุรุษผมสีเงินหยุดยืนนิ่งไม่ขยับกายต่อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่กำลังสับสน“คุณหนูถาง ข้าคร้านจะเท้าความ ชอบก็คือชอบแค่นั้นเอง ถึงแม้จะเอ่ยเหตุผลออกไปเจ้าก็ถามต่ออยู่ดี สู้ยอมรับแล้วทำตามจะง่ายกว่า”“แต่ว่าข้าอยากรู้เหตุผลนี่” นางลุกขึ้นแล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มจากด้านหลัง ดรุณีน้อยยืนมองเขาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย‘อย่างน้อยบอกข้าสักคำว่าท่านชอบข้า’ เสียงในหัวใจของสาวน้อยพยายามอ้อนวอนเขาบุรุษผมสีเงินหันกลับมา เขาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่ยืนจ้องแผ่นหลังของตนเมื่อครู่ ในความคิดของกุนซือหนุ่มสตรีผู้นี้ช่างยุ่งยากเสียเหลือเกิน ตั้งคำถามนั่นนี่ไม่ยอมหยุด ดูท่าว่าแม้ตนจะอธิบายเหตุผลที่แท้จริงออกไป นางก็คงจะยังกังวลสงสัยไม่จบสิ้น เช่นน
เมื่ออีกฝ่ายยังนั่งนิ่งไม่ขยับ บุรุษผมสีเงินจึงค่อยๆ โน้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงไปเรื่อยๆ จนขนมดอกกุ้ยแนบชิดติดกับริมฝีปากของนาง นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอย่างรอคอยหญิงสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ บัดนี้ริมฝีปากของเขากับนางมีเพียงขนมชิ้นเล็กๆ ขวางกั้นเอาไว้ นางไม่อาจต้านทานอำนาจกดดันของชายหนุ่มได้อีกต่อไป สาวน้อยผู้ไร้เดียงสาจึงเผยอปากสีแดงระเรื่อที่กำลังสั่นเทาออกช้าๆ แล้วงับลงไปบนขนมทีละคำทั้งที่หวั่นใจถางซือเซียนค่อยๆ กัดเล็มความหวานทีละนิด...ทีละนิด นางไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา อีกทั้งยังไม่กล้าหยุดปากของตนจึงจำต้องละเลียดกินขนมไปเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดชิ้นสาวน้อยชะงัก เมื่อระยะห่างของทั้งสองลดลงจนถึงขีดสุด หากตนกินขนมนี้อีกเพียงคำเดียว ริมฝีปากของทั้งคู่จะต้องสัมผัสกันอย่างแน่นอน'ข้ากำลังจะจูบเขา'เยี่ยนจิ้นหลิงอดทนรอคอยอย่างใจเย็น ชายหนุ่มไม่ขยับกายถอยหนีแม้แต่ครึ่งชุ่น มือร้อนขยับลูบไล้เอวบางเบาๆ เขายังคงจดจ้องดวงตากลมโตสุกใสของสาวน้อย นัยน์ตาหงส์แสดงความเผด็จการของตนออกมาอย่างชัดเจน‘ลงมือสิสาวน้อย’ถางซือเซียนตัดสินใจกัดขนมคำสุดท้ายอย่างกล้าๆ กลัวๆริมฝีปากอิ่มงามอันสั่นระริกแนบชิดกับริมฝีปากบางใ
ตอนพิเศษ4ใต้แสงจันทร์ริมทะเลสาบเงียบสงัด ลมโชยพัดกิ่งสนไหวโยก ถางซือเซียนนั่งจิบชาพร้อมทานขนมดอกกุ้ย ชมพระจันทร์อย่างเบิกบาน เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง สาวน้อยจึงมั่นใจว่าเยี่ยนเยว่ฉีคงไม่ตามมา เลยตั้งใจว่านั่งเล่นอีกสักพักแล้วจะกลับไปพักผ่อน“เสี่ยวลี่ เจ้ากลับไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ข้าจะนั่งกินขนมอีกพักหนึ่ง จากนั้นจะตามกลับไป”“เจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวลี่รีบปฏิบัติตามคำสั่งเพราะเห็นว่าที่นี่ปลอดภัยดี จึงกล้าทิ้งนายหญิงของตนเอาไว้ถางซือเซียนนั่งจิบชาชมจันทร์อย่างอ้อยอิ่ง นางมองลงบนทะเลสาบเห็นคลื่นน้ำสั่นไหวจากแรงลม สะท้อนภาพแสงจันทร์ดูระยิบระยับงดงาม บรรยากาศแสนรื่นรมเช่นนี้เหมาะแก่การแต่งกลอนหรือเล่นดนตรีสักบทเพลงหนึ่ง สาวน้อยพลันนึกเสียดายที่ไม่ได้เตรียมพิณของตนมาจากจวนด้วย“ทำไมเจ้ามานั่งเพียงผู้เดียว” เสียงทุ้มนุ่มปลุกหญิงสาวจากภวังค์ เป็นเยี่ยนจิ้นหลิงยืนเอามือไพล่หลัง สายตาของเขาทอดไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า“ซือเซียนรอหวางเฟยอยู่เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเรียบ“หวางเฟยอยู่กับท่านอ๋อง คงมานั่งเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”“เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ไม่เป็นไร ข้ามีพระจันทร์เป